ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
รัชกาลที่ ๗ พระมหากษัตริย์นักปกครองของไทย (๒๔ มิถุนายน) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=25&t=42330 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 06 มิ.ย. 2012, 18:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | รัชกาลที่ ๗ พระมหากษัตริย์นักปกครองของไทย (๒๔ มิถุนายน) |
![]() รัชกาลที่ ๗ พระมหากษัตริย์นักปกครองของไทย “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์” ทรงเป็น กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา แล้วเลื่อนเป็น กรมหลวง เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เพียง ๑๕ วัน ซึ่งขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระประชวรมาเป็นเวลาแรมเดือนแล้ว และทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระราชอนุชาที่จะสืบราชสมบัติก็ได้เสด็จล่วงไปหมดสิ้น ยังแต่พระอนุชาองค์น้อยนี้ ที่มีสิทธิในราชบัลลังก์ยิ่งกว่าพระราชวงศ์ทั้งปวง จึงทรงระบุพระนามไว้ในพระราชหัตถ์เลขานิติกรรมว่า ถ้าพระองค์ไม่มีพระราชโอรส ก็ขอให้ราชสมบัติตกแก่สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ แล้ว ราชบัลลังก์แห่งพระราชจักรีวงศ์จึงได้ตกแก่สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ โดยที่พระองค์มิได้ทรงคาดหมายมาก่อน แม้ว่าพระองค์จะปฏิเสธที่จะเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ แต่ที่ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์จึงได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๗ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ในรัชสมัยของพระองค์ นับแต่สืบเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ แล้ว ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ครอบงำไปทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นได้พยายามแก้ไขโดยตัดงบประมาณแผ่นดินเพื่อให้รายจ่ายได้ดุลยภาพกับรายได้ของประเทศ และพระองค์เองก็ทรงยอมเสียสละความสุขส่วนพระองค์ โดยทรงตัดงบประมาณการใช้จ่ายในพระราชสำนัก จากปีละ ๙ ล้านบาท เหลือเพียง ๖ ล้านบาท สำหรับการปกครองประเทศสยามในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงจัดระเบียบการบริหารงานบุคคลของชาติด้วยการตรา “พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๗๑” ขึ้นบังคับใช้ โดยตามกฎหมายฉบับนี้จะมีกลุ่มคนที่เรียกว่า “คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน” คอยทำหน้าที่ดูแลการบรรจุแต่งตั้ง การเคลื่อนย้าย การให้ความดีความชอบ รวมทั้ง การควบคุมให้อยู่ในระเบียบวินัยของข้าราชการ โดยทรงโปรดให้มีการสอบแข่งขันบุคคลเข้าบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนเป็นครั้งแรก ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมที่ใครประสงค์จะเข้ารับราชการ ก็ไปฝากเนื้อฝากตัวกับหัวหน้าส่วนราชการนั้น ซึ่งหัวหน้าส่วนท่านนั้นจะรับหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ออก “พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุขแห่งสาธารณชน พ.ศ. ๒๔๗๑” โดยมีขอบเขตครอบคลุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภค และการเงิน เช่น กิจการไฟฟ้า การประปา รถราง รถไฟ การเดินอากาศ การชลประทาน การขุดคลอง การออมสิน และการประกันภัย เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นรากฐานของระเบียบที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเลื่อมใสในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระองค์ได้ทรงพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขการปกครองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยหลังจากเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้วทรงโปรดให้สถาปนาคณะอภิรัฐมนตรีขึ้น เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดิน แทนที่จะทรงตัดสินพระราชหฤทัยแต่พระองค์เดียว ทรงฟื้นฟูการประชุมเสนาบดีให้มีความสำคัญ และทรงแนะนำให้รู้จักการทำงานเป็นคณะและรับผิดชอบร่วมกัน อีกทั้งยังทรงแต่งตั้งสภากรรมการองคมนตรี เพื่อเป็นที่ปรึกษาข้อราชการและฝึกหัดการประชุมรัฐสภา สำหรับเรื่องของการปูพื้นฐานในการปกครองตนเองของประชาชนนั้น ได้ทรงโปรดให้ร่างพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้น แต่กฎหมายดังกล่าวได้ร่างเสร็จเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้รู้ทำการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น เพื่อเตรียมพระราชทานให้แก่ประชาชน ในโอกาสฉลองกรุงเทพมหานครครบรอบ ๑๕๐ ปี แต่ได้มีพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ทรงทูลคัดค้านว่ายังไม่สมควรแก่เวลา จึงเป็นอันต้องรอคอยการพระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ก่อน ครั้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีบุคคลคณะหนึ่งชื่อว่า “คณะราษฎร์” ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยินยอมโดยดี เนื่องจากพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตยแก่ประชาชนชาวไทยอยู่แล้ว ซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้แก่ประชาชน เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ และพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ พระองค์ได้เสด็จไปรักษาพระเนตร ณ ประเทศอังกฤษ โดยพระองค์ได้มีข้อข้องพระราชหฤทัยกับรัฐบาลคณะปฏิวัติในขณะนั้นหลายประการ โดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลคณะปฏิวัติในสมัยนั้นได้ปฏิบัติการในการปกครองประเทศที่มิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตยตามแบบอย่างนานาอารยประเทศ และเมื่อไม่มีทางตกลงกันได้ พระองค์จึงทรงประกาศสละพระราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๗ รวมเวลาครองราชย์สมบัติได้ ๑๐ ปี และหลังจากที่พระองค์ทรงสละราชสมบัติแล้ว ทรงใช้ชีวิตส่วนพระองค์ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ ประเทศอังกฤษ จนกระทั่งได้ทรงเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ รวมพระชนมายุได้ ๔๘ พรรษา ซึ่งแม้ว่าพระองค์จะเสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่ประชาชนชาวไทยก็ยังน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อยู่ตลอดเวลา ที่พระองค์ทรงเป็นผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทย เพื่อเป็นการน้อมระลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงกตัญญูกตเวทีต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จึงขอเชิญชวนข้าราชการ ส่วนราชการ องค์กรอิสระ สถาบันการศึกษา พรรคการเมือง และประชาชนทั่วไป วางพวงมาลาถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ นาฬิกา เรียบเรียงโดย สุวรรณา มารีนี สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร http://www.parliament.go.th |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |