วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 19:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




payslip_20100519212909.jpg
payslip_20100519212909.jpg [ 21.39 KiB | เปิดดู 10651 ครั้ง ]
ปุณฑริกสูตรคืออะไร???~~

พระสัทธรรมปุณฑริกสูตรคืออะไร???
สัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นคำสอนสูงสุดของพระศากยมุนีพุทธะ...ในช่วงระยะเวลา8ปีสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระศากยมุนีพุทธะพระองค์ก็ได้เทศนาพระสูรตสัทธรรมปุณฑริกสูตรตลอดชีวิตของพระองค์นั้นเพื่ออุทิศให้กับการสั่งสอนมนุษย์ให้รู้วิธีทางที่จะระงับการทุกข์ยากในชีวิตนี้และคำสอนช่วงสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์อันนี้แหละที่เป็นคำสอนที่ถูกต้องที่สุดพระสูตรนี้สอน 2 หลักใหญ่ที่สำคัญคือ
1.สอนว่าชีวิตของเรานั้นเป็นนิรันดร์
2.สอนว่าสภาะพุทธะมิได้อยู่ภายนอกร่างกายของมนุษย์เลย แต่เป็นสภาวะที่สูงสุดของชีวิตที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน สาระสำคัญของคำสอนในสัทธรรมปุณฑริกสูตรคือ มนุษย์ทุกคนสามารถจะนำเอาสภาวะพุทธะซึ่งมีอยู่ในชีวิตของเขาเองนั้นออกมาได้ แต่น่าเสียดายที่ว่า คำสอนนี้ทรงสอนให้แก่พระสงฆ์เท่านั้นเนื่องด้วยว่าประชาชนในสมัยนั้นไม่สามารถเข้าใจคำสอนนี้ได้เลยพระศากยมุนีพุทธะมีความห่วงใยความทุกข์สุขของประชาชนในสังคมมาก และพระองค์ทรงทราบดีว่า ขณะนั้นยังไม่ใช่เวลาที่จะเผยแผ่ปรัชญาธรรมสากลให้แก่ปวงชนในสมัยนั้นพระองค์ได้พยาการณ์ว่า ภายหลังที่พระองค์ได้เสด็จปรินิพานไป2000ปี อันเป็นยุคสมัยธรรมปลายจะมีพุทะอีกองค์หนึ่งมาเผยแผ่สั่งสอนปรัชญาธรรมสากล ซึ่งสามารถที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนบรรลุการรู้แจ้งเห็นจริงได้.


แก้ไขล่าสุดโดย ผู้ชายสบายๆ เมื่อ 15 มิ.ย. 2010, 19:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: พระสัทธรรมปุณทรีกสูตรที่ เขียนบันทึกโดยพระอานนท์ผู้เป็นเลิศในการฟังและจดจำ.
dffsdF.jpg
dffsdF.jpg [ 58.06 KiB | เปิดดู 10647 ครั้ง ]
ผมเองได้อ่านพระสูตรแปลฉบับนี้ จับใจความในบทสำคัญเอาไว้เลยขอยกมาแค่ช่วงที่สำคัญๆ(ซึ่งที่จริงก็สำคัญทั้งหมด) แต่ยาวมาก. เลยขอยกมาไว้แค่ช่วงที่ผมคิดว่าเป็นหัวใจของพระสัทธรรมบทนี้นะครับ.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บทนี้ชื่อว่า พระชนมายุกาลของพระตถาคตเจ้า

โดยย่อ.

คราวนั้นพระโพธิสัตต์มหาสัตว์ ทั้งหลายและพระสาวกและหมู่เทวดามาประชุมกันอย่างมากและตรัสทูลขอทราบเรื่องราวจากพระตถาคตเจ้า

ในตอนนั้นพระตถาคตอรหันต์เจ้าทรงตรัสโดยใจความว่า

จงฟังเถิดกุลบุตรทั้งหลายพลังแห่งปณิธานของตถาคตเป็นดังนี้

กุลบุตรทั้งหลาย โลกนี้รวมเทวดามนุษย์ยักษ์ยอมรับว่าพระศาสดาศากยมุนีเจ้าเมื่อได้เสด็จออกมาจากศากยวงศ์แล้ว ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณบนลานแห่งการตรัสรู้ในเมือง คยา แต่กุลบุตรทั้งหลายความจริงนั้นมีอยู่ว่า ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วก่อนหน้านั้นเป็นเวลาหลายร้อยพันหมื่นโกฎิกัลป์

โดยการยกตัวอย่าง กุลบุตรทั้งหลาย สมมุติว่ามีปรมณูดินในโลกธาตุทั้ง 50ร้อยพันหมื่นโกฎิ สมมุติว่ามีชายผู้หนึ่งหยิบดิน 1 ปรมาณู ไปทางทิศตะวันออกไกลออกไปถึง 50ร้อยพันหมื่นโกฎิโลกธาตุแล้ววางดินนั้นไว้ทำเช่นนี้จนเขาสามารถขนดินเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น ทีนี้ กุลบุตรทั้งหลาย ท่านจะคิดไหมว่าจะมีใครสักคนหนึ่งซึ่งสามารถคิดคำนวณซึ่งวัดจำนวนโลกธาตุนั้นได้

เมื่อพระศาสดาเจ้ารับสั่งเช่นนั้น พระโพธิสัตต์มหาสัตว์เมตไตรยะ และพระโพธิสัตต์มหาสัตต์ทั้งหลายก็พากันตอบว่า

นับไม่ได้ โอ พระศาสดาเจ้าโลกธาตุเหล่านี้นับไม่ถ้วนอยู่เหนือระดับความนึกคิดจริงๆ โอ พระศาสดาเจ้า แม้พระสาวกและพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีอารยะวิชาก็ยังมิอาจคิดชั่ง วัด นับจำนวนได้ โอ พระศาสดาเจ้า พวกเราก็เช่นกัน เป็นพระโพธิสัตต์ที่ไม่หวนกลับอีกแล้ว ก็ยังเหนือความสามารถของพวกเรา เหลือคณานานับจริงๆ โอ พระศาสดาเจ้า จำนวนโลกธาตุทั้งหลายเหล่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อกล่าวดังนั้นพระศาสดาเจ้าจึงรับสั่งแก่พระโพธิสัตต์มหาสัตว์ทั้งหลายว่า

ตถาคตขอประกาศแก่ท่านกุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตขอประกาศแก่ท่านว่า ไม่ว่าโลกธาตุเหล่านั้นจะมีจำนวนมหาศาลเพียงใด ชายผู้นนั้นได้นำปรมณูดินไปวางที่ใดและไม่ได้วางที่ใด ในหลายร้อยพันหมื่นโกฎิโลกธาตุเหล่านั้น มากเท่ากับเวลาหลายร้อยพันหมื่นโกฎิกัลป์ ที่ตถาคตได้ตรัสรู้ในพระสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว

ตั้งแต่เวลานั้น กุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตได้แสดงพระธรรมแก่สรรพสัตว์ในสหโลกธาตุนี้ และในอีกหลายร้อยพันหมื่นโกฎิโลกธาตุอื่นๆ และเมื่อพระอรหันต์เจ้าองค์อื่นๆเช่นพระทีปังกรตถาคตเจ้า และองค์อื่นๆที่ตถาคตได้กล่าวพระนามถึงแล้วในการแสดงธรรมที่ผ่านมา ตั้งแต่บัดนั้นกุลบุตรทั้งหลาย เพื่อการถึงซึ่งพระนิพพานอันสมบูรณ์ของพระตถาคตเจ้าเหล่านั้น ตถาคตจึงได้สร้างสิ่งต่างๆขึ้นเป็นกุศโลบายเพื่อประกาศพระธรรม กุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตได้พิจารณาถึงขีดขั้นการรับรู้และพลังของสรรพสัตว์ ในสมัยต่อๆมาได้แสดงให้ปรากฏในแต่สมัยด้วยชื่อของเขาเอง ปรากฏในสภาพที่ยังไม่บรรลุนิพพาน และทรงโปรดสรรพสัตว์ด้วยธรรมบรรยายต่างๆในวิธีที่ต่างกัน

เรื่องเป็นเช่นนี้ กุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตประกาศแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายซึ่งมีระดับจิตต่างกันมีพีชกุศลแต่น้อยมีเครื่องจูงใจที่เป็นกิเลศอยู่มาก ภิกษุทั้งหลายจึงดูเหมือนว่าตถาคตยังหนุ่มแน่นอยู่ละทิ้งพระราชวังแห่งพระบิดา ภิกษุทั้งหลาย และเพิ่งตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ อย่างไรก็ตามพระตถาคตเจ้านั้น ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณมานานแล้ว แต่ประกาศพระองค์ว่าเพิ่งได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อไม่นานมานี้ พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อทรงนำสรรพสัตว์ให้ถึงพร้อมในความสุกงอมและก้าวเข้าไป

ดังนั้นจึงทรงแสดงธรรมบรรยายนี้ให้ปรากฎ เพื่อการศึกษาของสรรพสัตว์ กุลบุตรทั้งหลาย พระวจนะของพระตถาคตเจ้าที่ทรงแสดงเพื่อการศึกษาของสรรพสัตว์ไม่ว่าจะเป็นภาพปรากฎของพระองค์เองหรือผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยอำนาจของตถาคตเองหรือในกายของผู้อื่น ตถาคตขอประกาศว่าพระธรรมบรรยายทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นความจริง ไม่มีปัญหาเรื่องความไม่จริงในส่วนของพระตถาคตเจ้าในเรื่องนี้ เพราะพระตถาคตทรงเห็นแจ้งแทงตลอดในโลกทั้งสามอย่างที่เป็นจริง มันไม่ได้เกิดขึ้น ไม่ตาย มิใช่สิ่งที่คิดขึ้น ไม่ได้ผุดขึ้น ไม่เวียนว่าย ไม่จบสิ้นไม่จริง และทั้งไม่ใช่ไม่จริง ไม่มีอยู่ และทั้งไม่ใช่ไม่มีอยู่ ไม่เป็นดังนี้ และไม่เป็นดังนั้น พระตถาคตเจ้าทรงหยั่งเห็นในโลกทั้งสามมิใช่ดังเช่นคนเขลา หรือ ปุถุชนทั่วไป พระองค์ทรงเห็นสรรพสิ่งทั้งปวงดังเช่นที่เป็น แท้จริงแล้วสำหรับพระตถาคตเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ถูกปิดบังไว้ได้

ด้วยเหตุนี้พระวจนะของพระตถาคตเจ้าไม่ว่าจะเป็นคำใด จึงเป็นความจริงแท้ไม่มีผิด แต่เพื่อสร้างพีชกุศลในสรรพสัตว์ผู้มีวิถีการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน ประพฤติปฎิบัติตามความเข้าใจที่ต่างกันพระองค์ทรงแสดงธรรมบรรยายต่างๆด้วยหลักพื้นฐานที่แตกต่างกัน กุลบุตรทั้งหลายพระตถาคตเจ้าทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์สมควรกระทำ พระตถาคตเจ้าผู้ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณนานแล้ว ทรงมีพระชนมายุกาลอันไม่จำกัด พระองค์ทรงเป็นอยู่ตลอดไปโดยไม่ดับสูญ แต่ทรงแสดงว่ามีการดับขันธ์ปรินิพานเพื่อสั่งสอนผู้ที่ยังศึกษาอยู่

กุลบุตรทั้งหลาย แม้ขณะนี้ตถาคตก็ยังมิได้ทำโพธิสัตต์มรรคแต่อดีตกาลให้สมบรูณ์ และพระชนมายุกาลของพระตถาคตก็ยังไม่เต็ม กุลบุตรทั้งหลายตถาคตยังมีพระชนมายุกาลอยู่อีก 2 เท่าของหลายร้อยพันหมื่นโกฎิกัลป์ ก่อนที่อายุขัยของตถาคตจะเต็ม ตถาคตประกาศการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน กุลบุตรทั้งหลาย ทั้งๆที่พระองค์ยังได้ดับขันธ์ ด้วยวิธีนี้กุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตสามารถน้อมนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ถึงพร้อม สรรพสัตว์ที่มีพีชกุศลไม่มั่นคง ไม่เคร่ง มีแต่ความทุกข์ พึงพอใจในรูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส ตาบอดและมืดมัวอยู่ในม่านแห่งอคติ เขาเหล่านี้หากได้พบตถาคตบ่อยๆอาจพากันคิดว่า พระตถาคตยังอยู่และเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ และอาจหลงคิดว่า เราอยู่ใกล้พระตถาคตแล้ว เลยไม่เพียรพยายามที่จะสละออกเสียจากโลกทั้งสามและไม่ตระหนักว่าพระตถาคตนั้นมีค่าเพียงใด

ดังนั้น กุลบุตรทั้งหลายตถาคตจึงต้องใช้ กุศโลบายกล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย การอุบัติขึ้นของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายนั้นมีค่าและหาได้ยากนักเป็นเวลาหลายร้อยพันหมื่นโกฎิกัลป์ สรรพสัตว์จึงจะมีโอกาสได้พบพระตถาคตเจ้าสักครั้งหนึ่ง หรือ ไม่ได้พบเลย และด้วยเหตุเช่นนั้น กุลบุตรทั้งหลายตถาคตจึงกล่าวว่า ภิกษุทั้งหลายการอุบัติขึ้นของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายนั้นมีค่าและหาได้ยาก และเมื่อได้ตระหนักยิ่งขึ้นว่า การอุบัติขึ้นของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายมีค่ายิ่ง พวกเขาจะประหลาดใจและเสียใจ และเมื่อไม่ได้พบพระตถาคตเจ้าก็จะมีความปราถนาใคร่จะได้พบพระองค์ พีชกุศลอันเกิดจากความจริงใจในพระตถาคตเจ้าจะเป็นไปเพื่อความเจริญ เพื่อประโยชน์และความสุขของเขาทั้งหลาย

ด้วยเหตุนี้ ตถาคตจึงประกาศการดับขันธ์ปรินิพพาน ทั้งๆที่พระองค์มิได้ดับขันธ์จริงเพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังศึกษาอยู่ กุลบุตรทั้งหลาย นี่เป็นวิธีการสอนของพระตถาคต เมื่อพระตถาคตรับสั่งเช่นนี้ จึงไม่มีความผิดในส่วนของตถาคต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองยกเรื่องขึ้นมาเปรียบเทียบดูกุลบุตรทั้งหลาย สมมุติว่ามีนายแพทย์ผู้รู้คนหนึ่ง เป็นคนเฉลียวฉลาดในการวิเคราะห์โรคทั้งปวง แพทย์ผู้นี้มีบุตรหลายคน 10 คน 20 คน 30 คน 40 คน 50 คน หรือถึง 100 คน เมื่อแพทย์ผู้นี้ไปต่างเมือง บุตรของเขาเป็นโรคอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากพิษร้าย พิษนั้นทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด จนทำให้พวกเขาเขานอนกลิ้งไปกับพื้น บิดาของเขาคือนายแพทย์นั้นกลับมาในเวลาที่บุตร กำลังทุรนทุรายด้วยพิษร้ายนั้น บางคนมีความเห็นผิด บางคนมีความเห็นชอบ แต่ทุกคนกำลังได้รับความเจ็บปวด

เมื่อได้เห็นบิดาพวกเขาก็พากันดีใจทักทายว่า "ไชโย ท่านบิดาได้กลับมาแล้วด้วยความปลอดภัย และสุขสำราญดี ขอจงช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากภัยร้ายไม่ว่าจะเป็นพิษร้ายหรือพิษงู ขอให้พวกเรารอดชีวิตเถิดท่านบิดา" เมื่อนายแพทย์ได้เห็นบุตรทั้งหลายมีโรคร้ายอยู่ในความเจ็บปวดจนนอนกลิ้งไปกับพื้น จึงเตรียมยาขนานใหญ่ ต้องใช้สีกลิ่นรส บดบนหินแล้วให้บุตรทั้งหลายกิน พลางพูดว่า กินยาขนานสำคัญนี้เถิดลูกพ่อ เป็นยาที่ปรุงด้วยสีกลิ่นรส เมื่อกินยาขนานนี้แล้วลูกพ่อ เจ้าจะได้หายขากพิษร้าย เจ้าจะฟื้นและมีสุขภาพดี

บุตรทั้งหลายของนายแพทย์ที่มีความเห็นชอบเมื่อได้เห็นสีของยา ได้ดมกลิ่นและได้ลิ้มรส แล้วก็พากันรีบกินยาและไม่ช้าก็หายจากโรคร้ายโดยสิ้นเชิง แต่บุตรที่มีความเห็นผิดพากันกล่าวแก่บิดาอย่างร่าเริงว่า "ไชโย ท่านบิดาได้กลับมาแล้ว ด้วยความปลอดภัยและสุขสำราญดี ขอให้รักษาพวกเราเถิด" พวกเขาพูดอย่างนั้นแต่ไม่ยอมกินยาที่จัดมาให้ ทั้งนี้เพราะมีความเห็นผิดจึงไม่ชอบใจในยาขนานนั้นทั้งสีกลิ่นและรส

นายแพทย์จึงรำพึงว่า บุตรของเราเหล่านี้ มีความเห็นผิดเพราะพิษร้ายนั้น เพราะไม่ยอมกินยาและไม่ยินดีในเรา เราจะต้องใช้อุบายให้ลูกกินยานี้ให้จงได้ เมื่อคิดดังนี้จึงกล่าวแก่บุตรเหล่านั้นว่า กุลบุตรทั้งหลายพ่อก็ชรามากแล้ว อายุก็มากขึ้น อายุขัยก็จวนจะหมดลงแล้ว แต่อย่าเสียใจไปเลยกุลบุตรทั้งหลายไม่ต้องมีความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง พ่อได้เตรียมยาขนานสำคัญไว้ให้พวกเจ้า หากเราต้องการกินก็กินได้ เมื่อสั่งดังนั้นแล้วก็ทำอุบายออกไปอยู่เสียที่ภาคอื่นของประเทศ และให้บุตรที่เจ็บอยู่นั้นเข้าใจว่าตายไปเสียแล้ว

พวกเขาพากันเศร้าโศกเสียใจ และระลึกถึงบิดาเป็นอย่างยิ่ง "ท่านบิดาได้จากเราไปเสียแล้ว ท่านเป็นผู้คุ้มครองเรา เป็นผู้ให้กำเนิดเรา เป็นผู้มีความเมตตาต่อเรา บัดนี้เราขาดผู้คุ้มครองเสียแล้ว" เมื่อรู้ว่าตนเป็นกำพร้าไม่มีผู้คุ้มครองดูแลก็หมกมุ่นอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ ความหลงผิดก็จางลง ความเห็นชอบก็เข้ามาแทนที่ พวกเขายอมรับยาที่ปรุงด้วยสี กลิ่น รส กนทันที เมื่อกินแล้วก็จะหายจากโรคร้าย เมื่อทราบว่าบุตรเหล่าน้หายจากโรคร้ายแล้ว นายแพทย์ผู้บิดาก็กลับมาหา

กุลบุตรทั้งหลาย ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร จะมีใครถือว่านายแพทย์นั้นทำผิดเพราะใช้อุบายหรือ "มิได้เลยพระศาสดาเจ้า มิได้เลยพระสุคตเจ้า" พระศาสดาจึงทรงกล่าวต่อไปว่าในทำนองเดียวกัน กุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณมานานหลายร้อยพันหมื่นโกฎิกัลป์แล้ว แต่เป็นระยะๆ ตถาคตก็ยังแสดงกุศโลบายเมื่อโปรดสรรพสัตว์ด้วยความตั้งใจที่จะสั่งสอน โดยไม่มีความผิดในส่วนของพระตถาคต....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร