ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระยอดธง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=31303 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 03 พ.ค. 2010, 15:01 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | พระยอดธง | ||
พระยอดธง ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลในการทำศึกสงครามแต่ละครั้ง ไพร่พลที่จะออกรบมักจะสรรหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมหามงคลต่างๆ พกติดตัว ด้วยความเชื่อที่ว่าจะสามารถปกป้องภยันตรายจากข้าศึกศัตรูและรบชนะข้าศึกกลับสู่บ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย ซึ่งความเชื่อนี้ก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ตนเอง และนอกจากการสร้างกำลังใจให้ไพร่พลแล้ว ในส่วนของกองทัพสมัยนั้นก็จะมีการเสริมสิริมงคลแก่กอง ทัพโดยอาราธนาพระพุทธรูปลอยองค์ 1 องค์ มาเสียบไว้ที่ยอดธงประจำทัพในแต่ละทัพ เราเรียกกันว่า "พระยอดธง" ครับผม พระยอดธง ส่วนใหญ่พบที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยจะมีกระจายอยู่แทบทุกกรุในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง เช่น ปทุมธานี แต่ที่พบมากที่สุดคือ กรุวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา ลักษณะจะเป็นพระพุทธรูปลอยองค์ ที่ไม่มีพุทธลักษณะเฉพาะขององค์พระเหมือนพระพุทธรูปอื่นๆ ซึ่งมีแม่พิมพ์ในการหล่อออกมาในพุทธลักษณะเดียวกัน จะมีทั้งพระพุทธรูปนั่ง พระพุทธรูปยืน ปางประทานพร ปางสมาธิ ปางมารวิชัย พิมพ์มาลัย ฯลฯ และยังมีมากมายหลายเนื้อ ทั้งเนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนาก เนื้อสำริด และเนื้อชิน สันนิษฐานว่า ผู้นำของแต่ละเหล่าทัพจะสร้างพระยอดธงตามความเคารพเลื่อมใสในพุทธคุณขององค์พระนั้นๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่กองทัพและไพร่พลของตน แต่จุดสังเกตสำคัญที่จะทราบว่าเป็น "พระยอดธง" ก็คือ ที่บริเวณพระที่นั่ง (ก้น) ขององค์พระสำหรับพระพุทธรูปนั่ง และที่พระบาทขององค์พระสำหรับพระพุทธรูปยืน จะมี "เดือย" ยื่นออกมาเพื่อใช้เสียบติดกับยอดธง "พระยอดธง" นับว่ามีชื่อเสียงเป็นที่นิยมและแสวงหาของบรรดานักนิยมสะสมพระบูชา พระเครื่องอย่างมาก สืบเนื่องจากเป็นพระเก่าแก่ที่ผ่านการศึกสงครามมาแล้ว แสดงถึงพุทธคุณล้นเหลือในการคุ้มครองกองทัพทั้งกองทัพไม่ใช่รายบุคคล จึงเชื่อว่าจะมีความเข้มขลังมากนั่นเอง พระยอดธงที่นับว่าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากที่สุดคือ "พระยอดธง กรุวัดไก่เตี้ย จ.ปทุมธานี" เพราะความเป็นเลิศของพุทธคุณปรากฏเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมา พระยอดธง กรุวัดไก่เตี้ย จ.ปทุมธานี จะเป็นพระพุทธรูปลอยองค์ สร้างในสมัยอยุธยา - องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย - พระเมาลีและพระเกศเรียบไม่มีเม็ดปุ่ม - พระพักตร์รูปไข่ ปรากฏพระขนง พระเนตร พระนาสิก และพระโอษฐ์ชัดเจน - พระกรรณทั้ง 2 ข้างยาวมาจดพระอังสา - เส้นสังฆาฏิปรากฏชัดเจน - ตรงพระที่นั่ง (ก้น) ขององค์พระจะมีเดือยยื่นออกมา พระยอดธง นับเป็นพระที่หายากยิ่งในปัจจุบัน จึงมีการทำเทียมเลียนแบบค่อนข้างสูง การพิจารณาก็ไม่มีพุทธลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ จึงต้องพิจารณาจากความเก่าของเนื้อขององค์พระที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน จากหลักการที่ได้ศึกษาร่ำเรียนกันมา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเนื้อทองเก่า เนื้อเงิน เนื้อนาก และเนื้อชิน
|
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 03 พ.ค. 2010, 15:05 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระยอดธง | ||
[ชื่อพระ] พระยอดธง เนื้อสำริด ศิลปะนครฯ [รายละเอียด] ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลในการทำศึกสงครามแต่ละครั้ง ไพร่พลที่จะออกรบมักจะสรรหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมหามงคลต่างๆ พกติดตัว ด้วยความเชื่อที่ว่าจะสามารถปกป้องภยันตรายจากข้าศึกศัตรูและรบชนะข้าศึกกลับสู่บ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย ซึ่งความเชื่อนี้ก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ตนเอง และนอกจากการสร้างกำลังใจให้ไพร่พลแล้ว ในส่วนของกองทัพสมัยนั้นก็จะมีการเสริมสิริมงคลแก่กอง ทัพโดยอาราธนาพระพุทธรูปลอยองค์ 1 องค์ มาเสียบไว้ที่ยอดธงประจำทัพในแต่ละทัพ เราเรียกกันว่า "พระยอดธง" "พระยอดธง" ก็คือ ที่บริเวณพระที่นั่ง (ก้น) ขององค์พระสำหรับพระพุทธรูปนั่ง และที่พระบาทขององค์พระสำหรับพระพุทธรูปยืน จะมี "เดือย" ยื่นออกมาเพื่อใช้เสียบติดกับยอดธง
|
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 03 พ.ค. 2010, 17:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระยอดธง |
อนุโมทนาสาธุด้วยครับท่านหลับอยุ่ |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 03 พ.ค. 2010, 20:55 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระยอดธง | ||
เจริญธรรมและสวัสดีครับคุณวรานนท์ (ต่อ) ตำนานพระยอดธง อนิสงค์ ในการสร้างเสาและธงบูชาพระพุทธเจ้า พระมหาจรูญ ญาณจารี แปลเรียบเรียงจากใบลานมอญ ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงอาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี เสด็จประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ในกาลครั้งนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้ยินดีในสัมมาจาคะสละเทวัตถุสร้างเสาและธงบูชาพระพุทธเจ้า “อานิสงส์ชนิดไหนจักมีแก่เขาในอนาคตกาลเล่า” พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามพระเจ้าปเสทิโกศลว่า ดูกรมหาบพิตร เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเช่นนั้นเล่า เพราะว่าอุบาสกอุบาสิกาคนใดคนหนึ่งก็ตาม หากได้ตั้งเจตนาสร้างเสาและธง ผลานิสงส์ก็จะมีแก่เขาอย่างมหาศาล พระพุทธองค์ได้ตรัสต่ออีกว่า ดูกรมหาบพิตร ในชมพูทวีปนี้พระวิปัสสีพุทธเจ้าได้ทรงปรินิพพานผ่านมาแล้วประมาณ 100 ปีเศษและมีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงปกครองเมืองชื่อ กาลวดี ในกาลครั้งนั้น มีชายยากจนคนหนึ่ง ชื่อ กตุมพิกะ ภรรยาของเขา ชื่อ ภาวดี ครองชีวิตอยู่ด้วยกัน วันหนึ่งเขาได้เข้าไปยังป่าแห่งหนึ่งได้พบต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งมีลำต้นตรงดี มาก เขาคิดว่า “ต้นไม้นี้ถ้าเอามาทำเสาธงจะเยี่ยมมาก” จึงได้ทำเครื่องหมายสังเกตไว้ที่ต้นไม้นั้น แล้วกลับไปยังบ้านของตน ภายหลัง วันหนึ่งเขาได้เทียมเกวียนด้วยวัวแล้วเข้าไปยังป่าตัดต้นไม้ที่ตนทำเครื่อง หมายไว้นั้น ตัดแล้วแบกขึ้นเกวียนนำกลับมาไปเก็บไว้ภายในหมู่บ้าน เขาได้ถากไม้สำหรับทำเสานั้นยังไม่ทันเรียบร้อยดี โรคชนิดหนึ่งของเขาเกิดกำเริบขึ้น ในเวลาประมาณเที่ยงคืนเขาได้ถึงแก่ความตาย ด้วยเหตุที่เขามีศรัทธาเลื่อมใสในกุศลธรรมจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สถิตอยู่ในประสาททองสูงประมาณ 12 โยชน์ มีนางอัปสรรค์ประมาณ 1,000 หนึ่งเป็นบริวารห้อมล้อม ฯ ต่อมามีชายหนุ่มอื่นอีกคนหนึ่งได้พบไม้ที่ชายคนแรกถากไว้นั้นคิดว่า “ไม้สำหรับทำเสาธงนี้ยังถากไม่เรียบร้อยดี เราจะถากให้เรียบร้อยเอง” จึงได้ทำการถางเสาต้นนั้นจนเสร็จ แล้วเขาก็ได้ถึงแก่กรรม พอละขันธ์แล้วก็ไปบังเกิดในปรโลกบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สถิตอยู่ปราสาททองสูง 12 โยชน์ มีนางอัปสรรค์พันหนึ่งเป็นบริวารห้อมล้อมเช่นกัน ส่วนผู้คนทั้งหลายที่ช่วยเขาถากต้นไม้นั้นก็ได้ไปเกิดในสวรรค์เช่นเดียวกัน ต่อมามีชายหนุ่มอื่นอีกคนหนึ่ง ได้เห็นเสาต้นนั้นเข้า ซึ่งได้ถาก ไส และขัด เรียบร้อยแล้ว เกิดความศรัทธาจึงได้ซื้อทองมาปิดที่เสาธงนั้น เสร็จแล้วก็ได้ยกเสาธงตั้งขึ้น รัศมีของเสาธงซึ่งเกิดจากทองเหมือนกับดุ้นฟืนที่ติดไฟแดง ๆ ประดับอยู่ที่เสาธงนั้น พ่อค้าประมาณ 500 คน มาพบเสาธงนั้นก็ได้ช่วยทำส่วนประกอบของธง บางคนก็ทำเกล็ดธงสำหรับ ประดับธง บางคนก็ทำกรอบโครงธงที่ไขว่ไปมาเป็นตาหมากรุก บางคนก็ทำไม้ขั้นสำหรับติดเกล็ดธง บางคนก็เย็บ บางคนก็ผูกเชือก ทุกคนพร้อมใจทำด้วยความเต็มใจ เสร็จแล้วก็ได้ฉลองความสำเร็จของเสาธงอย่างยิ่งใหญ่ พ่อค้าทั้ง 500 คนนั้นได้ประกอบอาชีพค้าขายตลอดชีวิต และถึงแก่กรรมในที่สุด ทำลายอัตตภาพแล้วไปเกิดในสวรรค์ มีนางอัปสรสวรรค์หมื่นหนึ่งเป็นบริวาร สถิตอยู่ในปราสาททองสูง 30 โยชน์เกิดเป็นพี่น้องกัน ได้เสวยทิพยสมบัติอย่างรื่นรมย์ยิ่งนัก ต่อมาก็เคลื่อนจากสวรรค์ดาวดึงส์มาบังเกิดในเมืองพาราณสีเป็นพี่น้องกันอีก ทุกคนได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองเมืองพาราณสีในแต่ละหัวเมือง มีนางสนมห้าหมื่นคนเป็นบริวารรื่นรมย์อยู่ในปราสาทพร้อมทั้งเสียงดนตรี บรรเลงขับกล่อมและนางฟ้อนทั้งหลาย ทุกพระองค์ต่างก็มียานพาหนะช้าง ม้า ประมาณ 84,000 ตัว สระบ่อน้ำและอุทยาน 80,000 ที่ ได้เสวยสมบัติในเมืองพาราณสีนั้น รุ่งเรืองไปทรัพย์สิ่งของ แก้ว แหวน เงิน ทอง อย่างสุขกายสบายใจแล้วก็ตายไปเกิดในเมืองสวรรค์ เคลื่อนจากสวรรค์ก็มาเกิดเสวยสุขสมบัติในเมืองมนุษย์ จากเมืองมนุษย์ก็กลับไปยังเมืองสวรรค์อีก ท่องเทียวไปมาระหว่างเมืองมนุษย์กับเมืองสวรรค์ จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ พวกเขาได้สร้างเสาธงถวาย ครั้นเคลื่อนจากสวรรค์ได้ไปเกิดในตระกูลเศรษฐีเป็นพี่น้องกันอีก เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหล่ามหาชนต่างก็พากันสมาทานศีล 5 ศีลอุโบสถ บำเพ็ญกุศลธรรมกัน และด้วยความระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และสงฆเจ้า พวกเขาต่างก็แต่งตัวประดับองค์ ถือดอกไม้ ธูปเทียน แล้วพากันไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า กล่าวถึงเหล่าเศรษฐีพี่น้อง เห็นมหาชนพากันเดินไปจึงถามว่า “พวกท่านจะไปไหนกัน” เหล่ามหาชนจึงตอบว่า “พวกเราจะไปฟังธรรม” เศรษฐีพีน้องเหล่านั้นได้ยินเช่นนั้นก็เกิดปีติปลาบปลื้มใจ จึงพูดว่า หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะไปฟังธรรมเหมือนกัน จึงได้พากันไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ในพระ วิหารเชตวัน ได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ซึ่งได้แสดงอานิสงส์ของการถวายธงว่า “ดูกรอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ว่าจะเป็น คนทุกข์ยากก็ตาม คนเข็ญใจก็ตาม พระราชาก็ตาม พระมเหสีก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม บัณฑิตก็ตาม คนพาลก็ตาม หากได้สร้างเสาธงถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้นั้นก็จะไม่ต้องไปอบายภูมิ 4 จะได้ไปเกิดในเมืองใหญ่ 14 เมือง ได้รับความสุขสบาย และจะเกิดในสองตระกูลคือ ตระกูลกษัตริย์กับตระกูลพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมาก จะไม่ไปเกิดยังตระกูลที่เลวอย่างแน่นอน” ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ ตรัสพระคาถา ใจความของพระคาถานั้นดังนี้ อุบาสกอุบาสิกาที่ได้ตั้งเจตนาสร้างเสาธงถวายพระพุทธเจ้า จะได้รับอานิสงส์ดังนี้คือ เป็นผู้มีกำลัง แข็งแรง มีเดชมาก มียสสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีช้างม้าวัวควาย มีข้าทาสชายหญิง เงินทอง ข้าวเปลือก ข้าวสาร จตุรงคเสนา 4 เหล่าคือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า ได้เป็นเทวดาเหนือกว่าเทวดา หากเป็นพระราชาก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ได้ครอบครองเกาะใหญ่ทั้ง 4 และเกาะน้อยพันเกาะ มีเมืองขึ้นนับเป็นอสังไขย” อนึ่งอานิสงส์ที่จะเกิดแก่ผู้ถวายเสาธงดังนี้ ถ้าธงสะบัดไปทางทิศตะวันออก ผู้นั้นจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ สะบัดไปในระหว่าง ๆ นั้น ๆ ผู้นั้นจะมีบริวารมาก สะบัดไปทางทิศอาคเนย์ ผู้นั้นจะได้เป็นมหาเศรษฐี สะบัดไปทางทิศใต้ ผู้นั้นจะได้เป็นท้าวจาตุมมหาราช สะบัดไปทางทิศหรดี ผู้นั้นจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินในประเทศราช สะบัดไปทางทิศตะวันตก ผู้นั้นจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า สะบัดไปทางทิศพายัพ ผู้นั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก สะบัดไปทางทิศเหนือ ผู้นั้นจะได้เป็นมหาพรหม สะบัดไปทางทิศอิสาน ผู้นั้นจะได้เป็นพระอินทร์ สะบัดไปทางทิศเบื้องล่าง ผู้นั้นจะได้เป็นพระยานาคราช สะบัดไปทางทิศเบื้องบนในอากาศ ผู้นั้นจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และในศาสนาของพระอริยเมตไตรผู้เป็นจอมโลกทั้ง 3 โน้น หากผู้นั้นได้ทันเห็นพระองค์แล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก ก็จะสมความปรารถนาทุกประการ ในที่สุดแห่งการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า มหาชนที่ได้ฟังธรรมของพระองค์ก็ได้บรรลุพระโสดาบัน และมรรค 8 เป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์ สิ้นทุกคน…….. แปลจากใบลานภาษามอญวัดคงคาราม ราชบุรี จารเมื่อ พ.ศ. 2374 หมายเหตุ เสาและธงที่ปรากฏอยู่ตามวัดต่าง ๆ ของมอญนั้น หมายถึงเป็นธงชัยของพระอรหันต์ที่ประกาศให้สังคมโลกให้รับรู้ถึงสัจจธรรมและ ความมีชัยต่อสรรพทุกข์ทั้งปวงในทางพุทธศาสนา ซึ่งคำศัพท์ในภาษามอญใช้คำว่า ตางแจ็ะโหน่ ตาง ภาษามอญหมายถึง หลัก หรือ เสา แจ็ะโหน่ หมายถึง ชนะ หรือ มีชัย เมื่อเพ่งตามรูปศัพท์และตำนานเกี่ยวกับพุทธศาสนาแล้วจะเห็นได้ว่า ผื่นผ้าที่โบกไสวอยู่บนยอดเสานั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความมีชัย หรือที่เรามักได้ยินว่า ธงชัยพระอรหันต์นั่นเอง ข้อเคลือบแคลง ประเพณี “แห่หงส์ธงตะขาบ” ที่ชาวรามัญบางพื้นที่จัดทำขึ้นในเทศกาลสงกรานต์ ผู้เขียนยังแคลงใจ ด้วยเหตุอันใดที่ทำให้ตัวธงซึ่งแต่เดิมจากหลักฐานในพระสุตตันตปิฎกเล่ม 24 ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 1 ข้อ 24 หน้า 71-74 ก็เป็นเพียงผ้าห่มของอุบาสกชาวเมืองหงสดีคนหนึ่ง ที่ถวายเพื่อเป็นการบูชาพระปทุมุตรพุทธเจ้า และจากหลักฐานในคัมภีร์ใบลานภาษามอญวัดคงคาราม จ. ราชบุรี ซึ่งปรากฏว่าจารไว้เมื่อ พ.ศ. 2374 ประมาณ 170 ปีมาแล้ว ก็อธิบายลักษณะธงว่า มีวงกรอบแบบตาหมากรุก ใช้ไม้ติดด้านขวางเป็นขั้น ๆ และก็ติดเกล็ดธงไว้บนกรอบ นำมาเย็บติดกัน ผูกเชือกเข้าด้วยกัน เป็นอันเสร็จขั้นตอนของการทำธง และจากหลักฐานที่อื่นก็ไม่ปรากฏว่า มีธงที่เป็นรูป “ตะขาบ” ธงที่ปรากฏในเอกสารมอญเท่าที่ ในชั้นเดิมผู้เขียนเคยพบก็มีเพียงธงผื่นผ้ายาวที่แขวนบนเสาสูง ซึ่งยอดเสามักจะเป็นช้าง ๓ เศียร หรือสัญลักษณ์อย่างอื่น ยอดเสาที่เป็นรูปหงส์เพิ่งมาเห็นเอาก็ในชั้นหลัง ๆ นี้แล้ว ส่วน "ตะขาบ” มีปรากฏอยู่ในเอกสารมอญก็แต่ในตำนานการเกิดขึ้นแห่งเจดีย์ชะเวดากอง ซึ่งมิได้เกี่ยวกับธงที่ขึ้นอยู่บนเสาหงส์แต่ประการใด แต่ด้วยสาเหตุใดก็สุดคะเนที่ทำให้ตะขาบในปัจจุบันมีอิทธิฤทธิ์ต่ายขึ้นไป อยู่บนเสาหงส์ได้ -------------------------------------------------------------------------------- อิติปาระมิตาตึงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมะนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ นะมะอะอุ พุทโธ อะระหัง ที่มา .... วัดสุทธาวาส วิปัสสนา
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |