ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี วัดคุ้งตะเภา จ.อุตรดิตถ์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=22256 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | คนไทเลย [ 13 พ.ค. 2009, 10:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี วัดคุ้งตะเภา จ.อุตรดิตถ์ |
ไหว้พระประธาน ๗๗ จังหวัด พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี พระประธานในหอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา ต.คุ้งตะเภา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี หรือ "หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์" วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา ต.คุ้งตะเภา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็น ๑ ใน ๙ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองอุตรดิตถ์ มีพุทธลักษณะปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์บริสุทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒ ศอกเศษ มีพุทธลักษณะงดงามตามแบบอย่างสกุลช่างสุโขทัย-เชียงแสน ซึ่งเป็นแบบที่พบได้น้อยมากและหายากที่สุด โดยเป็นพระพุทธรูปสำคัญเพียงองค์เดียวในจังหวัดอุตรดิตถ์ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงยกย่องเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองอุตรดิตถ์ และทรงมีพระเมตตาธิคุณทรงตั้งพระนามขึ้นใหม่ถวายเป็นพุทธบูชาเป็นกรณีพิเศษ หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ เดิมนั้นทางวัดไม่เปิดเผยสถานที่ประดิษฐาน และไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าสักการะได้ถึงองค์พระเนื่องด้วยปัญหาด้านการรักษาความปลอดภัย โดยจะอัญเชิญหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีออกให้ประชาชนทั่วไป นมัสการได้ถึงตัวองค์พระเพียงในช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน วัดคุ้งตะเภา ได้สร้างห้องตู้กระจกนิรภัย พร้อมทั้งติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอิเล็กทรอนิกส์แล้ว จึงทำให้สามารถเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าสักการะได้ทุกวัน โดยปัจจุบันหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีประดิษฐานอยู่ที่ หอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี วัดคุ้งตะเภา พระพุทธลักษณะวินิจฉัย หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ เดิมองค์พระถูกพอกปูนลงรักปิดทองอารักขาภัยไว้ ตัวองค์พระสำริดดังปรากฏในปัจจุบันนั้นสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยแรกก่อตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สกุลช่างเชียงแสนยุคปลายผสมสกุลช่างสุโขทัยยุคต้น หรือในช่วงยุครอยต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย เป็นรัชสมัยระหว่างพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับพญาลิไท มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี มีประวัติความเป็นมาและอภินิหารที่น่าสนใจยิ่ง หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์นั้นจัดเป็นพระพุทธรูปเนื้อโลหะสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัย ศิลปะสกุลสุโขทัย-เชียงแสน แปลงแบบท่านมหาสวน ปัจจุบันปรากฏเพียงไม่กี่องค์ในประเทศไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์เขียน ยิ้มศิริ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร ศิลปินชั้นเยี่ยมสาขาจิตรกรรม ได้กล่าวยกย่องคุณค่าทางศิลปะของพระพุทธรูปแบบหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ไว้ในหนังสือ "พุทธานุสรณ์" ของท่านว่า พระพุทธรูปแบบหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์เช่นนี้ "เป็นศิลปะชั้นครู (Masterpiece)" ซึ่งนับว่าหายากมาก ทั้งหมดมีขนาดเท่ากันคือขนาดเท่าคน มีจุดเด่นที่พระพักตร์อันสงบงามยิ่ง ...อารมณ์การแสดงออกของท่านมีความสงบเป็นสำคัญ ยิ่งดูท่านนานเพียงไร ก็ยิ่งจับใจในความสง่างามของท่านยิ่งขึ้นเพียงนั้น... ผศ.เขียน ยิ้มศิริ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เขียน ยิ้มศิริ กล่าวอีกว่าพระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ประดิษฐานในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบความงดงามสู้กับพระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโข สัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีได้เลย เพราะพระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีนับว่ามีจิต วิญญาณภายในมากกว่า ดังนั้นจึงนับได้ว่าในด้านความมีวิญญาณผุดผ่องภายในเชิงศิลปะของหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีนั้นนับได้ว่าเป็นเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ช่วยศาสตราจารย์เขียน ยิ้มศิริ ได้สรุปสันนิษฐานไว้เป็นแนวคิดของท่านว่า พระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีนั้น สร้างขึ้นโดย "ผู้มีภูมิสง่าราวกับกษัตริย์" หรือสร้างขึ้นโดยผู้มีบุญบารมีหรือโดยพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองนั่นเอง อาศัยข้อสันนิษฐานจากพระพุทธลักษณะขององค์หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ ประกอบ กับเกณฑ์การแบ่งยุคพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยข้างต้นนี้ จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ของวัดคุ้งตะเภาองค์นี้ ได้สร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัยยุคที่ ๑ หรือร่วมสมัยยุคแรก ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๘ คำนวนอายุที่สร้างองค์หลวงพ่อก็นับว่าไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ปีมาแล้ว ตำนานความเป็นมาและอภินิหารโดยสังเขป พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี ได้สถาปนาขึ้นโดยพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ เมื่อ ๘๐๐ ปีก่อน ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เพื่อประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองภายในพระวิหารหลวง เป็นมิ่งขวัญที่เคารพสักการะของชาวอาณาจักรโบราณที่รุ่งเรืองและรุ่มรวยด้วยอารยธรรมมานานหลายร้อยปี ต่อมาเมื่อมีการสงครามรบทัพจับศึกโกลาหลจนถึงขั้นเสียเมือง ชาวบ้านที่มีใจศรัทธาไม่ต้องการให้พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพรักและหวงแหนยิ่ง ต้องตกไปอยู่ในมือของข้าศึก จึงได้ร่วมใจกันพอกปูนลงรักไว้เพื่ออำพรางปิดบังข้าศึก และด้วยพระพุทธบารมีองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีจึงรอดพ้นภยันตรายจากข้าศึกมาได้ แต่องค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีก็ต้องถูกปิดบังพระพุทธลักษณะเอาไว้เพื่อความปลอดภัยมานานนับร้อยๆ ปี นับแต่บัดนั้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จวบจนยุคสมัยก้าวล่วงเข้าสู่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังยุคจลาจลเมื่อคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ไม่นาน องค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปซึ่งอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ทั้งที่เป็นพระปูน พระโลหะ ซึ่งถูกทอดทิ้งไว้อย่างน่าเวทนาภายในหัวเมืองโบราณต่างๆ ทั้งหัวเมืองเหนือและหัวเมืองล้านนา ทรงมีพระราชศรัทธาเปี่ยมล้นในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมารุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี จึงมีพระบรมราชโองการให้อัญเชิญเคลื่อยย้ายพระพุทธรูปซึ่งถูกทอดทิ้งตามพระอารามร้างวิหารหลวงโบราณและจากวัดต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาเขต มารวบรวมไว้ในพระนครเพื่อรอการอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ยังพระอารามอันสมควรแก่การสักการบูชา โดยในครั้งนี้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่างๆ มายังกรุงเทพมหานคร มากกว่า ๑,๒๔๘ องค์ (หนึ่งพันสองร้อยสี่สิบแปดองค์) ซึ่งพระพุทธรูปปูนปั้นหุ้มหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีก็ได้ถูกอัญเชิญมาในคราวเดียวกันนี้ ในการนั้น ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี และพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่างๆ ที่ได้รวบรวมมาประดิษฐานไว้ ณ พระระเบียง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่ทรงบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นในปี พ.ศ. ๒๓๔๔ ประดิษฐานยังวัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๓๖ พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางเธอในรัชกาลที่ ๑ ทรงทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดเลียบเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้พระราชทานนามวัดว่า "วัดราชบุรณราชวรวิหาร" ตามนามวัดราชบุรณะซึ่งเป็นวัดคู่เมืองราชธานีตลอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และได้มีพระบรมราชูปถัมภ์ในการบูรณปฏิสังขรณ์ด้วย กาลเวลาผ่านมาจน ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถอนสีมาวัดราชบุรณราชวรวิหาร (วัดเลียบ) เก่า แล้วสร้างพระอุโบสถและพระวิหารใหม่ พร้อมกับทำการสร้างพระระเบียงล้อมรอบพระอุโบสถ ภายในอัญเชิญพระพุทธรูปซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำมาจากหัวเมืองรวม ๑๖๒ องค์ มาประดิษฐานไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ องค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี ด้วย บรรยากาศหน้าสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ฝั่งพระนคร ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ด้านซ้ายคือตึกโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กลางภาพเห็นวัดราชบุรณราชวรวิหาร (ก่อนถูกทำลายหมดทั้งวัดจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในปี พ.ศ. ๒๔๘๘) เห็นภาพโรงไฟฟ้าวัดเลียบอยู่ด้านหลังวัด (ถูกทำลายในคราวสงครามโลกครั้งที่สองเช่นเดียวกัน) และด้านขวามือสุดคือ พระปรางค์ วัดราชบุรณราชวรวิหาร ศาสนสถานแห่งเดียวที่รอดจากการถูกทำลายจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร รอดจากระเบิดสัมพันธมิตร กาลล่วงเลยมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ วัดราชบุรณราชวรวิหารถูกระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้พระอุโบสถ พระวิหาร และกุฏิเสนาสนะเสียหายมาก คณะสังฆมนตรี และคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น มีมติว่าสมควรยุบเลิกวัดเสีย จึงนำความกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ยุบเลิกวัดได้ ทางราชการจึงออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เมื่อถูกยุบเลิก ทางวัดได้อนุญาตให้วัดต่างๆ ในหัวเมืองอัญเชิญพระพุทธรูปที่พระระเบียงที่รอดจากการถูกทำลาย ไปประดิษฐานยังวัดของตนได้ตามแต่ประสงค์ หลังจากสงครามสงบลงในปีเดียวกันพระพุทธรูปเหล่านั้นจึงกระจายไปอยู่ตามวัดต่างๆ สถานที่แม่น้ำน่านเต็มตลิ่งถึงหน้าวัดเป็นอัศจรรย์ เป็นเหตุให้สามารถอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี ขึ้นแพยังฝั่งแม่น้ำหน้าวัดคุ้งตะเภาเดิมได้ (แม่น้ำน่านในสมัยนั้นอยู่ห่างจากตลิ่งวัดไปกว่า ๑ กิโลเมตร) อัญเชิญขึ้นมายังอุตรดิตถ์ วัดคุ้งตะเภา ซึ่งในสมัยนั้นกำลังทำการก่อสร้างอุโบสถ และยังไม่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สำหรับเป็นพระประธานเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงได้แจ้งความจำนงขอรับพระพุทธรูปเก่าจากวัดราชบุรณราชวรวิหารมาองค์หนึ่ง กรมการศาสนาจึงได้ส่งพระพุทธรูปโบราณทั้งที่เป็นพระปูนพระสัมฤทธิ์ รวมทั้งองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีที่เคยประดิษฐานที่พระระเบียงคต รวมจำนวน ๘ องค์ คู่กับรูปหล่อสัมฤทธิ์พระอัครสาวกที่เคยประดิษฐานเป็นพระอสีติมหาสาวก ๘๐ องค์ ภายในวิหารซึ่งเป็นพระที่รอดจากการทำลายจากระเบิดสัมพันธมิตรในครั้งนั้นมาด้วย การเคลื่อนย้ายนั้น กรมการศาสนาได้อัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีและพระพุทธ รูปอื่นๆ ขึ้นมายังจังหวัดอุตรดิตถ์โดยทางรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟศิลาอาสน์ และอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่วัดธรรมาธิปไตย ซึ่งเป็นวัดของพระเดชพระคุณพระสุธรรมเมธี (บันลือ ธมฺมธโช ป.ธ.๘) เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ในขณะนั้น โดยท่านได้ทำการจัดแบ่งถวายยังวัดต่างๆ ที่แจ้งความประสงค์มาโดยการเลือกบ้างจับสลากบ้าง พระปลัดป่วน ซึ่งยังเป็นเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาในครั้งนั้นจึงได้ส่งมัคนายกวัดคุ้งตะเภา ๒ ท่าน คือทายกบุตร ดีจันทร์ และทายกอินทร์ รัตนมาโต มาที่วัดธรรมาธิปไตยเพื่อคัดเลือกและรับอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อพระพุทธสุ โขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีมายังวัดคุ้งตะเภา โดยได้รับถวายรูปหล่อพระอัครสาวกมาจำนวน ๒ องค์เพื่อประดิษฐานคู่กับหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีด้วย (ปัจจุบันรูปพระอัครสาวกทั้งสองได้สูญหายไปนานแล้ว) การเคลื่อนย้ายหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีมายังวัดคุ้งตะเภาในครั้งนั้น ทายกทั้งสองได้ชวนคนวัดและชาวบ้านร่วมกันอัญเชิญมาลงที่ท่าอิฐไม่ไกลจากวัดธรรมาธิปไตย และทวนแพมาขึ้นฝั่งหน้าวัดคุ้งตะเภาโดยทางแม่น้ำน่านในช่วงสงกรานต์ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ในครั้งนั้นเล่ากันมาว่ามีน้ำหลากสูงเต็มตลิ่งผิดปกติ ทำให้ชาวบ้านสามารถอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีขึ้นฝั่ง ตรงหน้าวัดบริเวณ ต้นโพธิ์หน้าศาลาการเปรียญได้เป็นอัศจรรย์ ในช่วงแรก ชาวบ้านคุ้งตะเภาได้ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี ไว้เป็นพระประธานบนบนศาลาการเปรียญเปิดโล่งสี่ทิศ หรืออาคารศาลาการเปรียญหลังเก่าที่สร้างมาแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งเป็นศาสนสถานหลักของวัดในสมัยนั้นก่อนจะมีการสร้างอุโบสถเพื่อประดิษฐาน ในช่วงหลัง โดยผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบมาว่าหลังอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์ อุตรดิตถ์มุนีมาประดิษฐาน เป็นหลักชัยของวัดในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้มีฝนตกต้องตามฤดูกาลเสมอมา ชาวบ้านคุ้งตะเภาในช่วงนั้นหากินได้อุดมสมบูรณ์มากกว่าปกติ และต่างเชื่อกันว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปที่นำมาจากวัดราชบุรณะ ในภายหลังจึงได้การขนานพระนามถวายองค์พระว่า "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" ที่แปลว่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่บันดาลความสุขอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จดังปรารถนา มาให้ จนในช่วงหลังพระสงฆ์ในวัดเรียกกันคุ้นปากว่า "หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์" ที่มีความหมายถึงความสุขเช่นเดียวกัน ต่อมาในช่วงหน้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีลมพายุพัดรุนแรงมากจนทำให้กิ่งไม้หักถูกศาลาการเปรียญต้ององค์พระปูนปั้นหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ชำรุดจนเห็นเนื้อภายใน ทำให้พระสงฆ์วัดคุ้งตะเภาได้ทราบว่าพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาแต่วัดราชบุรณะนั้นเป็นพระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์โบราณ จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานในอุโบสถของวัดคู่กับหลวงพ่อสุวรรณเภตรา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สำคัญประจำวัดคุ้งตะเภา ปะปนกับพระพุทธรูปองค์อื่นๆ โดยไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นพระเนื้อสัมฤทธิ์โบราณ และมีพระสงฆ์วัดคุ้งตะเภาเข้าจำพรรษาเฝ้าระวังหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ทุกพรรษาในอุโบสถ ทำให้ในช่วงหลังนามหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ได้ลืมเลือนไปจากชาวบ้านรุ่นที่ทันเห็นในคราวที่ยังเป็นพระพุทธรูปปูน จนถึงกลางปี พ.ศ. ๒๕๓๗ มีการบูรณะอุโบสถวัดคุ้งตะเภา พระสงฆ์จึงได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์เข้าประดิษฐานยังห้องลับของวัดจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จึงได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อออกประดิษฐานให้ประชาชนสักการะเป็นการชั่วคราวในเทศกาลสงกรานต์ และในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ วัดคุ้งตะเภาได้สร้างตู้กระจกนิรภัยพร้อมกับติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอิเล็กทรอนิกส์บนอาคารศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา และได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นประดิษฐานในหอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีประสิทธิมงคล เปิดโอกาสให้ประชาชนสักการะเป็นการถาวรจนถึงปัจจุบัน งานนมัสการหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี หลังจากที่วัดคุ้งตะเภาได้อัญเชิญหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี กลับมาสู่แดนมาตุภูมิ (แถบนี้เคยเป็นหัวเมืองของกรุงสุโขทัยในอดีต) ก็มิได้มีการเปิดให้สักการบูชาและเปิดเผยองค์หลวงพ่ออย่างเป็นทางการเช่นในอดีต เนื่องจากปัญหาด้านการรักษาความปลอดภัย เพราะองค์หลวงพ่อเป็นโบราณวัตถุที่ประเมินค่ามิได้ และเป็นที่ปรารถนาสำหรับพ่อค้าวัตถุโบราณ ทำให้ทางวัดจำเป็นต้องเก็บงำปูชนียวัตถุโบราณสำคัญยิ่งของชาติชิ้นนี้ไว้ในสถานที่ต่างๆ ภายในวัดโดยไม่ได้เปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปทราบมานานกว่า ๖๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ วัดคุ้งตะเภาจึงได้ทำการเปิดเผยองค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สักการะปิดทองสรงน้ำได้ถึงองค์พระ โดยจะอัญเชิญหลวงพ่อมาประดิษฐานให้ประชาชนทำการสักการบูชาได้เฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น จนในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ วัดคุ้งตะเภาได้สร้างตู้กระจกนิรภัยพร้อมกับติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย อิเล็กทรอนิกส์บนอาคารศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา และได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นประดิษฐานในหอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์ประสิทธิมงคล เปิดโอกาสให้ประชาชนสักการะเป็นการถาวรจนถึงปัจจุบัน พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองอุตรดิตถ์ ด้วยฤทธานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี และพระพุทธศิลปะแบบสุโขทัย-เชียงแสนที่หาชมได้ยากยิ่ง ทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุตรดิตถ์ จึงได้ยกย่ององค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีเป็นพระพุทธรูปโบราณศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมือง ๑ ใน ๙ องค์ ของจังหวัดอุตรดิตถ์ และวัดคุ้งตะเภาถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในเส้นทางทำบุญไหว้พระ ๙ วัด ของจังหวัดอุตรดิตถ์อีกด้วย และเนื่องในมหาศุภวาระมงคลดิถีสัมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี (การฉลอง ๒๖ พุทธศตวรรษแห่งการตรัสรู้) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก องค์พระสังฆบิดรแห่งคณะสงฆ์ไทย จึงได้มีพระเมตตาธิคุณเปลี่ยนถวายพระนามองค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีใหม่ให้สอดคล้องกับชื่อจังหวัดอุตรดิตถ์ จากพระนามเดิม หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ เป็น พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี โดยปรากฏข้อความทรงยกย่องในหนังสือตอบการประทานพระนามจากสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ว่า ...เป็นพระพุทธรูปโบราณสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ ปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน-สุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์... การที่ทรงมีพระเมตตาธิคุณประทานเปลี่ยนพระนามใหม่ให้เป็น พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี นั้น เพื่อให้คล้องกับพระนามเดิมที่รู้จักกันทั่วไป และต่อสร้อยให้คล้องกับนามจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ องค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์จึงมีพระนามใหม่ตั้งแต่นั้นมา พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี นับเป็นพระพุทธรูปโบราณทรงพลานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนามาช้านานนับ ๘๐๐ ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยังนับเป็นพระพุทธรูปศิลปะผสมเชียงแสน-สุโขทัย ศิลปะชั้นครู แบบที่หาพบได้น้อยมากและหายากที่สุดในประเทศไทย และในโลก จึงนับเป็นนิมิตหมายและสิริมงคลยิ่งของชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ อันเป็นจังหวัดที่ประกอบด้วยกลุ่มชนพหุวัฒนธรรม ทั้งไทยกลางและไทยล้านนา ดุจเดียวกับพุทธศิลป์แห่งพระพุทธรูป บารมีแห่งพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีได้ประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง เป็นมิ่งขวัญสิริมงคล และเป็นหลักชัยแห่งชนชาวอุตรดิตถ์มาช้านาน ซุ้มประตูวัดคุ้งตะเภา ซุ้มประตูวัดคุ้งตะเภา ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดริมทางแยกคุ้งตะเภา (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๑ หรือ ถนนสายเอเชีย) ลักษณะซุ้มเป็นซุ้มประตูทรงไทยประยุกต์ศิลปะล้านนาขนาดใหญ่ ประยุกต์จากรูปแบบเจดีย์ผสมรูปแบบซุ้มประตูโขงแบบล้านนา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๓ องค์ บนองค์เจดีย์บนยอดซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ซุ้มจรนัมทั้ง ๔ ด้าน ประดับเสาและตัวซุ้มด้วยลวดลายปูนปั้นสัตว์หิมพานต์และลายเครือเถา โครงซุ้มประตูทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งซุ้ม ฐานเสาเข็มเทปูนแท่งเสริมเหล็กลึก ๕ เมตร ขนาดกว้าง ๕ เมตร สูง ๑๙ เมตร ซุ้มประตูนี้สร้างแล้วเสร็จบริบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ขอขอบคุณที่มาของเนื้อหาและรูปภาพ https://sites.google.com/site/watkungta ... thaisamrit https://www.facebook.com/Watkungtaphao |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 13 พ.ค. 2009, 10:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | |
สาธุค่ะ คุณคนไทเลย |
เจ้าของ: | sirinpho [ 05 ก.ย. 2013, 16:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี วัดคุ้งตะเภา จ.อุตรดิตถ |
ขออนุโมทนาค่ะ ประวัติความเป็นมาของพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี น่าสนใจมากเลยค่ะ ถือเป็นองค์พระพุทธรูปทรงคุณค่าอย่างแท้จริง ยังไม่เคยไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแห่งนี้มาก่อนเลย จะหาโอกาสไปที่วัดแห่งนี้ในเร็ววันนี้ค่ะ |
เจ้าของ: | Duangtip [ 13 ส.ค. 2015, 17:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี วัดคุ้งตะเภา จ.อุตรดิตถ |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |