ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระอยู่จำพรรษาองค์เดียว...แต่ไม่ครบ ๕ องค์จะรับกฐินได้ไหม ? http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=61173 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | sirinpho [ 18 ต.ค. 2021, 13:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระอยู่จำพรรษาองค์เดียว...แต่ไม่ครบ ๕ องค์จะรับกฐินได้ไหม ? |
พระอยู่จำพรรษาองค์เดียว...แต่ไม่ครบ ๕ องค์จะรับกฐินได้ไหม ? พระอาจารย์วิทยา กิจฺจวิชฺโช เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ หนึ่งในคณะศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ตอบคำถามข้อสงสัยลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของท่าน ดังนี้ มีปัญหาถามเข้ามาว่า “พระอยู่จำพรรษาองค์เดียว หรือมากกว่านั้น แต่ไม่ครบ ๕ องค์จะรับกฐินได้ไหม ? โดยนิมนต์พระจากที่อื่นมาเป็นองค์สวดกฐินแทน” เรื่องนี้ต้องถกกันยาวหน่อยนะ อยากรู้ก็อ่านต่อไป ถึงยาวก็ต้องอ่าน ถ้าไม่อยากรู้ก็ข้ามไปเสีย ก็มีผู้รู้ออกมาวินิจฉัย บ้างก็ว่าทำได้โดยยกคัมภีร์อะไรมาอ้าง ก็ถือว่าเป็นทัศนะของแต่ละท่าน เราเองก็ไม่ใช่ผู้รู้อะไรมากมาย แต่จะวินิจฉัยไปตามที่เคยศึกษาจากพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตามหาบัว และจากประสบการณ์การปฏิบัติของตัวเอง เราก็ค้นคว้าอ่านคัมภีร์มาบ้างเล็กน้อยพอเป็นแนวทางปฏิบัติ ไม่ได้เชี่ยวชาญถึงขั้นจะไปสอบเอาใบประกาศนียบัตรอะไร เราคิดว่า ถ้าทุกคนอ่านตำราแล้วเอามาปฏิบัติเพื่อฆ่ากิเลสในใจตนเอง แม้ตำราจะกล่าวขัดแย้งกันบ้างในบางที่ ก็ยกให้เป็นเรื่องของสัญญา อนิจจาไปเสีย เพราะการจดจำก็อาจมีคลาดเคลื่อนไปได้ เนื่องจากจดจำสืบต่อกันมาหลายร้อยปี กว่าจะมีตัวอักษรให้จดจารึกเอาไว้ รวมทั้งการแปลภาษาจากบาลีเป็นไทย ก็แปลแตกต่างกันไปตามความเข้าใจของผู้แปล ซึ่งยังมีกิเลสอยู่ ธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากพระทัยอันบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งปวง ผู้ยังมีกิเลสอยู่ก็อาจตีความพระธรรมวินัยผิดเพี้ยน เข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้ เป็นเรื่องธรรมดาๆ อย่าไปตีความตามตำราจนเป็นเหตุให้ขัดแย้งกัน ให้ดูลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้เป็นองค์ประกอบด้วย ถ้าสิ่งใดทำแล้วมันสั่งสมกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จงอย่าไปทำ เพราะนั่นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัยของพระศาสดา เมื่อพระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยไว้แล้วว่า พระที่จะรับกฐินได้ต้องอยู่จำพรรษาในอาวาสนั้น ครบถ้วนไตรมาส ๓ เดือน อย่างน้อย ๕ รูป โดยพรรษาไม่ขาด คำว่า “พรรษาไม่ขาด” นั้น คือ ไม่ไปค้างคืนที่อื่นตลอด ๙๐ วัน เว้นไว้แต่มีเหตุเกี่ยวเนื่องด้วยสัตตาหกรณียะ ก็ไปค้างคืนที่อื่นได้ แต่ต้องกลับมาค้างคืนที่วัดภายในไม่เกิน ๗ วัน อย่างนี้พรรษาไม่ขาด ถ้าทำพรรษาขาดโดยไม่มีเหตุอันควร ท่านปรับอาบัติทุกกฏ เป็นเหตุให้ไม่ได้รับอานิสงส์จำพรรษา ๕ อย่าง และไม่มีสิทธิ์ได้รับกฐิน มีปัญหาถามว่า “พรรษาขาด” แล้วนับอายุพรรษาได้ไหม ? ตอบว่า “ได้” เพราะถึงพรรษาขาด แต่อายุความเป็นพระไม่ได้ขาดไปด้วย จึงสามารถนับอายุพรรษาของการบวชต่อไปได้ เว้นไว้แต่เป็นอาบัติปาราชิก หรือลาสิกขาไป หรือไปญัตติใหม่ อายุพรรษาความเป็นพระก็จึงเป็นอันยุติ จะมานับพรรษาต่ออีกไม่ได้ เพราะอายุพรรษาที่เป็นอายุของการบวช นับเอาตั้งแต่วันที่ได้อุปสมบท และจะนับอายุพรรษาเพิ่มขึ้น เมื่อได้จำพรรษา จนได้ปวารณาออกพรรษาแล้ว ก็นับพรรษาเพิ่มอีก ๑ พรรษาไปทุกปี จะรู้ว่าใครพรรษาแก่กว่ากัน ก็ดูที่อายุพรรษาก่อน ถ้าพรรษาเท่ากัน ก็ต้องไล่ไปที่วันบวช ถ้าบวชวันเดียวกัน ก็ไล่ไปที่เวลาบวช ถ้าบวชเวลาเดียวกัน ก็จึงไล่ไปที่ลำดับการเป็นนาคใครเป็นนาคแรก นาคสอง นาคสาม ก็พรรษารองๆ กันไป โดยปกติพระพุทธองค์มิได้ทรงบัญญัติพระวินัยผูกมัดตายตัวเสียเลยทีเดียว เพราะพระองค์ทรงบัญญัติพระวินัยไปตามสมควรแก่เหตุที่เกิดขึ้น เมื่ออันใดทรงบัญญัติแล้วเห็นว่าหย่อนไป เพราะยังมีพระเลี่ยงไปทำผิดได้อยู่ พระองค์ก็จะทรงบัญญัติพระวินัยเพิ่มเติมให้เข้มงวดเข้าไปอีก หรืออันใดที่ทรงบัญญัติแล้ว เห็นว่าตึงเกินไป พระองค์ก็ทรงบัญญัติเพิ่มเติมให้ผ่อนปรนลงมา ดังเช่น กรณีห้ามพระจับเงินจับทอง ตอนแรกทรงห้ามเด็ดขาด ตอนหลังเมณฑกเศรษฐีร้องขอ พระองค์ก็ทรงบัญญัติเพิ่มเติมผ่อนปรนลงมาให้มีไวยาวัจกรรับเงินแทนพระได้ เรียก เมณฑกานุญาต กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้พระจำพรรษาในอาวาสนั้น ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ครบ ๕ รูปจึงสามารถรับกฐินได้ ก็ต้องถือปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น จึงได้ชื่อว่าเคารพในพระธรรมวินัย พระพุทธองค์จะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยเพิ่มเติมให้ไปขัดแย้งกับต้นบัญญัติเดิมที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว เรายังไม่เคยเห็นว่ามีในสิกขาบทใด ดังนั้น หากใครจะอ้างพระพุทธพจน์ว่า “พระจำพรรษารูปเดียวสามารถรับกฐินได้” ก็ให้ถือว่า เป็นความเห็นของพระองค์นั้นเสียก็แล้วกัน ดังมีผู้รู้ หรือผู้ไม่รู้ก็ตาม มาพูดเรื่องนี้ โดยยกเอาคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแก่พระภิกษุรูปหนึ่งที่จำพรรษารูปเดียว มีโยมถวายผ้าแก่สงฆ์ พระรูปนี้เกิดสงสัยว่า เมื่อเขาถวายแก่สงฆ์แล้ว ท่านจำพรรษาเพียงรูปเดียวจะรับไว้ได้หรือไม่ จึงไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้าจีวรเหล่านั้นแก่เธอรูปเดียวจนถึงกาลเดาะกฐิน” ก็ไปเอาคำตรัสนี้มาตีความเอาเองว่า “พระจำพรรษารูปเดียวก็สามารถรับกฐินได้” เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสคำว่า “เดาะกฐิน” ถ้าไม่ได้รับกฐิน ก็ไม่จำเป็นต้องตรัสคำว่า “เดาะกฐิน” หากตีความเช่นนี้ ก็เท่ากับไปลบล้างต้นบัญญัติเดิมอย่างไม่เหลือซาก กลายเป็นการทำให้พระพุทธองค์เป็นผู้บัญญัติพระวินัยกลับไปกลับมา ในเมื่อพระองค์ทรงตรัสว่า ต้องจำพรรษาครบ ๕ รูปจึงรับกฐินได้ แล้วอยู่ๆ วันดีคืนดีก็มาตรัสอีกว่า จำพรรษารูปเดียวก็รับกฐินได้อีก ไฉนพระพุทธองค์จะทรงบัญญัติพระวินัยหักล้างกันเอง เพื่อประโยชน์อันใด ? คำว่า “เดาะกฐิน” ในครั้งนั้น หมายความว่า เลิกอานิสงส์กฐิน ด้วยหมดกังวลในจีวรปลิโพธ หรือ อาวาสปลิโพธ คือไม่คิดที่จะเอาผ้าจีวรนั้นอีกแล้ว หรือไม่คิดที่จะกลับไปในอาวาสนั้นอีกแล้ว ก็เท่ากับยกเลิกอานิสงส์กฐิน เรียก “เดาะกฐิน” คืออานิสงส์กฐินเป็นอันยุติ แต่ถ้ายังต้องการผ้าจีวรอยู่ อานิสงส์กฐินก็ยืดไปจนสิ้นสุดฤดูหนาว เรียก หมดเขตอานิสงส์กฐิน อันนี้สำหรับวัดที่มีพระจำพรรษาครบ ๕ รูป เมื่อได้รับกฐิน และได้กรานกฐินถูกต้อง ย่อมได้รับอานิสงส์กฐิน ๕ อย่างนี้ ยืดออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดฤดูหนาว คือ ๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา ๒. เที่ยวไปโดยไม่ต้องเอาจีวรไปครบสำรับ ๓ ผืน สบง จีวร สังฆาฏิ ๓. ฉันคณโภชน์ คือ ฉันเป็นหมู่ นิมนต์ออกชื่อโภชนะได้ ฉันปรัมปรโภชน์ คือรับนิมนต์ที่หนึ่ง แล้วไปฉันอีกที่หนึ่งได้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๕. จีวรลาภอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอทั้งหลาย การที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสบอกพระรูปนั้นว่า “เราอนุญาตจีวรเป็นของเธอจนถึงกาลเดาะกฐิน” เราเดาเอาเองแบบโง่ๆ หากผิดพลาดไป ก็ขอท่านผู้รู้โปรดให้อภัย ก็คือ ทรงอนุญาตให้พระรูปนั้นเก็บผ้าจีวรนั้นไว้ได้จนกว่าจะหมดอาลัยในจีวร หรือจนกว่าจะหมดเขตอานิสงส์กฐิน อันเป็นที่รู้กันว่า คือสิ้นสุดฤดูหนาว เพราะการตัดเย็บจีวรสมัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่ต้องใช้ขึงไม้สะดึง พระต้องช่วยกันทำ ใช้มือเย็บ และต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเสร็จ เช่นนี้พอฟังได้ คำว่า “เดาะกฐิน” จึงไม่น่าจะไปตีความว่า พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระรูปนั้นไปรับกฐินได้ หรือ ไปกรานกฐินได้ โดยใช้สงฆ์จากวัดอื่นมาสวดญัตติทุติยกรรมวาจาให้ ไม่ชอบด้วยเหตุผล เราไม่ได้ว่าตามบาลี แต่ถือเอาตามหลักปฏิบัติที่จะเป็นไปเพื่อการฆ่ากิเลส ถ้าว่าตามบาลี แล้วมันส่งเสริมกิเลส ก็อย่าว่าเสียดีกว่า ถ้าพระองค์จะทรงอนุญาตให้พระรูปเดียวรับกฐินได้ ก็คงจะทรงตรัสบอกตรงๆ เพราะเป็นการยกเลิกต้นบัญญัติเดิม ถือเป็นการบัญญัติพระวินัยใหม่เลยทีเดียว จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะมาตีความพูดจากันแบบเล่นๆ การรับกฐินก็คือ การรับผ้ามาสำหรับเพื่อทำจีวรเท่านั้น เมื่อจำพรรษารูปเดียว จีวรลาภก็ตกเป็นของเธอผู้เดียวอยู่แล้วตามอานิสงส์จำพรรษา ไม่จำเป็นต้องไปสวดญัตติทุติยกรรมวาจารับกฐินให้มันยุ่งยากวุ่นวายไปอีก ยิ่งไปเอาพระที่จำพรรษาต่างวัดมาสวดรับกฐิน ก็ยิ่งดูไม่ชอบด้วยเหตุผล เพราะพระที่จำพรรษาอยู่ในอาวาสอื่น ย่อมไม่มีสิทธิ์ในจีวรลาภที่เกิดขึ้นในวัดนั้น ก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะมาปรึกษาหารือกันสวดกรรมวาจาว่า จะยกผ้าจีวรนี้ให้แก่ผู้ใดเป็นผู้กรานกฐิน มันดูจะกลายเป็นเรื่องตลกพิลึกพิลั่นเกินไป ถ้าขืนทำ ก็ลองไปอ่านคำสวดกฐิน องค์ที่ ๑, ๒, ๓, ๔ ดูสิ ! ประสาแค่ผ้าจีวรผืนเดียว จะถวายเป็นสังฆทาน จะทอดเป็นผ้าป่าก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นจะต้องทอดกฐินให้มันขัดแย้งกับพระวินัยต้นบัญญัติ ไม่ทอดกฐินก็คงไม่ถึงกับจะลงแดงตายหรอกมั้ง ? ไฉนจะต้องไปอุตริทำเรื่องให้มันวิปริตพิสดารเห็นปานนี้ คำว่า “เดาะกฐิน” อาจเป็นคำศัพท์ที่ใช้ในยุคนั้น คือหมดกังวลในผ้าจีวรแล้ว จะเพราะว่า ได้ผ้าจีวรครบแล้ว หรือทอดอาลัยว่า ไม่มีทางจะได้แล้วก็ตาม จึงยกเลิกอานิสงส์กฐิน หรือจนหมดเขตอานิสงส์กฐิน เพราะถ้าไม่มีอานิสงส์จำพรรษาหรืออานิสงส์กฐิน พระจะเก็บผ้าจีวรไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน เกินนั้นไปต้องวิกัปกับพระรูปใดรูปหนึ่ง หากอยู่รูปเดียวก็จะสร้างความลำบากมิใช่น้อย พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตรัสไว้เลยว่า “เราอนุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษารูปเดียวรับกฐินได้ กรานกฐินได้ โดยเอาสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในวัดอื่น มาสวดญัตติ มาอนุโมทนา” หรือมีทรงตรัสแบบนี้ไว้ในที่ไหน ช่วยหามาให้ดูที เรื่องอย่างนี้ มิบังควรจะมาคิดเองเออเอง หรือตีความเอาเอง ควรจะตีความไปในทางที่จะทำให้พระวินัยมั่นคง ไม่ใช่ไปตีความทำลายต้นบัญญัติแบบนี้ พระพุทธองค์จะไม่ทรงตรัสพระวินัยกลับไปกลับมาอย่างแน่นอน เรื่องพระวินัยต้องถือในพระวินัยปิฎกเป็นใหญ่ จะไปเอาข้อความจากพระสูตร หรือพระอภิธรรม ที่ขัดแย้งกัน มาลบพระวินัยปิฎกไม่ได้ ที่ขัดแย้งกันก็อาจเป็นเพราะจดจำมาผิด หรือผู้แปลตีความผิดไปเองต่างหาก พระวินัยที่ออกจากพระโอษฐ์แท้ ไม่มีทางจะขัดแย้งกันได้หรอก เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แล้วว่า “ต้องมีพระ ๕ รูป จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส ๓ เดือน จึงจะรับกฐินได้ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น” ที่ต้อง ๕ รูป เพราะการสวดกฐินเป็นสังฆกรรมประเภทญัตติทุติยกรรมวาจา คือ กรรมวาจามีญัตติเป็นที่สอง หนึ่งรูปเป็นผู้กรานกฐิน อีกสี่รูปจึงครบจำนวนเป็นสงฆ์สามารถอุปโลกน์กฐินได้ ถ้ามาบอกว่าองค์เดียวก็รับกฐินได้ หรือเอาพระที่อื่นมาสวดรับกฐินได้ ใครพูดเช่นนั้น ก็เท่ากับลบพระวินัยบัญญัติ ที่พระบรมศาสดาทรงตรัสไว้ให้ผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง ครูบาอาจารย์ไม่เคยพาทำ เราเองมีพระจำพรรษา ๔ รูป ก็รับเป็นผ้าป่า ไม่เคยรับเป็นกฐิน เมื่อมีพระจำพรรษาไม่ครบองค์กำหนด ๕ รูป ที่จะรับเป็นกฐิน ก็ไม่ต้องรับสิ ! ยอมรับพระพุทธบัญญัติ มันดีกว่ารับกฐินตั้งเยอะแยะ จะไปดัดแปลงพระวินัยให้ผิดเพี้ยนไปเพียงเพราะอยากได้ลาภสักการะเงินทอง มันก็ไม่ใช่วิสัยของผู้ปฏิบัติที่มุ่งหวังความหลุดพ้น สมัยนี้มันอนุโลมกันจนเหลวแหลกเลอะเทอะไปหมดแล้ว เพียงแค่เพราะอยากได้ลาภสักการะ ก็ทำได้ทุกอย่าง โกหกหลอกลวงประจบประแจงสอพลอ ใครนึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามสบาย ไม่ได้ดูหรอกว่า พระธรรมวินัยท่านว่าไว้อย่างไร ? ถ้าเคารพพระธรรมวินัยอันเป็นองค์แทนพระศาสดา ก็จงทำตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ นั่นแหละถูกต้องที่สุดแล้ว อย่าอุตริไปตีความให้ผิดเพี้ยนไป ไม่มีเหตุผลอันใด ที่จะไปตีความให้พระพุทธเจ้ากลายเป็นผู้ตรัสพระวินัยกลับไปกลับมา ตรงนี้จะเป็นบาปหนักยิ่งกว่า พระจำพรรษารูปเดียวไปรับกฐินเสียอีก แต่ถ้าจำพรรษารูปเดียว หรือมีพระไม่ครบ ๕ รูป อยากจะรับกฐินจริงๆ ด้วยเหตุผลเพราะจะเอาใจญาติโยมที่อยากทอดกฐิน จะได้มีเงินเยอะๆ ชอบอย่างนั้น อยากทำก็ทำไป แต่ให้รู้ว่ามันไม่ถูกพระวินัย ทั้งบอกให้ญาติโยมเขารู้ด้วยว่า มันเป็นสังฆกรรมวิบัติ มันเหมือนพระสงฆ์มาอุปโลกน์กฐินโกหกญาติโยมนั่นแหละ ฟังตอนเขากล่าวคำถวายกฐินสิ ! เขาบอกว่า “ก็แลครั้นรับแล้ว จงกรานกฐินด้วยผ้านี้” เห็นไหม ? จำพรรษารูปเดียว มันกรานกฐินไม่ได้ เพราะสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่วัดอื่น ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมายกจีวรที่ตนเองไม่มีส่วนเป็นเจ้าของ ให้กับพระที่จำพรรษาอยู่ในวัดนั้น ที่เป็นเจ้าของจีวรอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องตลกสักเท่าไรเลยนะ ! ที่พระจะทำสังฆกรรมปลอมๆ หลอกญาติหลอกโยม เราว่ามันจะได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าบอกกับญาติโยมแล้ว เขายังพอใจที่จะทอดกฐิน หากพระเคารพในพระธรรมวินัยก็จงบอกให้เขาไปทอดวัดอื่นเสีย จงพอใจของตามมีตามได้ ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเอาแม่ม...ถ้าพระรักษาพระธรรมวินัยแล้ว มันจะอดตาย ก็ให้มันเห็นกันสักทีเถอะวะ !! อดเงินอดทองมันไม่ถึงกับจะลงแดงตายหรอก แต่ถ้าพระไม่มีธรรม ไม่มีวินัย ถึงเป็นอยู่มันก็เหมือนกับตายแล้ว ถ้าจะต้องตายจากมรรค ผล นิพพานตลอดไป ก็สู้สละชีวิตให้มันตายไปในชาตินี้เสียยังจะดีกว่า เพราะอานิสงส์ที่พระรักษาพระธรรมวินัยด้วยชีวิต นี่แหละ ! จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ในอนาคตกาลข้างหน้าชาติใดชาติหนึ่งอย่างแน่นอน การที่ประพฤติเหลาะแหละโลเลในพระธรรมวินัย นั่นแล ! เห็นมีแต่ตายกับตาย เมื่อโลเลอย่างหนึ่งได้ มันก็โลเลไปได้เรื่อยๆ สุดท้ายก็ปฏิบัติเลอะๆ เทอะๆ อยู่ไม่ได้ต้องละสิกขาลาเพศไป ก็เพราะไม่ประพฤติให้หนักแน่นจริงจังในพระธรรมวินัยนั่นเอง !! พระที่ชอบทำอะไรตามใจโยมไปแบบผิดๆ โดยมากมักกอดคอกันไปนรกด้วยกันทั้งหมด ทั้งพระทั้งโยม ดังนั้น ถ้าอยากได้บุญจริงบุญแท้จงทำบุญให้ตั้งอยู่ในกรอบแห่งธรรมแห่งวินัยด้วย ถ้าทำบุญแบบผิดธรรมผิดวินัย ถึงทำมากก็มีอานิสงส์น้อย ถ้าทำน้อยก็ยิ่งได้อานิสงส์น้อยลงไปอีก จนถึงกับไม่ได้อะไรเลย ดีไม่ดีติดลบได้ตั๋วฟรีไปเยี่ยมยมบาลอีกต่างหาก พระอาจารย์วิทยา กิจฺจวิชฺโช (พระครูนิรมิตวิทยากร) วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน บ้านหัวยม่วง ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ https://www.facebook.com/doisaengdham ความรู้เรื่อง “กฐิน” (พระอาจารย์วิทยา กิจฺจวิชฺโช) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=61172 พิธีการทอดกฐิน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19697 พิธีการทอดผ้าป่า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19683 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |