ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
จากลำพูนสู่เชียงใหม่ ตามรอย “พระแก้วขาว” แห่งล้านนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19671 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | เว็บมาสเตอร์ [ 19 ธ.ค. 2008, 19:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | จากลำพูนสู่เชียงใหม่ ตามรอย “พระแก้วขาว” แห่งล้านนา |
กู่กุดหรือเจดีย์สุวรรณจังโกฏ ณ วัดจามเทวี จ.ลำพูน จากลำพูนสู่เชียงใหม่ ตามรอย “พระแก้วขาว” แห่งล้านนา หากพูดถึง พระแก้ว หลายคนคงจะนึกถึงพระแก้วมรกต พระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งของเมืองไทย แต่ยังมีพระแก้วอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ทำขึ้นจากแก้วสีขาว และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวล้านนามาเป็นเวลานานแล้ว นั่นก็คือ “พระเสตังคมณี” หรือ “พระแก้วขาว” พระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะสลักจากแก้วสีขาวใส ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปนัก แต่ประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้นั้นถือว่าไม่ธรรมดา ตำนานและความเป็นมาของพระแก้วขาวหรือพระเสตังคมณี เกี่ยวเนื่องกับหลายบุคคลและหลายสถานที่ด้วยกัน โดยมีตำนานเล่าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไปแล้ว 700 ปี ในวันเพ็ญเดือน 7 สุเทวฤๅษี ได้นำเอาดอกจำปา 5 ดอก ขึ้นไปบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบปะสนทนาด้วยพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกกล่าวแก่สุเทวฤๅษีว่า ปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญ ที่ลวะรัฏฐะจะสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้นเมื่อสุเทวฤๅษีกลับจากดาวดึงส์เทวโลกแล้ว จึงไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้น พระยารามราช เจ้าเมืองละโว้ กับ พระกัสสปเถรเจ้า มีความประสงค์จะสร้างพระแก้ว ซึ่งพระอรหันต์ไปได้แก้วขาวบริสุทธิ์บุษยรัตน์มาจากจันทเทวบุตร แล้วขอพระวิษณุกรรมมาเนรมิตสำเร็จเป็นองค์พระพุทธปฏิมากร สุเทวฤๅษี ผู้สร้างนครหริภุญไชย และฤๅษีองค์อื่นๆ ก็ได้ไปประชุมช่วยเหลือในการสร้างองค์พระด้วย ครั้นสำเร็จแล้วก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 4 องค์ไว้ในพระโมลี (กระหม่อม) 1 องค์, พระนลาต (หน้าผาก) 1 องค์, พระอุระ (หน้าอก) 1 องค์ และพระโอษฐ์ (ปาก) 1 องค์ รวมทั้งหมด 4 แห่ง เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระแก้วขาวก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้สืบมาเป็นเวลานาน พระบรมราชานุสาวรีย์พระนางจามเทวี ณ วัดจามเทวี และหากจะกล่าวถึงพระแก้วขาว ก็ต้องกล่าวถึง พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริยาแห่งนครหริภุญไชย (นครลำพูน) ด้วยเช่นกัน เพราะพระแก้วขาวถือเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ โดยเมื่อพระนางจามเทวี พระราชธิดาของเจ้ากรุงละโว้ เสด็จมาครองเมืองหริภุญไชย ก็ได้อัญเชิญพระแก้วขาวจากเมืองละโว้มายังเมืองหริภุญไชย มาเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ด้วย พระแก้วขาวจึงได้มาประดิษฐานอยู่ในนครหริภุญไชยตั้งแต่บัดนั้น เส้นทางตามรอยพระแก้วขาว เริ่มต้นที่ “วัดจามเทวี” หรือ “วัดกู่กุด” ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ตามประวัติกล่าวไว้ว่า วัดจามเทวี ได้สร้างขึ้นโดยพระนางจามเทวี และเมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 60 พรรษา ก็ได้ทรงสละพระราชสมบัติออกบวชชี บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ วัดแห่งนี้ และเมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 92 พรรษา ก็ได้เสด็จสวรรคต ดังนั้น พระเจ้ามหันตยศและพระเจ้าอนันตยศ พระราชโอรสทั้งสองพระองค์ จึงได้นำพระอัฐิของพระนางจามเทวี พระราชมารดา มาบรรจุไว้ในเจดีย์สี่เหลี่ยมในวัดจามเทวี เจดีย์สี่เหลี่ยมในวัดจามเทวี ที่ว่านั้น รู้จักกันในชื่อ “กู่กุด” หรือ “เจดีย์สุวรรณจังโกฏ” ซึ่งเป็นพระเจดีย์ศิลาแลงทรงสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น แต่ละชั้นจะประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย รวมทั้งหมด 60 องค์ พระเจดีย์องค์นี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมต้นแบบให้แก่พระเจดีย์ต่างๆ ในภาคเหนือต่อมาอีกด้วย หอพระแก้วขาวที่ปัจจุบันเป็นหอระฆัง วัดพระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน ไม่ไกลกันนักเป็นที่ตั้งของ “วัดพระธาตุหริภุญไชย วรมหาวิหาร” ในจังหวัดลำพูนเช่นกัน วัดแห่งนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วขาวมาตลอดระยะเวลาของการตั้งเมืองหริภุญไชย โดยภายในพระวิหารหลวงของวัดพระธาตุหริภุญไชย นอกจากจะมีพระประธานก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง บนแท่นแก้วรวม 3 องค์ และพระพุทธปฏิมาหล่อโลหะขนาดกลางสมัยเชียงแสนชั้นต้นและชั้นกลางอีกหลายองค์แล้ว ก็ยังมี บุษบก ซึ่งภายในประดิษฐานพระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาวองค์จำลอง ซึ่งสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าพระแก้วขาวเคยประดิษฐานอยู่ที่นี่เมื่อครั้งนครลำพูนยังรุ่งเรืองอยู่ แต่ปัจจุบันหอพระแก้วขาวในอดีตนั้น ถูกแทนที่ด้วย หอระฆัง ของวัดไปแล้ว ภายหลังจากที่พระนางจามเทวีเสด็จสวรรคต นครหริภุญไชยยังคงมีกษัตริย์ปกครองสืบเนื่องต่อมาอีกถึง 47 พระองค์ด้วยกัน และทุกพระองค์ต่างก็นับถือพระแก้วขาวเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านเมือง จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.1824 ในรัชสมัยของพระยายีบา กษัตริย์เมืองหริภุญไชยองค์ที่ 47 เมืองหริภุญไชยได้ถูกพญามังราย เจ้าครองนครเงินยวง (เมืองเชียงแสน) ยกกองทัพมาปราบ เมืองหริภุญไชยทั้งเมืองถูกเพลิงไหม้จนพ่ายแพ้ แต่หอพระแก้วขาวเป็นเพียงจุดเดียวที่ไม่ถูกเพลิงไหม้ตามไปด้วย ด้วยความศรัทธาในปาฏิหาริย์นั้น พญามังราย จึงได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐาน ณ ที่ประทับของพระองค์ และทรงเคารพสักการะพระแก้วขาวเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ตั้งแต่นั้น ส่วนพระแก้วขาวก็ได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองป้องกันอันตราย และอำนวยความสุขสวัสดิ์แก่ผู้ที่เคารพสักการะด้วยเช่นกัน พระเสตังคมณีหรือพระแก้วขาว ณ วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ พระอุโบสถ (หลังเก่า) ตั้งอยู่ข้างพระเจดีย์ช้างล้อม ณ วัดเชียงมั่น การเดินทางของพระแก้วขาวจากเมืองลำพูนสู่เมืองเชียงใหม่จึงเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อพญามังราย มาสร้างนครเชียงใหม่เป็นราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช 1839 และได้อัญเชิญ “พระแก้วขาว” มาด้วย โดยพระองค์ได้สร้างพระราชมณเฑียรขึ้นเป็นที่ประทับชั่วคราวเพื่อควบคุมการสร้างเมืองเชียงใหม่ และหลังจากที่สร้างเมืองเชียงใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงได้สร้างพระเจดีย์คร่อมทับหอนอนที่พระราชนิเวศน์ที่ประทับชั่วคราวนั้นเสีย เพราะทรงดำริว่า “ที่แห่งนี้เป็นหอนอนของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เกรงจะเป็นเสนียดจัญไรแก่ผู้นอนทับในภายหลัง” อีกทั้งยังได้สร้างวัดขึ้นในที่แห่งนี้ด้วย นั่นก็คือ “วัดเชียงมั่น” ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นวัดแรกที่สถาปนาขึ้นในนครเชียงใหม่อีกด้วย พระแก้วขาวมีอันต้องย้ายที่ประดิษฐานอีกหลายครั้ง ประมาณปี พ.ศ.2035 ในรัชสมัยพระยอดเชียงราย เจ้าครองเมืองเชียงใหม่ มีคนร้ายขโมยพระแก้วขาวไปถวาย กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระยอดเชียงรายจึงยกกองทัพไปยังกรุงศรีอยุธยา อยู่ได้เดือนหนึ่งจึงได้อัญเชิญพระแก้วขาวกลับมาประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ ตามเดิม ปีพุทธศักราช 2089 พระแก้วขาวตกไปอยู่กับ อาณาจักรล้านช้าง เป็นเวลายาวนานกว่า 225 ปี จวบจนกระทั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เสด็จไปปราบเมืองล้านช้างได้สำเร็จ จึงได้ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้ที่กรุงเทพฯ ส่วนพระแก้วขาวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดเชียงมั่น ที่ซึ่งพญามังรายทรงมีพระราชศรัทธาอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นครั้งแรก โดยได้มีรับสั่งว่า “องค์เขียวเอาไปบางกอก องค์ขาวเอามาไว้ให้ชาวล้านนาเจ้าของเดิม” ปัจจุบัน “พระแก้วขาว” หรือ “พระเสตังคมณี” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเชียงใหม่ ประดิษฐานอยู่ ณ พระมณฑปด้านหลังพระประธาน ในพระวิหารจตุรมุข วัดเชียงมั่น นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วขาวแล้ว วัดเชียงมั่นแห่งนี้ยังมีศาสนสถานและศาสนวัตถุที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิเช่น พระเจดีย์ช้างล้อม สถาปัตยกรรมล้านนาฐานช้างล้อม สร้างโดยพญามังราย เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมผสมทรงกลมสูง (ทรงปราสาท) ตรงฐานเจดีย์ทำเป็นรูปช้างล้อม 16 เชือก สันนิษฐานว่าสร้างเลียนแบบพระเจดีย์ช้างล้อมของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่เมืองศรีสัชนาลัย และได้รับการบูรณะอีกหลายครั้ง ถัดมาเป็น หอไตร ที่ชั้นล่างก่ออิฐฉาบปูน ชั้นบนเป็นไม้ลงรักปิดทองสวยงาม ถัดมาอีกนิดเป็น พระอุโบสถทรงล้านนา (พระอุโบสถหลังเก่า) เป็นพระอุโบสถที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมล้านนา และเป็นที่เก็บรักษาหลักศิลาจารึกอักษรล้านนาอันเก่าแก่ ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ และการสร้างวัดเชียงมั่น พระเจดีย์ช้างล้อม ณ วัดเชียงมั่น “พระแก้วขาว” และ “พระศิลา” พระพุทธรูปปางปราบช้างนาฬาคีรี ณ พระวิหารจตุรมุข ในพระมณฑปด้านหลังองค์พระประธาน วัดเชียงมั่น ภายในพระวิหารจตุรมุข วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ พระแก้วขาว (พระเสตังคมณี) “พระศิลา” พระพุทธรูปปางปราบช้างนาฬาคีรี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงทอดพระเนตร “พระแก้วขาว (พระเสตังคมณี)” และ “พระศิลา” พระพุทธรูปปางปราบช้างนาฬาคีรี ณ พระวิหารจตุรมุข วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ หากผู้ที่สนใจในพระราชประวัติของพญามังราย ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ ก็สามารถเดินชมภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถหลังใหม่ได้ด้วย และหากต้องการกราบสักการะพระแก้วขาว ก็ต้องไปที่ พระวิหารจตุรมุข ซึ่งนอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วขาวแล้ว ก็ยังมี พระศิลา พระพุทธรูปแกะจากหิน ปางปราบช้างนาฬาคีรี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่เมืองล้านนาด้วยเช่นกัน องค์พระแก้วขาวในวันนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีและอย่างระมัดระวัง โดยจะอัญเชิญออกมาจากพระวิหารเพียงปีละครั้งในวันสงกรานต์ เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำเท่านั้น แต่ในตอนนี้ หากสาธุชนท่านใดมีศรัทธาอยากจะได้ “พระเสตังคมณี (พระแก้วขาว)” มาบูชา ทาง ‘ชมรมอาสาสมัครชาวพุทธ’ ร่วมกับ ‘เทศบาลนครเชียงใหม่’ ก็ได้ร่วมกันจัดสร้างพระพุทธรูปบูชาพระเสตังคมณีหรือพระแก้วขาวองค์จำลองขึ้น เพื่อให้พุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปได้ร่วมบูชาพระศักดิ์สิทธิ์คู่พระบารมีของกษัตริย์ที่มีความยิ่งใหญ่ทั้งสองพระองค์ และที่สำคัญก็คือ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของพระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) รวมถึง ประวัติความเป็นมาของวัดเชียงมั่น วัดแห่งแรกของนครเชียงใหม่ ศูนย์กลางอาณาจักรล้านนาที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 711 ปี แห่งนี้ด้วย * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * สาธุชนผู้ที่มีศรัทธาสนใจจะสั่งจองบูชา พระแก้วขาวองค์จำลอง สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ชมรมอาสาสมัครชาวพุทธ โทรศัพท์ 0-2784-6050 ศูนย์เช่าบูชา โทรศัพท์ 1577 และวัดเชียงมั่น โทรศัพท์ 0-5321-3170, 081-386-4335 รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบูรณปฏิสังขรณ์วัดเชียงมั่น พระแก้วขาวองค์จำลอง ที่ให้สั่งจองบูชา * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * รวบรวมและคัดลอกเนื้อหามาจาก :: (1) บทความ..จากลำพูนสู่เชียงใหม่ ตามรอย “พระแก้วขาว” แห่งล้านนา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 เมษายน 2550 18:04 น. (2) หนังสือ..ตำนานพระแก้วขาวกับพระศิลา วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสฉลองสมโภชอุโบสถวัดเชียงมั่น เมืองเชียงใหม่ 700 ปี, พ.ศ.2544 |
เจ้าของ: | daoduan [ 17 ม.ค. 2012, 11:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จากลำพูนสู่เชียงใหม่ ตามรอย “พระแก้วขาว” แห่งล้านนา |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |