ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 04 มี.ค. 2013, 17:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
เมืองพาราณสี แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี • แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี มหานทีแห่งศรัทธา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48767 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 12 มี.ค. 2013, 18:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
เมืองปาฏลีบุตร (เมืองปัตนะ) ๑ ใน ๘๐ เสาของห้องโถง (ในภาพ : เป็นเสาด้านที่ฝังอยู่ในดิน) ณ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร (เมืองปัตนะ) ประเทศอินเดีย สถานที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ครั้งที่ ๓ ภาพเขียนจำลอง “เสาของห้องโถง” ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งมี ๘๐ เสาทำจากหินแดง หลังจากได้ขุดค้นพบแล้ว ณ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร (เมืองปัตนะ) ประเทศอินเดีย สถานที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ครั้งที่ ๓ • จาก “พระพุทธเจ้า” ถึง “พระเจ้าอโศกมหาราช” โดย ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4574 • การสังคายนาพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=47652 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 มี.ค. 2013, 08:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ |
เจ้าของ: | มิสเตอร์ [ 21 ก.ค. 2013, 16:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
สาธุ พุทโธ ธัมโม สังโฆ |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 28 ก.ค. 2013, 14:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
เมืองโภปาล พระสถูปสาญจี หรือ มหาสถูปสาญจี เมืองโภปาล รัฐมัธยมประเทศ ประเทศอินเดีย • สาญจี พระสถูปที่บรรจุพระธาตุแห่งพระอัครสาวก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48450 |
เจ้าของ: | Hanako [ 21 ก.พ. 2016, 17:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
พระสถูปปาวาลเจดีย์ เมืองไวสาลี ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขารเป็นครั้งสุดท้าย อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ในพรรษาที่ ๔๕ พรรษาสุดท้ายแห่งการดำเนินพุทธกิจ พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ทรงประทับจำพรรษาอยู่ที่เวฬุวคาม แขวงเมืองไพศาลี (เมืองไวสาลี ในปัจจุบัน) แคว้นวัชชี ในระหว่างพรรษานี้พระพุทธองค์ทรงประชวรอย่างหนัก มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง จนถึงกับจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ครั้นถึงวันมาฆบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๓ ปีจอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขาร โดยตั้งพระทัยว่า “นับแต่นี้ต่อไปอีกสามเดือน วันเพ็ญในกลางเดือนหก (วิสาขะ) ปีจอ ตถาคตจักดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา” การปลงอายุสังขารจึงมีความหมายในภาษาสามัญว่า การกำหนดวันตายไว้ล่วงหน้านั่นเอง การปลงอายุสังขารนี้มีขึ้น ณ ร่มไม้แห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์ บ้านเวฬุวคาม แขวงเมืองไพศาลี (เมืองไวสาลี ในปัจจุบัน) เวลากลางวัน |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 27 มิ.ย. 2020, 09:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
เมืองไวสาลี วัดกูฏาศาลาป่ามหาวัน เมืองไวสาลี ประเทศอินเดีย ซึ่งมีสถูปทรงโอคว่ำ และเสาหินของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่สมบูรณ์ที่สุดในอินเดีย ที่ยังปรากฏสิงโตหินบนยอดเสา นอกจากนี้แล้ว ที่สำคัญวัดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ ประทานพุทธานุญาตบวช “พระนางมหาปชาบดีโคตมี” เป็นพระภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา • ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=35006 พระมหาสถูปแห่งเกสเรีย (Kesaria Stupa) เมืองไวสาลี ประเทศอินเดีย หรือในปัจจุบันเรียกว่า พระมหาสถูปแห่งเกสรียา (Kesariya Stupa) มหาสถูปทางพระพุทธศาสนาที่เพิ่งค้นพบใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานบาตรของพระพุทธเจ้าที่ทรงประทานแก่ชาวเมืองไวสาลี ในครั้งพุทธกาลพระมหาสถูปแห่งเกสเรียหลังนี้ อยู่ในเขตพรมแดนของแคว้นวัชชีและแคว้นมัลละติดต่อกัน (จังหวัดจัมปารัน รัฐพิหาร ในปัจจุบัน) แต่ไม่ใช่สถานที่แสดงกาลามสูตร หรือต้นกำเนิดของเกสปุตตสูตร ดังที่เข้าใจกัน เพราะสถานที่แสดงกาลามสูตร หรือต้นกำเนิดของเกสปุตตสูตรนั้นอยู่ในแคว้นโกศล แต่พระมหาสถูปแห่งเกสเรียอยู่ในเขตพรมแดนของแคว้นวัชชี ติดต่อกันกับเขตพรมแดนของแคว้นมัลละ ปัจจุบัน พระมหาสถูปแห่งเกสเรียตั้งอยู่ห่างจากกรุงกุสินารา ไปประมาณ ๑๒๐ กิโลเมตร ในเขตหมู่บ้านเลาลิยะนันทัน (Lauliyanandan) และหมู่บ้านนันทันฆาต (Nandanghat) จังหวัดจัมปารัน รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย กล่าวคือ ตั้งอยู่ระหว่างทางจากเมืองไวสาลีไปยังกรุงกุสินารานั่นเอง • พระมหาสถูปแห่งเกสเรีย ที่ประดิษฐานบาตรของพระพุทธเจ้า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48096 • กาลามสูตร : หลักความเชื่อของชาวพุทธ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=18318 พระสถูปปาวาลเจดีย์ เมืองไวสาลี ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขารเป็นครั้งสุดท้าย อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ในพรรษาที่ ๔๕ พรรษาสุดท้ายแห่งการดำเนินพุทธกิจ พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ทรงประทับจำพรรษาอยู่ที่เวฬุวคาม แขวงเมืองไพศาลี (เมืองไวสาลี ในปัจจุบัน) แคว้นวัชชี ในระหว่างพรรษานี้พระพุทธองค์ทรงประชวรอย่างหนัก มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง จนถึงกับจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ครั้นถึงวันมาฆบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๓ ปีจอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขาร โดยตั้งพระทัยว่า “นับแต่นี้ต่อไปอีกสามเดือน วันเพ็ญในกลางเดือนหก (วิสาขะ) ปีจอ ตถาคตจักดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา” การปลงอายุสังขารจึงมีความหมายในภาษาสามัญว่า การกำหนดวันตายไว้ล่วงหน้านั่นเอง การปลงอายุสังขารนี้มีขึ้น ณ ร่มไม้แห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์ บ้านเวฬุวคาม แขวงเมืองไพศาลี (เมืองไวสาลี ในปัจจุบัน) เวลากลางวัน หลังจากที่ทรงกระทำนิมิตโอภาสแก่พระอานนท์ถึงสามครั้งว่า “อานนท์ ถ้าบุคคลใดเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ปรารถนาจะดำรงอยู่ประมาณกัปหนึ่ง หรือมากกว่านั้นก็สามารถจะอยู่ได้” นิมิตโอภาสนี้ หมายถึงบอกใบ้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน หากพระอานนท์กราบทูลขอให้อยู่ต่อ และทรงรับก็ทรงสามารถดำรงพระชนม์ชีพต่อไปได้อีก แต่พระอานนท์ไม่รู้เท่าทันพญามาร เมื่อพญามารมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ได้กราบทูลขอให้เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าจึงทรงรับคำอาราธนานั้นของพญามาร หลังจากที่ทรงปลงอายุสังขารแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ พระอานนท์จึงทราบว่าพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขารแล้ว จึงรีบมาทูลอ้อนวอนให้พระองค์ดำรงอยู่ต่อไปอีก แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้เพราะล่วงเลยกาลเสียแล้ว ปัจจุบัน พระสถูปปาวาลเจดีย์ เหลือแต่ซากตอของเจดีย์ ที่ทำด้วยหินแข็งมีสีเทา ซึ่งต่อมาทางการญี่ปุ่นได้สร้างซุ้มมุงด้วยหลังคาสังกะสี เป็นทรงกลมทาสีขาว และมีรั้วเหล็กกั้นไว้โดยรอบ • สถานที่ทรงกระทำนิมิตโอภาส ๑๖ ตำบล http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=47111 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 27 มิ.ย. 2020, 09:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
เมืองปาวา บ้านนายจุนทะ (จุนทกัมมารบุตร) บุตรช่างทอง ณ เมืองปาวา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ในปัจจุบัน • บ้านนายจุนทะ (จุนทกัมมารบุตร) เมืองปาวา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48447 แม่น้ำกกุธานที แม่น้ำกกุธานที ไหลผ่านดินแดนระหว่างเมืองปาวา กับเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ เป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์เคยเสด็จมาหยุดพัก ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองกุสินารา ณ แม่น้ำแห่งนี้เอง ที่พระพุทธองค์รับสั่งให้พระอานนท์ตักน้ำ จากแม่น้ำน้อยนี้เพื่อเสวย พร้อมทั้งได้ลงสรงจนพระวรกายสดชื่น มีเรื่องเล่าว่า หลังจากที่พระพุทธองค์ลงสรงในแม่น้ำนี้แล้ว เหล่าปลาที่อยู่ในแม่น้ำได้กลายเป็นทองทั้งหมด |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 27 มิ.ย. 2020, 09:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
จากซ้าย : “มหาปรินิพพานวิหาร” และ “มหาปรินิพพานสถูป” ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย กุสินารา : สถานที่ปรินิพพาน กุสินารา (ฮินดี : कुशीनगर, อูรดู : کُشی نگر, อังกฤษ : Kusinaga, Kushinagar) พุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลมถากัวร์ อำเภอกุสินคร จังหวัดเดวเย หรือเทวริยา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ในครั้งสมัยพุทธกาล เมืองกุสินาราเป็นเมืองเอก ๑ ใน ๒ ของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมืองปาวา เป็นสถานที่ตั้งของ “สาลวโนทยาน” หรือสวนป่าไม้สาละของมัลลกษัตริย์ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และ “มกุฏพันธนเจดีย์” สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า กุสินารา มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า มาถากุนวะระกาโกฏ ซึ่งแปลว่า ตำบลเจ้าชายสิ้นชีพ ในสมัยพุทธกาล เมืองกุสินาราเป็นที่ตั้งของสาลวโนทยาน อยู่ในแคว้นมัลละ ๑ ใน ๑๖ แคว้นซึ่งเป็นเขตการปกครองสมัยพุทธกาล โดยในสมัยนั้นแคว้นมัลละแยกเป็นสองส่วน คือ ฝ่ายเหนือ มีเมืองกุสินาราเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า “โกสินารกา” และฝ่ายใต้ มีเมืองปาวาเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า “ปาเวยยมัลลกะ” ทั้งสองเมืองนั้นตั้งอยู่ห่างกันเพียง ๑๒ กิโลเมตร โดยมีแม่น้ำหิรัญญวดีคั่นตรงกลาง กุสินารานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับแคว้นอื่นๆ ในสมัยพุทธกาลจัดว่าเป็นแคว้นเล็ก ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักในด้านเศรษฐกิจ สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์อยู่ในพระราชอุทยานของเจ้ามัลละฝ่ายเหนือแห่งกุสินารา ภายในสาลวโนทยาน ซึ่งแปลว่า สวนป่าไม้สาละ ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี เป็นป่าไม้สาละร่มรื่น หลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์แล้ว เหล่ามัลลกษัตริย์ก็ได้ประดิษฐานพระพุทธสรีระไว้ ณ เมืองกุสินารา เป็นเวลากว่า ๗ วัน ก่อนที่จะประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ เหตุที่ทรงเลือกเมืองกุสินาราอันเป็นเมืองเล็กแห่งนี้เป็นสถานที่ปรินิพพาน มีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุสำคัญคือทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระพุทธสรีระและพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จักถูกแว่นแคว้นต่างๆ แย่งชิงไปทำการบูชา หากพระองค์ปรินิพพานในเมืองใหญ่ เมืองใหญ่เหล่านั้นอาจไม่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้เมืองเล็กๆ เช่น เมืองกุสินารา ฯลฯ ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะหลังพระพุทธองค์ปรินิพพาน เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ก็ได้ยกกองทัพหลวงของตนมาล้อมเมืองกุสินาราเพื่อจะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ แต่ด้วยความที่กุสินาราเป็นเมืองเล็ก จึงต้องยอมระงับศึกโดยแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทุกเมืองโดยไม่ต้องเกิดสงคราม กุสินาราหลังพุทธปรินิพพาน หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว เมืองกุสินารากลายเป็นเมืองสำคัญศูนย์กลางแห่งการบูชาสักการะของพุทธศาสนิกชน เหล่ามัลลกษัตริย์ได้สร้างเจดีย์และวิหารเป็นจำนวนมากไว้รอบๆ สถูปใหญ่ คือ มหาปรินิพพานสถูป อันเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มหาปรินิพพานสถูปแห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของปูชนียสถานอื่นๆ ที่สร้างขึ้นมาภายหลังในบริเวณนั้น ต่อมาเมื่อแคว้นมัลละได้ตกอยู่ในความอารักขาของแคว้นมคธ พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จมาจาริกแสวงบุญยังกุสินารา เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๓๑๐ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เป็นจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อเป็นค่าก่อสร้างสถูป เจดีย์ และเสาศิลาจารึก ในพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ราชวงศ์สกลจุรี ได้เข้ามาสร้างวัดขึ้นในบริเวณสาลวโนทยานเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งพระพุทธศาสนาได้หมดจากประเทศอินเดียไปในปี พ.ศ. ๑๗๔๓ ทำให้สถานะของพระพุทธศาสนาในกุสินาราถูกปล่อยทิ้งร้างและกลายเป็นป่ารกทึบ กระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระภิกษุมหาวีระ สวามี และท่านเทวจันทรมณี ชาวศรีลังกา เดินทางมายังกุสินารา และเริ่มอุทิศตัวในการฟื้นฟูพุทธสถานแห่งนี้ ร่วมกับเนซารี ชาวพุทธพม่า จนได้สร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า “มหาปรินิวานะ ธรรมะศาลา” ปัจจุบัน กุสินารา มีอนุสรณ์สถานที่สำคัญได้แก่ (๑) มหาปรินิพพานสถูป ตั้งอยู่ด้านหลังของมหาปรินิพพานวิหาร เป็นสถูปแบบทรงโอคว่ำขนาดใหญ่ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้างและได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เชื่อกันว่าเป็นที่บรรทมครั้งสุดท้ายและเป็นสถานที่พระพุทธองค์ปรินิพพาน ณ ใต้ต้นสาละคู่ ภายหลังได้สร้างสถูปครอบไว้ดังจะเห็นได้ในปัจจุบัน สถูปมีความสูง ๖.๑๐ เมตรเหนือระดับพื้นดิน ด้านบนของสถูปเป็นฉัตร ๓ ชั้น (๒) มหาปรินิพพานวิหาร หรือวิหารพุทธไสยาสน์ ตั้งอยู่ด้านหน้าบนฐานเดียวกันกับมหาปรินิพพานสถูป มีบันไดอิฐสูงขึ้นไปบนเนิน ภายในประดิษฐาน “พระพุทธรูปปางปรินิพพาน” อยู่บนพระแท่นทำด้วยหินทรายแดงหรือเรียกว่า จุณศิลา องค์พระพุทธรูปยาว ๒๓ ฟุต ๙ นิ้ว (ราว ๗ เมตร) กว้าง ๕ ฟุต ๖ นิ้ว สูง ๒ ฟุต ๑ นิ้ว ศิลปะมถุรา มีอายุมากกว่า ๑,๕๐๐ ปี ที่พระแท่นมีรูปสลักของสุภัททปริพาชกกำลังเข้าไปขอบวช และมีรูปสลักพระอนุรุทธะและพระอานนท์อยู่ด้วย พระพุทธรูปองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ที่กำลังเสด็จดับขันธปรินิพพาน ประทับนอนบรรทมตะแคงขวา โดยหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก และมีซากศาสนสถานโบราณโดยรอบมากมาย ในจารึกระบุผู้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ คือ หริพละสวามี นายช่างผู้แกะสลักชื่อ ธรรมทินนา เป็นชาวเมืองมถุรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ถือได้ว่าเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวพุทธจะมาสักการะ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะอันพิเศษคือเหมือนคนนอนหลับธรรมดา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างผู้หมดกังวลในโลกทั้งปวง หลวงจีนถังซัมจั๋ง (หลวงจีนเฮียงจัง, Xuanzang) ผู้เดินทางมาถึงสถานที่พุทธปรินิพพาน (พ.ศ. ๑๑๖๓-๑๑๘๗) ได้พรรณนาไว้ตอนหนึ่งว่า “กุสินาราเมืองหลวงของมัลลกษัตริย์ อยู่ในสภาพซากปรักหักพัง มองเห็นเมืองและหมู่บ้านเป็นสถานที่ร้าง จะมีคนอยู่อาศัยภายในกำแพงเมืองเก่าเพียงเล็กน้อย” “บริเวณด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำหิรัญวดีเป็นอุทยานสาลวัน มีไม้สาละขึ้นเป็นหมู่ใหญ่ ลักษณะของไม้สาละเปลือกเป็นสีขาวบ้างสีเขียวบ้าง ใบสาละสะอาดเป็นเงา ไม่ขรุขระ ในป่ามีไม้สาละใหญ่ ๔ ต้น บริเวณนี้มีวิหารใหญ่ก่ออิฐปูนหลังหนึ่ง ภายในวิหารมีพระพุทธรูปแบบสีหไสยาสน์ คือในลักษณะประทับนิพพาน หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ มีลักษณะเหมือนกำลังบรรทมหลับ ข้างๆ วิหารใหญ่มีสถูปใหญ่อีกแห่งหนึ่งซึ่งจารึกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้าง แม้ลักษณะจะทรุดโทรมหักพังไปเป็นอันมากแล้ว แต่ก็ยังมีความสูงเหลืออยู่ถึง ๒๐๐ ฟุต ข้างหน้าพระสถูปมีหลักศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกว่า ที่นี้เป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระตถาคต” (๓) มกุฏพันธนเจดีย์ ตั้งอยู่ห่างจาก มหาปรินิพพานสถูป ไปทางทิศตะวันออก ๑ กิโลเมตร คนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า เดิมทีเป็นเชิงตะกอนไม้จันทร์หอม หลังจากที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วก็ได้สร้างพระสถูปครอบลง ต่อมาก็ได้ถูกรุกรานทำลายเหลือแต่ซากปรักหักพัง ภายหลังได้ถูกขุดค้นพบเป็นซากกองอิฐพระสถูปขนาดใหญ่ดังที่เห็นในปัจจุบัน พระสถูปนี้วัดโดยรอบฐานได้ ๔๖.๑๔ เมตร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๗.๑๘ เมตร ทั้งนี้ ตามหลักฐานก็เป็นที่ชัดเจนว่านั่นคือสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระหรือมกุฏพันธนเจดีย์ตามที่ชาวพุทธเรียกชื่อกัน ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดี ปัจจุบันชาวพุทธทั่วโลกได้มาก่อสร้างวัดไว้มากมาย โดยมีวัดของไทยด้วย ชื่อ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ (๖ เอเคอร์) ตั้งอยู่บริเวณกุสินารา ห่างจากสาลวโนทยานไปประมาณ ๕๐๐ เมตร ปัจจุบันมี พระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เป็นประธานสงฆ์ (มีต่อ) |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 27 มิ.ย. 2020, 09:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
อนุสรณ์สถานแห่งการปรินิพพาน
“มหาปรินิพพานสถูป” และ “มหาปรินิพพานวิหาร” พระพุทธรูปปางปรินิพพาน ภายในมหาปรินิพพานวิหาร ณ สาลวโนทยาน • มหาปรินิพพานสถูป และมหาปรินิพพานวิหาร พระพุทธรูปปางปรินิพพาน กุสินารา สถานที่ปรินิพพาน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=44811 มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า คนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป • มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48470 • พระมหากัสสปะ ประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=42337 • รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “วันอัฏฐมีบูชา” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45500 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 27 มิ.ย. 2020, 09:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า |
จุดที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ โทณพราหมณ์เจดีย์ เมืองกุสินารา • โทณพราหมณ์เจดีย์ จุดที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เมืองกุสินารา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48446 พระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธา วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ประดิษฐาน ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย พระอุโบสถ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ สร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมของไทย โดยผู้ออกแบบคือ ร.ศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗) โดยเน้นให้เป็นศิลปะในรัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีขนาดความกว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๒ เมตร มุมด้านหน้ากว้าง ๕ เมตร ยาว ๘ เมตร ลานประทักษิณ ๑๒ เมตร บานประตู-หน้าต่างเป็นไม้สาละ อันเป็นเครื่องระลึกถึงต้นสาละคู่ในสวนของมัลลกษัตริย์ สถานที่ปรินิพพานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จเป็นองค์ประธานประกอบพิธียกช่อฟ้า ตัดลูกนิมิต เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ผูกสีมาตามพระบรมพุทธานุญาต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานชื่อวัดว่า “วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์” พระราชทานนามพระพุทธรูป องค์พระประธานในพระอุโบสถว่า “พระพุทธสยัมภูญาณ” พร้อมด้วยพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ภาพทรงผนวช ฉัตร ๓ ชั้น ภาพพระมหาชนก ภาพพระราชกรณียกิจ ตราสัญญลักษณ์ครองราชย์ ๕๐ ปี ตราสัญญลักณ์สมโภชน์พระชนมายุ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. เพื่อประดิษฐานไว้ที่หน้าบันพระอุโบสถ ซึ่งเป็นมิ่งมงคลต่อวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ยิ่ง พระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย เหล่าอุบาสก อุบาสิกา และคนงานชาวอินเดียท้องถิ่น ร่วมสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยที่ดีงาม แห่เทียนพรรษา และผ้าอาบน้ำมาถวายพระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษากาลจำนวน ๕๖ รูป ภายในพระอุโบสถ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหามาจาก :: http://www.gotoknow.org/posts/238751 http://www.wanramtang.com/ven-veerayut http://learningpune.com/wp-content/uplo ... engbun.pdf http://www.learners.in.th/blogs/posts/468152 http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=venfaa&group=3 http://www.cmadong.com/board/index.php? ... =6097.1600 http://122.155.190.19/puthakun/download ... %B8%A5.pdf ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ :: คุณ Venfaa Aungsumalin, คุณปันน้ำใจ ปันน้ำใจ, และ fb. วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย http://www.painaima.com/board/index.php?topic=214.0 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |