| ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
| ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=50128 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 พ.ค. 2015, 06:22 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) | ||
ได้คัดลอกย่อความมาจากหนังสือ พระพุทธประวัติ และพระพุทธกิจ ๔๕ พรรษา ซึ่งคุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ ได้รวบรวมเรื่องราวไว้ นับตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ ตลอดจนปรินิพพานไว้อย่างละเอียด คือ ประสูติ เรื่องที่เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติที่ลุมพินีวัน ตรัสรู้ เรื่องที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่แคว้นมคธ ปฐมเทศนา เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกัณฑ์แรก ที่กรุงพาราณสี ปรินิพพาน เรื่องพระพุทธเจ้าปรินิพพานที่กรุงกุสินารา หนังสือเล่มนี้ จุดประสงค์เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่เนื้อหาสาระก็ยังครบถ้วนตามลำดับเหตุการณ์ ทั้งพยายามใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนโดยมิต้องมีคำแปล อาศัยภาพวาดเป็นสื่อ ที่จะช่วยอธิบาย ให้กระจ่างแจ่มแจ้ง ไว้ในแต่ละขั้นตอนตามลำดับไม่สับสน จะค่อยๆ คัดลอกไปเรื่อยๆ สำหรับผู้ที่สนใจคอยติดตามอ่านนะครับ
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 พ.ค. 2015, 07:23 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ | ||
พระโพธิสัตว์ครั้งเสวยชาติเป็นพระสุเมธดาบส ในอดีตกาลที่ผ่านมา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า สุเมธดาบส อยู่ในนครอมรวดี เจริญวัยแล้วเรียนศิลป วิทยาคมจนจบไตรเพท คือคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ เมื่อพราหมณ์บิดามารดาสิ้นชีวิตลง ผู้จัดการทรัพย์สินของตระกูลได้นำบัญชีทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาให้ พร้อมทั้งเปิดคลังที่เต็มด้วยทอง เงิน แก้ว มณี และมุกดา แจ้งทรัพย์สินตั้งแต่ ๓ ชั่วตระกูล ชี้แจงทรัพย์จำนวนเท่านี้เป็นของบิดามารดา ปู่ ย่า ตา บาย และทวด แล้วกล่าวว่า สุเมธบัณฑิตจงปกครองทรัพย์สินเหล่านี้เถิด สุเมธบัณฑิตเห็นทรัพย์สินมากมายมหาศาลแล้วคิดว่า ญาติเราทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น สะสมบัติเหล่านี้ไว้มากมาย เมื่อสิ้นชีวิตลงแต่ละท่านก็มิได้เอาทรัพย์ไป แม้สักอย่างเดียว ควรที่เราจะบริจาคทานซึ่งเป็นผลบุญ ที่จักติดตามเราไปในภพหน้า สุเมธจึงกราทูลพระราชาแห่งอมรวดีนคร ให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครเพื่อบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดเป็นทานแก่มหาชน แล้วออกบวชเป็นดาบสบำเพ็ญพรตอยู่ ณ บรรณศาลาที่ภูเขาซื่อ ธรรมิก ใกล้ป่าหิมพานต์เมื่อครบ ๗ วันก็บรรลุอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ คำว่า พระโพธิสัตว์ คือท่านที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๑๖๒-๒๒๘
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 พ.ค. 2015, 09:07 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ | ||
ในสมัยพระทีปังกรพระพุทธเจ้า ในกาลนั้น พระบรมศาสดานามว่า ที่ปังกร เสด็จอุบัติขึ้นในโลกตรัสรู้รู้แล้วทรงประกาศพระธรรม เสด็จจาริกไปในแว่นแคว้นต่างๆ พร้อมด้วยพระสาวกขีณาสพ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้ล่วงพ้นสังสารวัฏฏ์ กำลังเสด็จมายัง รัมมนคร อันเป็นสถานที่ประสูติ จักไปประทับที่ สุทัสสนมหาวิหาร อุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองรัมมนคร ทราบข่าวว่าพระทีปังกรพุทธเจ้ากำลังเสด็จมาสู่เมืองของพวกตน ต่างพากันแผ้วถางทาง เพื่อถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ เหล่ามหาชน เตรียมสร้างมณฑป ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้นานาชนิด ปูลาดพระพุทธอาสน์ที่อบร่ำ ไปด้วยของหอม ยกธงแผ่นผ้าหลากสี ตกแต่งหนทางที่พระทีปังกรเสด็จผ่าน ที่ใดเป็นที่ลุ่ม ก็นำดินมาถม ให้มีระดับเสมอกันเพื่อสะดวกในการดำเนินแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวก ครั้งนั้น พระสุเมธดาบสประสงค์จะไปยังป่าหิมพานต์ ผ่านมาเห็นชนทั้งหลายกำลังช่วยกันแผ้วถางทาง จึงถามว่าท่านผู้เจริญ ท่านแผ้วทางนี้เพื่อใคร ชนเหล่านั้นตอบว่า เพื่อถวายการต้อนรับพระทีปังกรพุทธเจ้ากำลังเสด็จมา สุเมธดาบสได้ยินดังนั้นเกิดโสมนัสยินดี กล่าวว่าหากท่านแผ้วถางทางนี้เพื่อพระพุทธเจ้าขอท่านได้ให้โอกาสแก่เราได้ร่วมทำกับท่านเถิด มหาชนพากันคิดว่า สุเมธดาบส เป็นผู้มีความสามารถมาก จึงเลือกทางที่ไม่ราบเรียบเป็นหลุมเป็นบ่อให้ ขณะที่สุเมธดาบสแผ้วถางทางนั้นยังไม่เสร็จ พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมาถึงณ บริเวณนั้น เทวดาและมนุษย์ต่างปรีดาปราโมทย์ แซ่ซ้องสาธุการประคองอัญชุลีตามเสด็จ พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๑๒๖-๒๒๘
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 พ.ค. 2015, 06:16 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ | ||
พุทธพยากรณ์ครั้งแรก ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ถึง สุเมธดาบสคิดว่า วันนี้เราจักสละชีวิตเพื่อตถาคตจึงสยายผม ปูลาดแผ่นหนังลงบนเปือกตม ลงนอนทอดตนเป็นสะพาน เพื่อให้พระพุทธองค์เสด็จผ่านพลางคิดว่า ขอพระพุทธเจ้าทรงเหยียบหลังเรา เสด็จผ่านไปพร้อมทั้งหมู่สาวก เหมือนเหยีบสะพานเถิด อย่าได้เหยียบเปือกตมเลย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้เข้ามาโดยตามลำดับ สุเมธดาบสได้เห็นพระรูปพระทีปังกรพุทธเจ้า ซึ่งประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ พร้อมด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ เปล่งพระพุทธรัศมี ก็ยิ่งมีความปิติเลื่อมใสตั้งความปรารถนาขอเป็นพระพุทธเจ้า อธิษฐานว่า หากเราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้าในโลกแล้ว จักยังมนุษย์โลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้ข้ามพ้นห้วงน้ำใหญ่ คือกิเลสด้วยกุศลอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ลำดับนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จมาถึง ณ ที่นั้น ประทับยืนเบื้องศีรษะของสุเมธดาบสตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า พวกเธอจงดูดาบสผู้มีความเพียรเผากิเลสนี้ ในอนาคตจักได้เป็น พระพุทธเจ้าในโลก เธอจักบังเกิดในตระกูลกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระมารดาจักมีนามว่ามายา พระบิดาจักมีนามว่าสุทโธทนะ ดาบสนี้จักมีนามว่าโคดม เธอจักได้ตรัสรู้ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ สุเมธดาบสได้ยินพระดำรัสพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้ว บังเกิดปิติโสมนัสยิ่งนักคิดว่าพระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐย่อมเที่ยงแท้ ด้วยพุทธพยากรณ์นี้ความปรารถนา ของเราจักสำเร็จ เราคงได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ฝ่ายมหาชนได้ยินดังนั้น ต่างพากันรื่นเริงยินดี ตั้งความปรารถนาว่าขอพวกเราทั้งหลายพึงได้บรรลุธรรมอันเลิศ ในอนาคตกาลที่สุเมธดาบสนี้ได้เป็นพระพุทธเจ้านั้นเถิด พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๒๑๑-๒๑๒
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 พ.ค. 2015, 07:16 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ | ||
ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า หลังจากพระทีปังกรพุทธเจ้า เหล่าพระสาวก หมู่เทวดาและมนุษย์จากไปแล้วสุเมธดาบสคิดว่าเราจักค้นหาธรรม อันเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า จึงปูอาสนะ นั่งลงเพื่อพิจารณา ก็ทราบว่าบารมี ๑๐ ประการ เป็นธรรมที่จะต้องบำเพ็ญเพื่อบรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณ ที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ได้สั่งสมสืบกันมา คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐารบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ขณะที่สุเมธดาบสกำลังพิจารณาบารมี ๑๐ ประการดังนี้ แผ่นดินใหญ่ไหวสะเทือนสะท้าน ชาวเมืองต่างก็ไม่สามารถดำรงกายอยู่ได้ ล้มลงราวกับต้นไม้ใหญ่ถูกพายุพัด หักโค่นลง มหาชนตกใจพากันเข้าไปกราบทูลถามพระทีปังกรพุทธเจ้าถึงเหตุที่เกิดขึ้น พระทีปังกรพุทธเจ้าตรัสว่า ในวันนี้เราได้พยากรณ์ผู้ใดจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเมื่อผู้นั้นกำลังพิจารณาธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งทุกพระองค์ได้อบรมสั่งสมมา แผ่นดินในหมื่นโลกธาตุ พร้อมทั้งเทวโลกจึงไหวด้วยเหตุนั้น เหล่าเทวดาทั่วทุกจักวาล ได้มาประชุมกันบูชาสุเมธดาบสด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น สรรเสริญคุณอันเป็นชัยมงคลด้วยประการต่างๆ สุเมธดาบสลุกจากที่ตนนั่ง แล้วไปถวายบังโคมพระพุทธเจ้าทีปังกรลากลับไปยังธรรมิกบรรพต ดำรงชีพอยู่ ณ ที่นั้นจนตลอดอายุขัย เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดยังพรหมโลก ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่าพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระสุเมธดาบส
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๒๑๑-๒๑๒
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 พ.ค. 2015, 15:22 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ | ||
การบำเพ็ญบารมี ในชาติที่เป็นพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมีเรื่อยมา ได้รับพุทธยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อมาอีก ๒๓ พระองค์ ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้า พระชาติสุดท้ายในการบำเพ็ญบารมีในมนุษย์โลก พระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์พิภพลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางผุสดี อัครมเหสีของพระเจ้าสญชัย แห่งแคว้นสีพี ตามคำทูลเชิญของเหล่าเทวดา ระหว่างทรงพระครรภ์พระนางผุสดีมีความปรารถนาที่จะบริจาคทาน พระเจ้าสญชัยจึงรับสั่งให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ประตูพระนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงสละทรัพย์วันละ ๖ แสน พระนางได้ถวายทานแก่สมถพราหมณ์ บริจาคทานแก่คนชรา คนป่วยไข้ คนเดินทาง และยาจกวณิพก ให้ได้อิ่มหนำสำราญมิได้ขาด ครั้นพระครรภ์ใกล้กำหนดคลอด พระนางผุสดีมีพระประสงค์จะเสด็จทอดพระเนตรบริเวณพระนคร พระราชารับสั่งให้ตกแต่งพระนครเพื่อการรับเสด็จ แล้วทรงพา พระนางเสด็จทอดพระเนตรรอบพระนคร ขณะที่เสด็จถึงย่านประกอบการค้า พระนางประสูติพระโอรสในระหว่างถนนย่านการค้า พระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดี จึงขนานนามพระโอรสว่า เวสสันดร แปลว่า ระหว่างการค้า วันที่ประสูติ มีช้างพักเชือกหนึ่งนำลูกของตนซึ่งเป็นช้างเผือกมาปล่อยไว้ที่โรงช้างหลวง แล้วเดินเข้าป่าหายไป ชาวเมืองให้ชื่อลูกช้างนี้ว่า ปัจจยนาค เวสสันดรกุมารมีพระทัยบริจาคทานตั้งแต่เยาว์ครั้นเจริญวัยครบ ๑๖ พรรษาทรงสำเร็จศิลปวิทยาทั้งปวงแล้ว พระราชบิดาจึงได้ส่งฑูตไปสู่ขอพระธิดาของพระเจ้ามัทราช ชื่อ มัทรี อภิเษกให้เป็นพระชายาของพระเวสสันดร พระนางมัทรีทรงประสูติ พระโอรสนามว่า ชาลี พระธิดานามว่า กัณหา พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ที่ ๓ หน้า ๑๕๓-๑๗๓
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 22 พ.ค. 2015, 06:22 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ | ||
พระเวสสันดรทรงบริจาคช้างปัจจยนาค พระเวสสันดรทรงบริจาคมหาทานอันยิ่งใหญ่ ทุกวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ กลางเดือน พระองค์ทรงขึ้นคอช้างปัจจยนาคไปทอดพระเนตรทุกโรงทาน ครั้งหนึ่ง แคว้นกาลิงคะเกิดฝนแล้ง ข้าวยากหมากแพง ผู้คนอดอยากล้มตายเป็นอันมากชนชาวกาลิงคะจึงเข้าไปกราบทูลพระราชาของตนว่า ในแคว้นสีพีมีช้างเผือกขาวผ่องชื่อ ปัจจยนาค เชื่อกันมาว่า ช้างนี้ไปอยู่ ณ ที่ใด สามารถบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาลได้ อีกทั้งพระโอรสของพระเจ้าสญชัย นามว่าเวสสันดร ก็เป็นผู้ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ขอพระองค์ได้ส่งฑูตไปทูลขอช้างเผือกมาเถิด พระราชาแคว้นกาลิงคะจึงรับสั่งให้ประชุม เลือเหล่าพราหมณ์ ๘ คนมีพระราชบัญชาว่า ให้ไปทูลขอช้างเผือกจากพระเวสสันดร แล้วนำมา ขณะที่พราหมณ์ทั้ง ๘ คนเดินทางไปถึง เป็นเวลาที่พระเวสสันดรทรงช้างปัจจยนาคกำลังเสด็จดำเนินมา พราหมณ์จึงเข้าไปกราบทูลขอตามรับสั่งของพระราชาแคว้นกาลิงคะ พระเวสสันดรทรงทราบความประสงค์ของพราหมณ์แล้วดำริว่า เมื่อพราหมณ์ขอสิ่งใด เราย่อมให้สิ่งนั้นโดยไม่หวั่นไหวเลย ใจของเรายินดีให้ทานเราจักให้ช้างมงคลนี้แก่พราหมณ์ พระเวสสันดรจึงเสด็จลงจากคอช้าง พระหตถ์ซ้ายทรงจับงวงช้างพระหัตถขวารินน้ำจากพระเต้า หลั่งลงในมือพราหมณ์ พระราชทานปัจจยนาคให้ไป พรามณ์ครั้นได้รับพระราชทานช้างมงคลแล้ว นำปัจจยนาคไปยังแคว้นกาลิงคะทันที มหาชนเห็นพรามณ์นั่งบนคอปัจจยนาคผ่านมา มีความสงสัย พากันถามว่า พราหมณ์ผู้เจริญท่านขี่ช้างมงคลของเราจะไปไหน พราหมณ์ตอบว่า พระเวสสันดรพระราชทานแก่พวกเรา แล้วพากันเดินทางออกจากพระนครไป พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ ๓ หน้า ๑๗๔-๑๗๗
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 22 พ.ค. 2015, 10:55 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติสำหรับผู้เริ่มต้น | ||
เนรเทศพระเวสสันดร ชาวสีพีไม่พอใจในการกระทำของพระเวสสันดร พากันไปร้องทุกข์ขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศพระเวสสันดร ออกไปจากแคว้นสีพี พระเจ้าสัญชัยจำต้อง ปฏิบัติตามความเห็นของชาวเมือง ก่อนที่จะออกจากแคว้นสีพี พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญ สัตตสดกมหาทาน คือ บริจาคของ ๗ อย่าง มี ช้าง ม้า รถ สตรี โคนม ทาส ทาสี อย่างละ ๗๐๐ แล้วตรัสกับพระนางมัทรีว่า ที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงไม่มีอะไรประเสริฐกว่าทานคือการให้ พระเวสสันดรทรงบริจาคทานอยู่จนถึงเย็น จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ วันรุ่งขึ้น พระเวสสันดรถวายบังคมลาพระราชชนนี ประทับยืนบนรถพระที่นั่งอำลามหาชน ทรงประทานโอวาทว่า พวกท่านอย่าประมาท จงทำบุญให้ทานรับสั่งให้นางมัทรี ดูแลพระโอรสและพระธิดา แต่ทุกพระองค์ก็ขอเสด็จตามไปด้วย พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระโอรสพระธิดา จึงพากันเดินออกจากพระนครระหว่าทางมีพราหมณ์ ๔ คนซึ่งมารับมหาทานไม่ทันได้ติดตามไปทูลขอม้าที่เทียมรถ พระเวสสันดรก็บริจาคไป ขณะนั้นพราหมณ์อีกคนหนึ่งเข้ามาทูลขอรถพระที่นั่ง พระองค์ทรงลงจากราชรถ พร้อมด้วยพระนางมัทรี พระโอรสและพระธิดา แล้วมอบรถให้พราหมณ์ไป พระเวสสันดรเสด็จดำเนินไปด้วยพระบาท ทรงจูงพระโอรส พระนางมัทรีทรงอุ้มพระธิดา พากันเดินทางต่อไปยังเขาวงกต ท้าวสักกะ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รับสั่งให้วิสสุกรมเทพบุตรเนรมิตบรรณศาลาสองหลังพร้อมด้วยบริขารและเครื่องใช้สอยทั้ง ๔ พระองค์เตรียมไว้ ณ เขาวงกต พระเวสสันดร ทรงถือเพศดาบส พระนางมัทรีทรงถือเพศเป็นดาบสินี ทรงให้พระโอรสพระธิดาเป็นดาบสกุมาร พระองค์ประทับอยู่ ณ บรรณศาลานั้นเป็นเวลานานถึง ๗ เดือน พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ ๓ หน้า ๑๗๘-๑๙๐
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 23 พ.ค. 2015, 06:21 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ | ||
พราหมณ์ชูชกทูลขอสองกุมาร ต่อมา พราหมณ์ชูชก ชาวเมืองกาลิงคะ ทราบข่าวการบำเพ็ญทานของพระเวสสันดร จึงเข้าไปขอสองกุมาร เพื่อนำไปเป็นทาสนางอมิตตาภรรยสาว พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ประเพณีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายท่านทรงบำเพ็ญบารมี และมหาบริจาค ๕ คือ สละทรัพย์ สละอวัยวะ สละชีวิต สละบุตร สละภรรยาเป็นทาน เพื่อบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เราควรขวนขวายบำเพ็ญให้บริบูรณ์ เพื่อจักเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งมวล จึงตัดสินพระทัยประทานสองกุมารให้แก่พรามณ์ไป พราหมณ์ชูชกเมื่อได้รับพระราชทานแล้ว ได้พาสองกุมารเดินทางไปยังแคว้นกาลิงคะ แต่เมื่อถึงทางแยกพราหมณ์ไม่รู้จักทาง จึงเดินหลงเข้าในแคว้สีพี วันที่พราหมณ์ชูชกเดินทางถึงกรุงเชตอุดร พระเจ้าสัญชัยประทับบนปราสาท ทอดพระเนตรเห็นสองกุมารที่หน้าพระลานหลวง จำได้ว่าเป็นพระนัดดาจึงมีรับสั่งให้หา ทรงทราบความแล้ว พระราชทานทรัพย์ให้แก่พราหมณ์เป็นค่าไถ่พระนัดดาทั้งสอง พระเจ้าสัญชัยทราบเรื่องจากพระกุมาร ทรงสลดพระทัยรีบเสด็จไปยังเขาวงกตเพื่อรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับสู่แคว้นสีพี ขณะที่พระองค์ได้พบกัน ทรงปิติโสมนัสท่วมท้นทรงล้มสลบ ณ บรรณศาลานั้น ท้าวสักกะจึงบันดาลให้ ฝนโบกขรพรรษตกลง ผู้ใดประสงค์จะเปียกก็เปียก ดุจฝนตกลงบนใบบัวแล้วไหลไป ทำให้พระองค์ทรงฟื้นจากสลบ ด้วยกำลังทานบารมีของพระโพธิสัตว์ พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีเป็นชาติสุดท้าย ครั้นสิ้นพระชนม์ไปเกิดสวรรค์ชั้นดุสิตทรงพระนามว่า เสตเกตุเทพบุตร รอเวลาที่จะเสด็จที่ลงมา บังเกิดในมนุษย์โลก เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่มที่ ๙ ภาคที่ ๓ หน้า ๑๙๐-๒๑๕
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 27 พ.ค. 2015, 06:33 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) | ||
พระโพธิสัตว์ ปฏิสนธิในมนุษย์โลก ขณะที่พระโพธิสัตว์สถิตอยู่ในภพดุสิต เหล่าเทวดาทราบว่าบัดนี้ถึงเวลาที่พระองค์จะต้องไปเกิดยังโลกมนุษย์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมทั้งท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมารนรดี ท้าวปรนิมมิตตวสวัตตี และท้าวมหาพรหม ได้พากันไปยังสำนักของ เสตเกตุเทพบุตร ทูลเชิญว่า พระองค์บำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน ด้วยปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณประสงค์จะช่วยสัตว์โลก บัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ขอเชิญให้ลงไปปฏิสนธิ ยังมนุษย์โลก เพื่อยังสัตว์โลกให้ข้ามพ้นจากกิเลสทั้งปวงเถิด พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้รับคำเชิญของเทวดาในขณะนั้น เนื่องจากจะต้องพิจารณาถึงสิ่งสำคัญที่จะต้องตรวจสอบก่อน ๕ ประการ คือ กาลอันสมควร ๑ สถานที่กำเหนิด ๑ ถิ่นกำเหนิด ๑ ตระกูล ๑ และพระมารดาผู้ให้กำเหนิด ๑ พระโพธิสัตว์พิจารณาแล้วเห็นว่า บัดนี้เป็นกาลอันสมควรแล้ว ที่จักเกิดในชมภูทวีป ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในตระกูลกษัตริย์ พระนางมหามายาจักเป็นพระราชมารดา ทรงพิจารณา พร้อมทั้ง ๕ ประการแล้ว จึงรับคำร้องขอของเทวดาทั้งหลาย จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขณะที่พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระชนนีโลกธาตุทั้งสิ้นสะเทือนเลื่อนลั่นแผ่นดินไหวพร้อมกันทันที นับแต่ปฏิสนธิ เทวบุตร ๔ องค์ ถือพระขันธ์ถวายอารักขา พระโพธิสัตว์และพระมารดา พระวรกายของพระมารดามิลำบาก ทอดพระเนตรเห็น พระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในพระครรภ์ ประดุจเห็นเส้นสีเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีอันใส ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๖๙๒-๖๙๖
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 27 พ.ค. 2015, 08:47 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) | ||
พระโพธิสัตว์ประสูติ พระนางมหามายาทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน มีพระประสงค์จะเสด็จไปคลอดที่เทวทหนคร อันเป็นถิ่นกำเหนิด ซึ่งเป็นประเพณีของชาว ชมภูทวีป พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้เจ้าพนักงานตกแต่งทางกรุงกบิพัสดุ์ จนถึงเทวทหนครให้ราบเรียบ ให้พระนางประทับวอทอง ส่งพระนางไป พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก ระหว่างทางเสด็จผ่านอุทยานชื่อ ลุมพินี ขณะนั้นต้นสาละกำลังออกดอกบานสะพรั่ง หมู่ภมรและมวลวิหคนานาชนิด ส่งเสียงร้องอยู่ด้วยความ ไพเราะ ในระหว่างกิ่งระหว่างดอกทั้งหลายเป็นที่น่ารื่นรมณ์ พระนางทอด พระเนตรเห็นดังนั้นประสงค์จะเข้าไปชมใกล้ๆ เสด็จลงจากวอทอง ประทับ ยืนเหนี่ยวกิ่งสาละลงมา เมื่อประสงค์กิ่งใด กิ่งนั้นก็จะโน้มลงมาจนถึงพระหัตถ์ ขณะนั้น พระนางรู้สึกปั่นป่วนในพระครรภ์ เหล่าข้าราชบริพารจึงกั้นพระวิสูตรให้พระนางแล้วหลีกไป พระประสูติราชโอรสในขณะที่ประทับยืน จับกิ่งสาละอยู่เช่นนั้น ท้าวมหาพรหมรับพระโพธิสัตว์ด้วยข่ายทอง ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์รับพระโพธิสัตว์จากพระหัตถ์ของท้าว มหาพรหม ด้วยเครื่องลาดอันเป็นมงคล ต่อมาพวกข้าราชบริพารที่ตาม เสด็จ นำเบาะผ้าเนื้อดีรับจากพระหัตถ์ท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วทูลเชิญ พระนางมหามายาและพระโอรส เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ในวันนั้น สหชาติชาติทั้ง ๗ กาลที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ณ ลุมพินีวัน มีสิ่งสำคัญบังเกิดขึ้นพร้อมกัน ๗ อย่างคือ พระนางยโสธรา ๑ เจ้าชายอานนท์ ๑ นายฉันนะ ๑ กาฬุทายี ๑ ม้ากัณฑกะ ๑ ต้นมหาโพธิ ๑ และขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ขุม ๑ การเกิดขึ้นพร้อมกันเหล่านี้ ชื่อว่า สหชาตชาติทั้ง ๗ พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศื เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๖๙๖-๖๙๙
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 28 พ.ค. 2015, 06:31 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) | ||
กาฬเทวิล ทำนายพระลักษณะ ชนชาวนครทั้งสองคือกบิลพัสดุ์ และเทวทหะ ได้อัญเชิญพระโพธิสัตว์และพระมารดากลับไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ในวันนั้น หมู่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ร่าเริงยินดีว่า พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะอุบัติแล้ว พระราชกุมารนี้จะประทับนั่ง ณ ควงโพธิพฤก แล้วจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้งนั้น กาฬเทวิลดาบส เป็นผู้คุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ กระทำภัตรกิจแล้วขึ้นไปยังชั้นดาวดึงส์พิภพเพื่อพักกลางวัน ได้ทราบข่าวจากชั้นดาวดึงส์ว่าพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ประสูติแล้ว เหล่าเทพป่าวประกาศอีกว่า พระโอรสของพระองค์นั้น จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงประกาศพระธรรมจักรแก่ชาวโลก กาฬเทวิลดาบสจึงลงจากเทวโลก เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ ทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่า มหาบพิตร อาตมาภาพทราบข่าวว่า พระโอรสของพระองค์ประสูติแล้ว อาตมาภาพใคร่เห็นพระราชบุตรนั้น พระเจ้าสุทโธทนะจึงรับสั่งให้นำพระโอรสมา เพื่อให้นมัสการพระดาบสแต่พระบาทของพระโพธิสัตว์กลับไปประดิษฐานอยู่บนชฎาของพระดาบส กาฬเทวิลเห็นพระลักษณะของพระโอรสแล้ว ทราบด้วย อนาคตังสญาณ คือ ปัญญาที่หยั่งรู้อนาคตว่า พระราชโอรสนี้เป็นอัจฉริยะบุรุษ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย พระดาบสจึงลุกจากอาสนะ ประคองอัญชลีถวายบังโคมพระโอรสด้วยความปิติ พระราชาเห็นพระดาบสกระทำดังนั้น ทรงไหว้ตามด้วยความมหัศจรรย์พระทัยยิ่งนัก ฝ่ายพระมหามายา หลังจากประสูติโอรสได้ ๗ วัน ก็สิ้นพระชนม์(เป็นธรรมดาของพระมารดาพระโพธิสัตว์) ไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต พระนามว่า มายาเทพบุตร พระราชาทรงมอบให้พระนางปชาบดีโคตมี (พระน้านาง) อภิบาลต่อ พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย อปทาน เล่มที่ ๘ ภาค ๑ หน้า ๑๑๓-๑๑๔
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 29 พ.ค. 2015, 07:19 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) | ||
เฉลิมพระนามพระโอรส วันที่ ๕ หลังจากประสูติ บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลายดำริว่าจะเฉลิม พระนามโอรสเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาบริโภคอาหารในพระราชนิเวศน์ เลือกพราหมณ์บัณฑิต ๘ คน ให้ทำนายพระลักษณะ พราหมณ์ ๗ คน พยากรณ์เป็นสองนัยว่าพระโอรสเจริญวัยแล้ว ถ้าเป็นคฤหัสถ์จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะ ซึ่งมีอายุน้อยกว่าทุกคน พยากรณ์นัยเดียวว่าพระโอรสนี้ได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน พระราชาตรัสถามว่า ก็บุตรของเราเห็นอะไร จึงออกบวช พราหมณ์โกญฑัญญะกราบทูลว่า จะเห็นนิมิต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระเจ้าสุทโธทนะตรัสว่า เราต้องการให้โอรสของเราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ไม่ต้องการให้เป็นพระพุทธเจ้า พร้อมกันขนานนามพระโอรสว่า สิทธัตถะ แปลว่า สมประสงค์ พราหมณ์เหล่านั้นเมื่อกลับถึงเรือน ต่างเรียกบุตรของตนมาสั่งว่าพวกเราแก่แล้ว คงจะไม่ทันเห็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงบรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณ ฉะนั้น ในอนาคตเมื่อพระราชกุมารนี้ทรงผนวช ตรัสรู้เป็พระพุทธเจ้าแล้ว พวกเจ้าพึงบวชในพระศาสนาของพระองค์เถิด พราหมณ์ทั้ง ๗ คนดำรงค์อยู่ตราบเท่าอายุขัย ต่างก็สิ้นชีวิตไป เหลือแต่โกณฑัญญะที่มีอายุน้อยที่สุด ปราสาท ๓ ฤดู เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัย มีพระชนม์ ๑๖ พรรษาทรงสำเร็จการศึกษาศิลปวิทยาต่างๆ แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะสร้างประสาท ๓ หลัง ให้เป็นที่ประทับ ของพระโอรส เปลี่ยนไปตามฤดู ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งรัชทายาท ทรงอภิเษก พระนางยโสธรา ธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงเทวหะเป็นอัครชายา
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 30 พ.ค. 2015, 06:29 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) | ||
เหตุแหงการณ์ออกผนวช วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะมีพระประสงค์จะประพาสอุทยาน สารถีจัดเตรียมรถพระที่นั่ง เทียมม้าสินธพอันเป็นมงคล ๔ ตัว เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน เทวดาทั้งหลายดำริกันว่า กาลที่ตรัสรู้ของเจ้าชายสิทธัตถะใกล้เข้ามาแล้วพวกเราจะแสดงนิมิตแก่พระองค์ จึงแปลงกายเป็นคนแก่ มีผมหงอก ฟันหัก หลังโกง กายค้อมลง เดินถือไม้เท้า งกๆ เงิ่นๆ อยู่ข้างทางที่เสด็จ เจ้าชายไม่เคยเห็น จึงตรัสถามสารถี สารถีทูลว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาแล้ว ต้องประสบกับความแก่ เช่นนี้ เจ้าชายสดับคำของสารถีแล้วสลดพระทัย รับสั่งให้กลับพระราชวัง วันรุ่งขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะมีความประสงค์จะประพาสอุทยานอีก ครั้งนี้เทวดาแสดงนิมิต แปลงตนเป็นคนเจ็บ นอนร้องครวญครางอยู่ เจ้าชายตรัสถามสารถี ก็ได้รับคำตอบว่ามนุษย์ที่เกิดมาทุกคน ต้องประสบกับความป่วยเช่นนี้ ทรงทราบสลดพระทัย รับสั่งให้กลับพระราชวัง วันที่สาม เทวดาแปลงนิมิตให้เห็น คนตาย บรรดาญาติหามมาบนแคร่เดินร้องให้มาในระหว่างทาง ตรัสถามสารถี ทราบว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย สดับคำสารถีแล้ว ทรงเห็นโทษการเกิดขึ้นของสัตว์ทั้งหลาย ยิ่งมีความสลดพระทัย บังเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมากทุกที จึงรับสั่งให้กลับพระราชวัง วันที่สี่ พระโพธิสัตว์เสด็จออกประพาสอุทยานอีก ครั้งนี้ทอดพระเนตรเห็นนักบวช ที่เทวดานิมิต นุ่งห่มเรียบร้อย ด้วยกิริยาที่สำรวม ทรงพอพระทัยยิ่งตรัสถามสารถี สารถีแม้ไม่รู้จักนักบวช เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้นก็จริงอยู่ แต่ก็ทูลด้วยอำนาจ ของเทวดา เจ้าชายสิทธัตถะทราบว่าผู้นี้คือนักบวช ออกบวชเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์ พระองค์มีความพอพระทัยยิ่งในการบรรพชา เสด็จประพาสอยู่ในอุทยาน จนเย็นจึงกลับพระราชวัง พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๐๖-๗๑๐
|
|||
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 มิ.ย. 2015, 07:04 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ภาพเล่าพระพุทธประวัติ (รวบรวมโดย คุณแม่สุรีย์ มีผลกิจ) | ||
มหาภิเนษกรมณ์ ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะกำลังเสด็จกลับ พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบว่าพระนางยโสธราประสูติพระโอรส เสด็จมาแสดงความยินดี รับสั่งว่าหลานจงชื่อ ราหุล ระหว่างที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จดำเนินไปยังปราสาท ได้สดับอุทานของเจ้าหญิงกีสาโคตมี ซึ่งประทับอยู่ ณ ปราสาทอีกหลังหนึ่งว่า บุรุษมีความสง่างามเช่นนี้ เป็นบุตรของมารดาใด มารดานั้นก็ดับร้อนได้ เป็นบุตรของบิดาใด บิดานั้นก็ดับร้อนได้ เป็นสามีของสตรีใด สตรีนั้นก็ดับร้อนได้ เจ้าชายทรงดำริว่าเจ้าหญิงองค์นี้ให้คติเตือนใจ เราเป็นอย่างดี ในวันนี้เราจะต้องออกบวชเพื่อแสวงหาความดับให้จงได้ ครั้นเสด็จถึงปราสาท ทรงบรรทมบนพระแท่นไสยาสน์ เหล่าสตรีนักฟ้อนรำขับร้องพากันมาแวดล้อมขับร้องบรรเลง เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระทัยเบื่อหน่ายในกามทั้งหลาย ไม่ทรงสนพระทัย ครู่เดียวก็สู่เข้านิทรา ตื่่นบรรทมในตอนดึกประทับนั่งขัดสมาธิบนพระแท่น ทอดพระเนตรเห็นอาการต่างๆ ของเหล่าสตรีในขณะนั้นก็ยิ่งบังเกิดความเบื่อหน่ายสุดประมาณ ทรงพระดำริว่าเราจะออก มหาวิเนษกรมณ์จึงลุกออกจากพระแท่นบรรทม เสด็จไปหานายฉันนะ ซึ่งนอนเฝ้าประตู รับสั่งให้เตรียมม้ากัณฐกะ ซึ่งเป็นม้าทรง พร้อมที่จะออกเดินทางทันที พระองค์ทรงดำริว่าก่อนไปควรจะไปดูราหุลก่อน แต่กลับคิดได้ว่าหากทำเช่นนั้นจะเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้เราออกบวช รอไว้ตรัสรู้ก่อนจึงจะกลับมาเยี่ยมพระโอรส และพระนางยโสธราภายหลัง แล้วจึงเสด็จออกจากปราสาทไป เจ้าชายสิทธัตถะเข้าไปใกล้ม้าแล้วตรัสว่า กัณฐกพ วันนี้เจ้าจงพาเราข้ามฝั่งเราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะช่วยสัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามด้วย จากนั้นเสด็จขึ้นประทับบนหลังม้า โปรดให้นายฉันนะนั่งเบื้องหลัง ถึงประตูเมืองในเวลาเที่ยงคืน เทวดาที่รักษาประตูบันดาลให้ประตูเมืองเปิด เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากพระนครไป โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุทกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๑๑-๗๑๗
|
|||
| หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|