ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พุทธจริยาประวัติ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=43349 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | เปรี่ยมสุข [ 19 ก.ย. 2012, 21:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | พุทธจริยาประวัติ |
![]() ในอดีตกาลพระพุทธเจ้าของเราบังเกิดเป็นสุเมธดาบส พบพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามว่า พระพุทธทีปังกร ได้ตั้งความปรารถนาไว้ขอให้เป็นพระพุทธเจ้า สมัยนั้นมหาชนต่างก็ทำกุศลมีการถวายทานแก่พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งปวง สุเมธดาบสแลเห็นพระพุทธทีปังกรเสด็จมาพร้อมด้วยหมู่สาวก เกิดศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่พระพุทธทีปังกรเสด็จผ่านมาตามถนนนั้น ในระหว่างทางมีที่ลุ่มเป็นโคลนตม จึงทอดกายลงบนพื้นถนนเพื่อให้พระพุทธเจ้าทีปังกร และพระสาวกเสด็จผ่าน และได้ตั้งความปรารถนาไว้ขอให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธทีปังกรเสด็จผ่านไปแล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีนามว่า “พระโคดม” ตั้งแต่ได้รับพยากรณ์แล้ว จึงเรียกว่า “พระโพธิสัตว์” ตั้งแต่นั้นมาก็ทรงบำเพ็ญบารมี 10 ประการ มีทานบารมี เป็นต้น มีอุเบกขาบารมีเป็นที่สุด บำเพ็ญบารมีเป็นเวลานับด้วยกัลป์ สิ้นภพ สิ้นชาติ อันประมาณมิได้ พระชาติสุดท้ายบังเกิดเป็นพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ได้ทรงสร้างทานบารมีอย่างยอดเยี่ยมสิ้นจากชาตินี้แล้วก็อุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นเทพบุตรชื่อว่า “สันดุสิตเทวราช” สมัยนั้นเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ได้มาประชุมพร้อมกันในสวรรค์ชั้นดุสิตต่างยกหัตถ์ทั้งคู่ชูอัญชลีกร ทูลอาราธนาว่าข้าแต่มหาวีระ กาลบัดนี้สมควรที่พระองค์ จะจุติลงเกิดในมาตุคัพโภทร เพื่อรื้อขนสัตว์นิกรในมนุษย์โลกกับทั้งเทวโลกจากห้วงแห่งให้พ้นจากห้วงแห่งการเวียนว่ายตายเกิด อันมิรู้จบสิ้น ให้บรรลุถึงทางปฏิบัติซึ่งจะเข้าสู่พระอมตมหานิพพาน ![]() กาลครั้งนั้นในชมพูทวีป กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดิ์ทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่าพระนางสิริมหามายา ลุถึงมงคลสมัย อาสาฬหปุรณมีเพ็ญเดือน 8 เมื่อวันพฤหัสบดี ปีระกา เป็นวันที่พระโพธิสัตว์จุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น พระนางสิริมหามายา ทรงพระสุบินนิมิตว่าท้าวจตุมหาราช มายกพระองค์ไปแท่นพระไสยาสน์สู่ป่าหิมพานต์ได้สรงน้ำในสระอโนดาตท่าที่ลงสรงแห่งพุทธมารดา แล้วให้ผลัดด้วยผ้าทิพย์ มีเสวตหัตถีเชือกหนึ่งมาประทักษิณ 3 รอบ แล้วเหมือนเข้าไปในอุทร ขณะนั้นพอดีกับพระโพธิสัตว์จุติมาปฏิสนธิในมาตุคัพโภทร ประสูติ ณ ป่าลุมพินีวัน ครั้งเมื่อพระครรภ์ครบบริบูรณ์ พระนางสิริมหามายาปรารถนาจะไปเยี่ยมพระบิดา พระมารดา ขณะดำเนินมาถึงป่าลุมพินีวันระหว่างกรุงกบิลพัสดิ์ และกรุงเทวะทหะนคร ทรงประชวรพระครรภ์ประทับยืนเหนี่ยวกิ่งรัง ได้ประสูติพระราชโอรสงามหมดจดด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ณ ที่นั้นเอง ขณะประสูติพระกุมารได้ย่างพระบาทไปทิศอุดรได้ 7 ก้าว เปล่งอาสภิวาจา อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺสฺ เสฏโฐหมสฺมิ โลกสฺสฺ เสฏโฐหมสฺมิ โลกสฺสฺ อยนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติฯ ความว่า เราเป็นผู้ยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก การเกิดขอเราเป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มี ![]() กาลครั้งนั้นยังมีฤษีองค์หนึ่งชื่อ อสิตดาบส หรือ กาฬเทวิลดาบส เป็นอาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ ทราบข่าวประสูติราชโอรสก็มาเยี่ยม พระเจ้าสุทโธทนะทรงอุ้มมาเพื่อจะให้นมัสการพระดาบส ด้วยบุญบารมีปรากฏเป็นปาฏิหาริย์พระกุมารได้ไปประดิษฐานอยู่บนชฎาของพระฤษี พระบิดา และพระอสิตดาบสจึงหัตถ์ขึ้นนมัสการ ท่านอสิตดาบสจึงพิจารณาด้วยญาณก็ทราบว่าพระกุมารนี้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็หัวเราะ และพิจารณาออกไปอีกว่าตนจะอยู่ทันพระกุมารนี้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ทราบด้วยญาณว่าตนจะแตกกายทำลายขันธ์เสียก่อน ก็เสียใจร้องไห้ พระเจ้าสุทโธทนะเห็นกิริยานั้น ตกใจคิดว่าจะมีเหตุเภทภัยมาถึงพระกุมาร จึงสอบถามพระดาบสก็ตอบว่าไม่มีภัยอันใดแก่พระกุมาร ที่หัวเราะก็เพราะดีใจที่พระการจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูที่ร้องไห้ก็เพราะเสียใจที่ตนเองมีอายุขัยอยู่ไม่ทันถึงระกุมารจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และถวายพระพรลากลับไปยังบ้านน้องสาว และได้สั่งหลานชายของตนชื่อนาละกะให้ออกบวชคอยท่าแต่วันนั้น ต่อมาในมัชฌิชกาล นาละกะได้พบพระพุทธเจ้าในสมัยที่ตรัสรู้แล้วและได้อุปสมบทในพุทธศาสนา ทูลถามถึงโมไนยปฏิบัติและได้ปฏิบัติจนอุกฤษฏวัตต์อยู่ 7 เดือนจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้พิจารณาว่าจะสิ้นอายุสังขารจึงไปยืนพิงสุวรรณบรรพตแห่งหนึ่งแล้วดับขันธ์นิพพาน ณ ที่นั้น ![]() ครั้งล่วงมาได้ 5 วัน ให้เชิญพราหมณ์ 108 มายังพระราชมณเฑียร เลือกอาเฉพาะที่เชี่ยวชาญได้ 8 คน ชื่อรามพราหมณ์1 ลักษณะพราหมณ์1 ยัญญะพราหมณ์1 ธุชะพราหมณ์1 โภชพราหมณ์1 สุทัตตะพราหมณ์1 สุยามะพราหมณ์1 โกณฑัญญะพราหมณ์1 ตั้งชื่อพระราชโอรส ขนานนามว่า “สิทธัตถะ” แปลว่า ต้องการอะไรสำเร็จ และพราหมณ์ทั้ง7 ต่างพยากรณ์ คติเป็น 2 คือ ถ้าอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าออกบวชจะได้ตรัสรู้ป็นพระพุทธเจ้า ส่วนโกณฑัญญะพราหมณ์ ซึ่งเป็นพราหมณ์หนุ่มมีความมั่นใจในตำรายกนิ้วว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลกแน่นอน ฝ่ายพราหมณ์ทั้ง 8 เมื่อกลับถึงบ้านของตนก็สั่งบุตรว่า ถ้าพระกุมารออกบวช เจ้าจงออกบวชตามเถิด พราหมณ์ทั้ง 7 นั้นก็ทำลายขันธ์ไปตามอายุขัย คงอยู่แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้เดียว เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช โกณฑัญญะพราหมณ์ก็จะไปชวนบุตรพราหมณ์ทั้ง7 มีออกบวชตามเพียง 4 คน เท่านั้น ชื่อ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ กับโกณฑัญญะพราหมณ์ เป็น 5 เรียกว่าปัญจวัคคีย์ พระกุมารประสูติได้ 7 วัน พระมารดาก็เสด็จสวรรคตไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ดุสิต ![]() เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภิเษก พระเจ้าสุทโธทนะได้สร้างปราสาทให้ 3 หลัง พรั่งพร้อมด้วยเหล่าสนมกำนัลบำเรอบำรุงด้วยเบญจกามคุณ ครั้งอายุ 16 พรรษาได้อภิเษกกับนางพิมพา ![]() เสด็จประพาสพระนครเห็นเทวทูตทั้ง 4 สมัยหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะปรารถนาจะเลียบพระนคร สั่งนายฉันนะซึ่งเป็นสารถีพาเสด็จประพาสรอบพระนคร เห็นเทวทูตทั้ง4 อันเทวดานิรมิตให้เห็น คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เหตุที่พระองค์ไม่คยเห็นมาก่อน จึงถามนายฉันนะว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร นายฉันนะทูลว่า นั่นคนแก่ นั่นคนเจ็บ นั่นคนตาย ตรัสถามว่าเราจะต้องเป็นอย่างนั้นหรือไม่ นายฉันนะทูลว่าทุกคนต้องเป็นอย่างนั้นหรือไม่ นายฉันนะทูลว่าทุกคนต้องเป็นอย่างนั้นไม่มีใครล่วงพ้นไปได้ ทรงสลดพระทัยและได้แลเห็นสมณะอันเทพยดานิรมิตให้เห็น ก็พอใจในสมณะนั้นทรงเปล่งอุทานว่า สาธุโขปพพชา บวชดีนักแล ทรงตัดสิพระทัยจะบรรพชาแล้วได้เสด็จกลับยังพระนคร ในวันนั้น พระนางพิมพาได้ประสูติพระโอรส สมเด็จพระบิดาทรงโสมนัส รับสั่งราชบุรุษนำข่าวสารแจ้งแก่พระราชบุตรพระมหาบุรุษทรงทราบตรัสว่า พนฺธนํ ชาตํ ราหุลํ ชาตํ แปลว่า บ่วงเกิดแล้ว พระโอรสจึงได้นามว่า ราหุล และภายในราตรีนั้นเองทรงตื่นจากบรรทม เห็นนางกำนัลนอนแสดงอาการวิปริตต่างๆทรงสังเวชพระทัยดุจป่าช้า คิดที่จะบรรพชาทันที เหตุด้วยบารมีที่สั่งสมมากระตุ้นเตือน จึงสั่งให้นายฉันนะผูกม้ากัณฐกะ พลางเสด็จไปเยี่ยมพระโอรส มารดาราหุลก็จะตื่น จะเป็นอันตรายแก่มหาภิเนษกรมณ์ของเรา แล้วคิดตัดพระทัยว่าถ้าได้สำเร็จะพระสัพพัญญูเมื่อใด จะมาเยี่ยมพระลูกแก้วภายหลัง ทรงเสด็จขึ้นม้ากัณฐกะพร้อมด้วยนายฉันนะ ฝ่ายพระยาวัสสวดีมาร พอรู้ว่พระสิทธัตถะกุมารจะออกบรรพชาก็มาห้ามว่า ท่านสิทธัตถะ อย่าไปเลยอีก 7วันท่านจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระโพธิสัตว์ก็มิได้ฟัง พลางเสด็จดำเนินต่อไป ![]() บรรลุถึงอโนมามหานที ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ทรงเปลื้องขัตติยวราภรณ์มอบแก่นายฉันนะ รับสั่งให้นำม้ากัณฐกะกลับพระนครเพื่อแจ้งข่าวแก่พระราชบิดา และประยูรญาติพร้อมทั้งพิมพาว่าเมื่อเราได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณเมื่อใด จะกลับมาเช็ดอัสสุชลพระบิดา กับประยูรญาติและพิมพา ![]() สมัยนั้นพระโพธิสัตว์ได้ถึงมคธชนบท ได้ศึกษาอยู่ในสำนักอาฬารดาบส แขวงพาราณาสี ได้สำเร็จฌานที่ 7 คืออากิญจัญญายนตฌาน ได้ถามถึงธรรมขั้นสูงต่อไป อาฬารดาบสก็บอกว่ามีเพียงเท่านี้ พระองค์เห็นว่ายังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์จึงเสด็จต่อไปยังสำนักอุทกะดาบส ศึกษาได้ฌานสมาบัติ 8 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน ได้ถามถึงธรรมที่สูงขึ้นไปอีก อาจารย์ก็บอกว่ามีเพียงเท่านี้ และชักชวนให้ช่วยกันสั่งสอนลูกศิษย์ต่อไป พระโพธิสัตว์เห็นว่าฌานสมาบัติ 8 ที่เรียนมายังมิใช่ทางพ้นทุกข์ จึงลาอาจารย์ไปค้นคว้าด้วยตนเอง ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา ณ อุรุเวลาประเทศโดยวิธีการต่างๆอยู่ถึง 6 พรรษา ทรมานกายให้ลำบาก ด้วยการกดพระทนต์ (ฟัน) กดพระตาลุ(เพดาน) ด้วยพระชิวหาคือลิ้น ผ่อนลมหายใจเข้าออกทีละน้อย เสวยพระกระยาหารแต่ละน้อยจนถึงไม่เสวยเลย ทำให้พระกายได้รับความลำบากยิ่ง ยากที่จะหานักพรตใดๆกระทำได้ นับเป็นความเพียรอันอุกฤษฏ์ แต่ก็หาสำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมมาสัมโพธิญาณไม่เพราะทุกกรกิริยา ไม่ใช่ทางตรัสรู้ อนึ่ง การทรมานร่างกายให้ลำบาก ในสมัยนั้นเชื่อว่าเป็นวิธีที่ย่างกิเลสให้แห้ง เป็นทางแห่งความสำเร็จทางเดียวเท่านั้นจึงมีผู้ปฏิบัติกันมาก ในการครั้งนั้น นางสุชาดาของกฎุมพีซึ่งเป็นนายบ้าน อยู่ในตำบลเสนานิคม จังหวัดอุรุเวลา ได้บวงสรวงต่อรุกเทวดาไว้ว่าถ้าหากได้สามีที่พอใจ และบุตรชายแล้วไซร้ มธุปายาส ความปรารถนาของนางสำเร็จสมประสงค์แล้ว จึงจัดแจงกวนข้าวมธุปายาสด้วยตนเอง ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เพื่อจะไปบวงสรวงเทพยดา ณ นิโครธพฤกษ์ในวันรุ่งขึ้น วิธีกวนข้าวมธุปายาส เริ่มแรกเธอรีดเอานมจากโค 1,000 ตัวก่อน แล้วเอาไปให้แม่โคนม 500 ตัวกินเป็นอาหาร แล้วจึงรีดนมจากแม่โคนม 500 ตัวไปให้แม่โค 250 ตัว กินเป็นอาหารอีก และรีดเอานมจากแม่โค 250 ตัว ไปให้แม่โคอื่นโดยลดลงตามลำดับ จนหลือแม่โค 8 ตัวนี้นับว่าบริสุทธิ์มีโอชะเป็นอันมาก ใส่ในกระทะทองอันบริสุทธิ์กวนกับธัญพืชอื่นๆจนพอดี ขณะกำลังหุงอยู่นั้นสมเด็จอมรินทร์ ได้ทรงทราบเหตุการณ์จึงนำเอาทิพยาหารอันโอชะมาโปรยลงในกะทะทอง เพื่อให้มีรสโอชะยิ่ง ![]() ในวันวิสาขะปุณฺณมี เพ็ญดิถีขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นางสุชาดาสั่งให้สาวใช้ไปทำความสะอาดยังใต้ต้นไทรแต่เช้าเพื่อจะนำเอาข้าวมธุปายาสไปถวาย นางสาวใช้ไปถึงเห็นพระโพธิสัตว์กำลังนั่งอยู่สำคัญว่ารุกขเทวดา จึงรีบมาแจ้งแก่นางสุชาดา นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส นางสุชาดาดีใจจึงตั้งสาวใช้ผู้นั้นเป็นธิดาคนโตของตน แล้วนางจึงรีบถือถาดทองคำ ซึ่งบรรจุข้าวมธุปายาส ออกจากบ้านไปสู่นิโครธพฤกษ์ทันทีพร้อมด้วยนางทาสี และบริวารเป็นอันมาก เมื่อถึง ณ ที่นั้นแลเห็นพระมหาบุรุษ ด้วยสำคัญว่า เป็นเทวดาโดยแท้จริงจึงนำถาดข้าวมธุปายาสไปถวาย ทูลว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอถวายข้าวมธุปายาสพร้อมกับภาชนะ เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงรับข้าวมธุปายาสแล้วปั้นเป็นปั้นได้ 49 ปั้นๆ ละเท่าผลตาลสุก ทรงเสวยจนหมดแล้วได้เสด็จไปฝั่งแม่น้ำเนรัญชราเสี่ยงพระบารมีว่า ถ้าหากเราจะได้ตรัสรู้อนุตตรธรรม ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ถาดได้ลอยทวนกระแสน้ำไปด้วยแรงอธิษฐานไกล 80 ศอก และได้จมลงสู่นาคพิภพ รวมกับถาด 3 ใบ ของอดีตพระพุทธเจ้ามีกุกกุสันโธ พระโกนาคมนะพระกัสสป พระยากาฬนาคราชทรงตื่นจากบรรทม ได้ยินเสียงถาดกระทบกันเสียงดังกริกๆดำรัสว่า โอ เมื่อวันวานนี้พระชินสีห์อุบัติในโลก องค์หนึ่งแล้ว วันนี้ก็บังเกิดอีกองค์หนึ่งเล่า |
เจ้าของ: | ฟ้าใสใส [ 06 ม.ค. 2016, 22:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธจริยาประวัติ |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |