วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 10:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=25



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2013, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระภาวนาโกศล (หลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร)

รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕


หลวงปู่เอี่ยม ผู้ถวายคำพยากรณ์แด่รัชกาลที่ ๕
ปรับปรุงบทความ คุณเล็ก พลูโต ผู้เขียน
:b45: :b45:

บทความในตอนนี้ขอเรียนให้ทราบก่อนว่า ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขา หรือพระราชนิพนธ์ “ไกลบ้าน” แต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาจากบรรดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จฯ และปู่ย่าตาทวดละแวกวัดโคนอน เขตภาษีเจริญ ที่ได้รู้ได้เห็นได้ประสบเหตุการณ์ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์มาทรงอาราธนาเข้าถวายนมัสการ “หลวงปู่เอี่ยม” เจ้าอาวาสวัดโคนอนในสมัยนั้น เพื่อขอรับการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าในการเสด็จประพาสยุโรปอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก จริงเท็จประการใด เชื่อได้หรือไม่ ? ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่านทั้งหลาย

ขอเริ่มเรื่องที่ “หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน” หรือ “หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง” หรือ “เจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง” ที่หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่องรู้จักกันดี เหรียญรูปเหมือนของท่านทั้ง ๒ รุ่นที่ทันท่านปลุกเสก ค่านิยมในการบูชาอยู่ในหลักแสนมานานนับสิบปีแล้ว เหตุที่มีชื่อเรียกอีกนามหนึ่งนั้น เพราะภายหลังท่านได้มาปกครองวัดหนัง ราชวรวิหาร ภาษีเจริญ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “พระภาวนาโกศล” ก็คงจะเป็นด้วยคุณงามความดีของท่านที่ถวายคำพยากรณ์ โดยที่ผลของคำพยากรณ์ออกมาเป็นจริง ทำให้ไทยเราไม่ต้องสูญเสียองค์พระปิยมหาราชเจ้า ในขณะที่เสด็จรอนแรมอยู่กลางทะเลมหาสมุทร และแผนอันชั่วร้ายของ “เศษฝรั่ง” ที่คิดปลงพระชนม์ชีพพระองค์อย่างแยบยลชนิดที่ชาวโลกไม่กล้าตำหนิ

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง

“หลวงปู่เอี่ยม” นั้นท่านเป็นศิษย์เอกของ “พระภาวนาโกศล (หลวงปู่รอด)” อดีตเจ้าอาวาสวัดนางนอง วรวิหาร พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ในคราวอุปสมบทเป็นพระภิกษุของท่านเอง หลวงปู่รอดท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่เก่งกล้าในด้านพุทธาคม สรรพวิทยาคมต่างๆ มีตบะเดชะที่กล้าแข็ง สำเร็จวิชา ๘ ประการ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ล่วงรู้วาระจิตของผู้อื่น รู้อดีต รู้อนาคต แสดงฤทธิ์ได้ และทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป ฯลฯ หลวงปู่รอดนี้ต่อมาภายหลังท่านได้ถูกฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักรลงโทษด้วยการปลดออกจากตำแหน่ง ริบสมณศักดิ์คืน เพราะท่านไม่ยอมถวายอดิเรก (ถวายพระพร) แด่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ในคราวเสด็จถวายผ้าพระกฐิน อาจจะเป็นเพราะความคิดที่ไม่เห็นด้วยในการที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ตั้ง “คณะธรรมยุติกนิกาย” ขึ้นมา ทำให้พระสงฆ์ของไทยแบ่งแยกออกเป็น ๒ นิกาย คือ มหานิกาย กับ ธรรมยุติกนิกาย อันเป็นสาเหตุทำให้คณะสงฆ์ต้องแตกแยกกันนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็ไม่ควรเป็น “พระราชาคณะ” อีกต่อไป เพราะคำว่า “พระราชาคณะ” นั้นแปลว่า “พวกของพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระราชา”

เมื่อหลวงปู่รอดถูกราชภัย ถูกถอดจากสมณศักดิ์ลงเป็นขรัวตาธรรมดาแล้ว ท่านก็ออกจากวัดนางนอง วรวิหาร กลับไปยังวัดบ้านเกิดที่ห่างไกลจากความเจริญ คือ “วัดโคนอน” ด้วยความกตัญญูรู้คุณแด่องค์พระอาจารย์ หลวงปู่เอี่ยมซึ่งขณะนั้นเป็นเพียง “พระปลัดเอี่ยม” ก็อ้อนวอนขอติดตามองค์พระอาจารย์ไปปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิด ท่านไปไหนก็ไปด้วย เรียกว่าเห็นใจในยามทุกข์ก็คงจะไม่ผิด แสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดในลาภสักการะ ถิ่นที่อยู่ที่เจริญด้วยอาหารบิณฑบาตและปัจจัยในองค์หลวงปู่เอี่ยม นอกเหนือไปจากความกตัญญูกตเวทีที่ปรนนิบัติรับใช้องค์พระอาจารย์จวบจนวาระสุดท้าย

หลวงปู่เอี่ยมนั้นเป็น “ศิษย์มีครู” ดังนั้น จึงถอดแบบอย่างมาจากองค์หลวงปู่รอดแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน หลวงปู่รอดเก่งอย่างไร หลวงปู่อี่ยมก็เก่งอย่างนั้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ท่านจะมีศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือมากมาย ทั้งที่วัดอยู่ในถิ่นห่างไกลความเจริญ การเดินทางไปมาหาสู่ไม่สะดวก แม้แต่ “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนเรศรวรฤทธิ์” เจ้ากรมพระนครบาล (กระทรวงมหาดไทย ในปัจจุบัน) ยังน้อมถวายตัวเป็นศิษย์ และท่านผู้นี้แหละที่ถวายคำแนะนำและทูลเชิญล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ให้เสด็จมาขอรับคำพยากรณ์จากหลวงปู่เอี่ยม ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรปอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก

ในการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) นั้น ไม่ได้เป็นการเสด็จเพื่อแสวงหาความสำราญส่วนพระองค์แต่อย่างใด แต่เป็นการเสด็จเพื่อดำเนินพระราชวิเทโศบายด้านการต่างประเทศอย่างชาญฉลาด เป็นการเสด็จเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับราชวงศ์ต่างๆ ของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและเยอรมัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอังกฤษและฝรั่งเศส ด้วยหลักการที่ว่า “ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของเรา” เมื่อผูกสัมพันธ์กับรัสเซีย เยอรมัน และกลุ่มประเทศต่างๆ ในยุโรป ได้แล้ว อังกฤษและฝรั่งเศสก็จะไม่กล้ารุกราน หรือยึดเอาประเทศไทยเป็น “อาณานิคม” อีกต่อไป ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเราดำรงความเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้

การเสด็จประพาสยุโรปในสมัยนั้น ทำได้ทางเดียว คือ “ทางเรือ” ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางแรมเดือน การออกทะเลหรือมหาสมุทรนั้น แม้ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาการเดินเรือ มีเรือที่มั่นคงแข็งแรง ประสิทธิภาพสูง มีการติดต่อสื่อสารที่ทันท่วงที ก็ยังไม่วายจะ “อับปาง” เลย หากออกเดินทางในช่วงมรสุม หรือ “สุ่มสี่สุ่มห้า” ล่ะก็ เป็นเสร็จทุกราย คนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า “อย่าไว้ใจทะเล คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล มีภยันตรายรอบด้าน ทุกเวลานาที” ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายลองหลับตาวาดภาพการเดินเรือในสมัยเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีล่วงมาแล้วซิว่า ยากลำบาก และมีอันตรายเพียงใด แต่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านก็ทรงเสด็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย เป็นการเสียสละพระองค์อย่างสูงสุด ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะทำได้ ตอนหน้าจะได้กล่าวถึงคำพยากรณ์ และการแก้ไขเหตุร้ายแรงที่ประสบตามคำพยากรณ์ เป็นเรื่องของความเชื่อถือในคุณพระและคาถาอาคม หากท่านเห็นว่า “ไม่ไร้สาระ” จนเกินไป

รูปภาพ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


รูปภาพ
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนเรศรวรฤทธิ์ หรือ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์
(ต้นราชสกุลกฤดากร)


ก่อนการเสด็จประพาสยุโรปในครั้งแรกนั้น “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)” สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ถวายพระพร และ “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนเรศรวรฤทธิ์” เจ้ากรมพระนครบาล (กระทรวงมหาดไทย ในปัจจุบัน) ได้ถวายคำแนะนำและทูลเชิญล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ มาทรงอาราธนาเข้าถวายนมัสการ “พระปลัดเอี่ยม วัดโคนอน” (หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน) พระเถราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานและพุทธาคม ให้ถวายคำพยากรณ์เกณฑ์พระชะตา พระชันษา และมงคลพุทธาคม วัตถุคุ้มครองพระองค์

ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยมเป็นการภายใน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ ขบวนเสด็จประกอบด้วยเรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่น ดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจ ดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา เวลาเดินมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า “บุรุษผู้ขึ้นมาจากเรือสี่แจวนั้น คือ เจ้าชีวิตแห่งกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ผู้ทรงประกาศเลิกทาสโดยสิ้นเชิง”

พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป ภายในอุโบสถอันแคบแบบวัดราษฏร์ ในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศรวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายใน พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์

“ที่รูปมาในวันนี้ (“รูป” เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน”

“มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง”

พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอด พระอาจารย์ของท่านผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า “ฌาน” เพื่อดูอนาคตด้วย “อนาคตังสญาณ” จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด

ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลม ตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้นซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้นๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่ คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดี พระปลัดเอี่ยมลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า

“มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้ จะต้องประสบภัย ๒ ครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้

ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบาท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดสอบพระบารมีของพระองค์ อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง”

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตาทวดได้เล่าสืบทอดกันมา อันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับการสร้าง “พระบรมรูปทรงม้า” ที่หน้าพระลานพระราชวังดุสิต

คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ “คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย” หรือ “มงกุฎพระพุทธเจ้า” มีตัวคาถาว่า “อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ”

หลังจากได้ทรงมีพระราชดำรัสกับพระปลัดเอี่ยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระปลัดเอี่ยม จากนั้นได้เสด็จทอดพระเนตรโดยรอบวัดโคนอน ซึ่งตอนนี้มีผู้จดจำพระพักตร์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้แม่นยำ ได้บอกกันออกไป ทำให้มีผู้มาหมอบเฝ้ารับเสด็จฯ กันเป็นจำนวนพอสมควร ครั้นทรงสำราญพระอิริยาบถพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระบรมมหาราชวังเพื่อเตรียมพระองค์ไปเยือนทวีปยุโรปต่อไป


:b39: ================== :b39:

การเสด็จประพาสยุโรปในครั้งแรก ได้ทรงเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนที่เป็นกิจการภายในประเทศได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี (พระพันปีหลวง) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อหน้ามหาสมาคม จากนั้นได้ทรงถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้ามหาสมาคมซึ่งประกอบไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าเสนามหาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระราชาคณะ อันมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นประธาน ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร บางลำภู กรุงเทพฯ มีใจความสำคัญดังนี้

๑. จักไม่เปลี่ยนแปลงจากพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาอื่น

๒. จักเสวยน้ำจัณฑ์ (เหล้า) ต่อเมื่อไม่เป็นการผิดพระราชประเพณีต่อฝ่ายที่จะกระชับสัมพันธไมตรี และจะเสวยเพียงเพื่อไมตรีไม่ให้เสียพระเกียรติยศ

๓. จะไม่ล่วงประเวณีต่อสตรีไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด ตลอดเวลาที่พ้นออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม

ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ แต่ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติโดยแท้ จากจดหมายเหตุและพระราชหัตถเลขา ที่ทรงมีมายังพระพันปีหลวง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ทรงบอกชัดเจนว่า ทรงต้องผจญภัยในท้องทะเลกับคลื่นลมที่แปรปรวน ทรงพบกับความลำบากนานาประการ อาทิ ต้องทรงงดเสวยพระโอสถหมาก และพระโอสถมวน (หมาก พลู บุหรี่) และต้องให้ช่างมาขูดคราบพระทนต์ (ฟัน) ที่เกิดจากคราบหมากคราบปูนออกเพื่อให้พระทนต์ขาว ห้องพระบรรทมในเรือพระที่นั่งก็ไม่สะดวกสบาย อากาศร้อนเป็นที่สุด การเสวยก็ไม่เป็นไปตามที่ทรงพระประสงค์ ฯลฯ ซึ่งความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแรมเดือน ในช่วงที่ต้องใช้ทะเลมหาสมุทรเป็นเส้นทางเสด็จ และในช่วงที่เสด็จรอนแรมในท้องทะเลนั่นเอง คำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ของหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน ก็เป็นจริง


เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นอยู่ในบริเวณใกล้กับสะดือทะเล หรือ “ซากัสโซ ซี” (Sargasso Sea) อันบริเวณนั้นมักจะเกิดน้ำวนเป็นประจำ และเรือลำใดบังเอิญหลงเข้าไปในวังน้ำวนนั้น ก็มีหวังจมลงอับปางเป็นแน่แท้ และแล้ว “เรือพระที่นั่งมหาจักรี” ก็พลัดเข้าไปในวังวนนั้นจนได้ กัปตันคัมมิง (Capt.R.S.D Cumming R.N.) นายทหารเรือแห่งราชนาวีอังกฤษ ซึ่งไทยได้ขอยืมตัวมาเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเป็นการชั่วคราว ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถบังคับเรือให้สู้กับแรงหมุนและดูดอย่างเต็มที่ ด้วยหากเรือพระที่นั่งเข้าปากวังวนแล้วการรอดออกมานั้นหมดหนทาง

ในขณะที่วิกฤตินั้นได้มีผู้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมข้อแรกขึ้นมาได้ ก็ทรงจัดฉลองพระองค์ให้รัดกุม อาราธนาผ้ายันต์ของพระปลัดเอี่ยมติดมาด้วย เมื่อเสด็จมาถึงตอนหัวเรือ กัปตันกำลังแก้ไขสถานการณ์สุดกำลัง ทรงไม่รบกวนสมาธิของกัปตัน แต่เสด็จไปยืนอธิษฐานจิตถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และบารมีทศพิธราชธรรม และการเลิกทาสที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการช่วยเหลือพสกนิกรให้พ้นจากการเป็นทาส จบลงด้วยพระปลัดเอี่ยม และผ้ายันต์ ทรงโบกผ้ายันต์นั้นไปมาด้วยความมั่นพระราชหฤทัย แล้วปาฏิหาริย์ก็ปรากฏ เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยน จู่ๆ ก็เกิดลมมหาวาตะพัดมาในทิศทางที่อยู่ในแนวเดียวกับวังวน แรงลมทำให้เกิดกระแสคลื่นสะกัดกระแสวนของวังน้ำ ดันเรือพระที่นั่งให้พ้นจากแรงดูด สามารถตั้งเข็มเข้าสู่เส้นทางได้ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า “ฮูเรย์ - Hooray !” ของกัปตันและลูกเรือ

ส่วนผู้ติดตามเสด็จนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จนทรงพับผ้ายันต์เก็บแล้วนั่นแหละ จึงค่อยๆ ร้องว่า สาธุ สาธุ คำพยากรณ์ข้อแรกเป็นที่ประจักษ์แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า “แม่นยำยิ่งนัก” คงเหลือแต่คำพยากรณ์ข้อที่สองซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ก็ทรงเตรียมพระองค์รับสถานการณ์หากจะเกิดขึ้น

เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น มีช่วงที่รอนแรมในมหาสมุทรอินเดียยาวนานถึง ๑๕ วัน ๑๕ คืน คือเส้นทางระหว่างเมืองกอลล์ (Galle) ในเกาะลังกาหรือประเทศศรีลังกา ไปยังเมืองเอเดน (Aden) เมืองท่าปากทางเข้าสู่ทะเลแดงของประเทศเยเมน ช่วงนี้แหละที่น่าจะเป็นช่วงอันตรายที่สุดและลำบากที่สุด เหตุการณ์ตามคำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ข้างต้นคงเกิดในช่วงเส้นทางนี้ คือระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน ถึง ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ (ขอย้ำอีกครั้งเป็นเรื่องเล่า ไม่ได้มีบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขา - เล็ก พลูโต จากเว็บไซต์ lekpluto.com ผู้เขียน)

ขอรวบรัดตัดตอนเส้นทางการเสด็จประพาสยุโรป ไม่ขอนำความมากล่าวโดยละเอียด ณ ที่นี้ เมื่อพระองค์เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดีเฟลิกซ์ โฟร์ ได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่แรกไม่คิดจะต้อนรับขับสู้อย่างดีหรอก แต่สืบข่าวดูแล้วทุกประเทศที่พระองค์เสด็จผ่านมาก่อนหน้าที่จะเข้าฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย ฮังการี รัสเซีย เดนมาร์ก อังกฤษ เบลเยี่ยม เยอรมัน ต่างก็ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ โดยเฉพาะรัสเซีย พระเจ้าซาร์ นิโคลัส ทรงยกย่องนับถือเสมือนหนึ่งพระอนุชาร่วมอุทรของพระองค์เอง มีการฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์คู่กันเผยแพร่ไปทั่วยุโรป แล้วอย่างนี้ “เจ้าเศษฝรั่ง” จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไร

ในช่วงที่ทรงพำนักในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๐ นี่เอง ที่พระองค์ได้ประสบกับความแม่นยำในอนาคตังสญาณของพระปลัดเอี่ยม ข้อที่ ๒ หากไม่ได้เตรียมการหรือเตรียมพระองค์ล่วงหน้าแล้ว มีหวังที่จะต้องเอาพระชนม์ชีพไปทิ้งเสียที่นี่กระมัง

รูปภาพ
พระภาวนาโกศล (เอี่ยม สุวณฺณสโร) หรือ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง


โบราณว่าไว้ “หากไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร ?” เป็นบทท้าทายคำพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดตอนที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินเหยียบดินแดนของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ หวังจะครอบครองแผ่นดินไทยให้ได้ทั้งหมด แม้จะได้เป็นบางส่วนแล้วก็ตาม ก็หาเป็นที่พอใจไม่

ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปครั้งแรกนั้น สยามประเทศยังคงมีกรณีพิพาทเรื่อง “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” กล่าวคือ เราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลสำหรับตัดสินคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคนในชนชาติของตน ซึ่งส่งผลให้ฝรั่งต่างชาติอ้างสิทธิไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทั้งๆ ที่กระทำความผิดบนผืนแผ่นดินไทย ฉะนั้น เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ (คล้ายๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ต้องใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า “ถูก” หากเขาเห็นว่า “ผิด” คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา เป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงครามก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน

กรณี “พระยอดเมืองขวาง” แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้นแค้นแทบจะกระอักเลือดเลย เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว ดีแต่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ องค์พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศอย่างชาญฉลาดด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทนก็คงจะเป็นฝรั่งเศสนั่นเอง ซึ่งก็คงรอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน

พวกฝรั่งเศสมันคิดว่า “หากไม่มีล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว” ทีนี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ? ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้าพยศนัดสำคัญนัดหนึ่ง ซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกฝรั่งเศสมันได้นำเอาม้าตัวหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งพยศดุร้ายอย่างร้ายกาจ ไม่มีผู้ใดสามารถบังคับขี่ได้ มาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นพยศดุร้าย องค์พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ “อุบัติเหตุ” ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้

ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว เจ้าชายแห่งฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยทูลถามพระองค์ว่า

“ม้าพยศเช่นนี้ในเมืองของพระองค์มีหรือไม่ และหากมีผู้ใดสามารถบังคับได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”

พระองค์ทรงตรัสตอบว่า “ก็พอมีอยู่บ้าง”

“ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า”

“แน่นอน ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก”


“โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า” เจ้าชายแห่งฝรั่งเศสทูลด้วยความกระหยิ่มใจ

“แน่นอน ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นหวาดกลัว แม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ” จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามแข่งม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์สู่ลู่ด้านล่าง ซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้อง และเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย ตรัสเรียกนายโคบาลให้นำม้าพยศนั้นมาใกล้ๆ ทอดพระเนตรพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง

คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ พลันยื่นหญ้ากำนั้นให้ม้าพยศกิน เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกิน แล้วก็กลืนลงไป

เจ้าชายแห่งฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้า บัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนีเพราะเกรงกลัวในความพยศดุร้ายของมัน องค์พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น หญ้าเสกสัมฤทธิผลตามพระราชประสงค์

อาชาที่พยศดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่ง แล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างาม ไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยพยศดุร้าย คนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า “บราโวส บราโวส - Bravo ! อันหมายถึงว่า “วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด” ทั้งต่างโห่ร้องกึกก้อง ตกตะลึงในพระบารมีบุญญาธิการเป็นที่สุด ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติ บางคนก็โยนหมวกโดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ สักครู่จึงทรงบังคับให้ออกวิ่งอย่างเต็มฝีเท้า จากนั้นจึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม

บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้าพยศตัวนั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่ ๒ และคาถาพุทธาคมที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สัมฤทธิผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา และทั้งหมดนี้คือจุดเล็กๆ ในเกร็ดพระราชประวัติอันเป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระลานพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านานและยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไปชั่วกาลปาวสาน

เมื่อเสด็จนิวัติพระนคร พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จมาสักการะหลวงปู่เอี่ยม ตรัสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในต่างแดน และทรงพระราชทานถวายของฝากต่างๆ จากต่างแดน


รูปภาพ
รูปภาพ
วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) ในเรือพระที่นั่งมหาจักรี ที่เวนิช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงฉายพระรูปร่วมกับ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พระราชโอรส ขณะมีพระชันษา ๑๗ ชันษา
(องค์ที่ประทับนั่งกับพื้น)
และ “กัปตันคัมมิง (Capt.R.S.D Cumming R.N.)”
นายทหารเรือแห่งราชนาวีอังกฤษ ผู้บังคับการเรือพระที่นั่งมหาจักรี

(นั่งเก้าอี้ คนที่ ๓ จากซ้าย)
พร้อมทีมเดินเรือพระที่นั่งชาวอังกฤษที่ตามเสด็จฯ
ในคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖)


รูปภาพ
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงเสกหญ้าปราบม้าพยศ ที่สนามแข่งม้าชานกรุงปารีส ฝรั่งเศส
ในคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖)


รูปภาพ
เกร็ดพระราชประวัติล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
ในช่วงที่เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖)
เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้าง “พระบรมรูปทรงม้า” หน้าพระลานพระราชวังดุสิต


รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทรงเปิดผ้าคลุมพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หน้าพระลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้าหล่อด้วยโลหะทองบรอนซ์
วางบนแท่นศิลาอ่อน สูง ๖ เมตร กว้าง ๒ เมตร ยาว ๕ เมตร
ห่างจากฐานของแท่นออกมา มีโซ่ขึงล้อมรอบกว้าง ๙ เมตร ยาว ๑๑ เมตร
ตรงฐานด้านขวามีอักษรฝรั่งเศสจารึกชื่อช่างปั้นและช่างหล่อเอาไว้ว่า
C.MASSON SEULP 1980 และ G.Paupg Statuare
และด้านซ้ายเป็นชื่อบริษัทที่ทำการหล่อพระบรมรูปทรงม้าว่า
SUSSF Fres FONDEURS. PARIS
สำหรับแท่นศิลาอ่อนด้านหน้า มีแผ่นโลหะจารึกอักษรไทย
ติดประดับแสดงพระบรมราชประวัติและพระเกียรติคุณ
ลงท้ายด้วยคำถวายพระพรให้ทรงดำรงราชสมบัติอยู่ยืนนาน

-----------------------

:b8: :b8: :b8: คัดลอกเนื้อหามาจาก...
ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44681

:b44: ประวัติและความสำคัญ “วัดหนัง ราชวรวิหาร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=44689

:b44: ประวัติ “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” ในประเทศไทย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044

:b44: ถวายอดิเรก คือ “การถวายพระพร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=40358

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2013, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ..... ๒๓ ตุลาคม ปิยมหาราชรำลึก ..... สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เสด็จพ่อ
ร.๕ บุญของแผ่นดินไทย ใต้ร่มพระบารมี ประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าเรื่องนี้ ควรที่คนไทยทุกคนต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้ ขอปันด้วยความสำนึกรักในแผ่นดินสยาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 13:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 14:43
โพสต์: 68

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ :b8: สาธุ :b8: สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ Kiss

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2015, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2015, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
กราบสาธุๆๆ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2017, 18:53 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: น้อมกราบพระภาวนาโกศล - หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง เจ้าค่ะ
ขอน้อมรำลึกถึงยอดมงกุฎแห่งแผ่นดินพระองค์นี้ด้วยเจ้าค่ะ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2019, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


สาวิกาน้อย เขียน:
ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) นั้น สยามประเทศยังคงมีกรณีพิพาทเรื่อง “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” กล่าวคือ เราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลสำหรับตัดสินคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคนในชนชาติของตน ซึ่งส่งผลให้ฝรั่งต่างชาติอ้างสิทธิไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทั้งๆ ที่กระทำความผิดบนผืนแผ่นดินไทย ฯลฯ...ซึ่งหากไม่มีล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยคงเสียดินแดนไปทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ ก่อนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกฯ พระองค์มาทรงอาราธนาเข้าถวายนมัสการ “หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน” พระเถราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานและพุทธาคม ให้ถวายคำพยากรณ์

สาวิกาน้อย เขียน:
เเกร็ดพระราชประวัติล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐)
เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้าง “พระบรมรูปทรงม้า” หน้าพระราชวังดุสิต

:b20: Kiss :b20:
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2024, 12:47 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร