ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ปัญญากับสมาธิ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=53235 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 10 ต.ค. 2016, 05:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | ปัญญากับสมาธิ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
![]() หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ทีนี้ปัญญามันจะเกิดได้ก็อาศัยความเพียรเพ่งอยู่บ่อยๆ หมั่นเพ่งพินิจอยู่บ่อยๆเลย จะเป็นเวลานั่งสมาธิอยู่ก็ตาม ไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ก็ช่าง ผู้มีปัญญา ผู้มีสมาธิจิตเป็นทุนอยู่แล้วมันหากเพ่งพินิจอยู่ในตัวเลย เพราะว่าสมาธิหรือปัญญามันกำจัดความหลงขั้นหยาบๆออกไปแล้ว ดังนั้นการที่ความหลงขั้นหยาบจะมาทำจิตให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไปไม่มี ดังนั้นไอ่ความที่จิตตั้งมั่นอยู่ภายในมันจึงเป็นไปได้บาดนินะ เพราะกิเลสหยาบๆมันระงับลงไปแล้ว จิตจึงได้ตั้งมั่นอยู่เสมอไป ในอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เห็นจิตของตนตั้งมั่นอยู่ด้วยดี ไม่ยินดีกับอะไร ไม่ยินร้ายกับอะไร แม้เรื่องใดกระทบกระทั่งมามันก็รู้ มันละ มันไม่ยึดถือ เรื่องนั้นมันก็ดับไป มันก็รู้ รู้ว่าจิตไม่ยึดถือมันก็รู้ ก็อย่างว่าฝึกจิตให้รู้ ก็ธรรมของเก่านั่นแหละ แต่เมื่อมันไม่รู้ล่ะมันก็หากฟุ้งไป มันก็ไหลไปตามกระแสของกิเลสนั้น อย่างนี้นะ ดังนั้นเราจึงต้องฝึก พยายามกำหนดรู้ความเคลื่อนไหวของกิริยาจิตนี้ให้มันบ่อยๆ รู้เท่าทัน ก็หมายความว่าตัวเองแหละรู้เท่าทันตัวเอง ตัวเองควบคุมตัวเองถึงขั้นนี้แล้วนะ เราไม่ได้อาศัยสิ่งใดเลย สติก็อยู่ที่จิตนี่ สมาธิก็อยู่นี่ ศีลก็อยู่ที่จิตแล้วบาดนิ เพราะว่าได้กลั่นกรองเข้ามาไว้ในจิตนี้หมดแล้ว ปัญญามันก็เกิดจากสมาธินี้ เมื่อใช้ปัญญาไปพอสมควรแล้วอย่างนี้ก็หยุด หยุดคิดหยุดวิจารณ์ก็น้อมสติเข้าไป ประคองจิตให้เข้าถึงความสงบอยู่ เป็นอย่างนั้น เรียกว่าเหมือนอย่างคนทำงานด้วยกำลังกายนี่แหละ เมื่อทำไปมันเหนื่อยแล้วก็พักผ่อนบาดนินะ นอนนิ่งอยู่เลย หลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็มีกำลังเรี่ยวแรงดี หายเหนื่อย จิตนี่ก็เหมือนกันเมื่อใช้ตัวเองทำงานเกี่ยวกับการเพ่งพินิจ การค้นคว้า การกำหนดละ กำหนดรู้ มากๆเข้าไปมันก็เหนื่อยได้เหมือนกันนะ เหตุนั้นจึงต้องเข้าไปสงบซะก่อน ไปหยุดนิ่งอยู่ในปัจจุบัน ไม่วิตกวิจารณ์เรื่องอะไรต่ออะไร ให้มันพักอยู่อย่างนั้นไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อมันเห็นว่าจิตมีกำลังดีแล้วอย่างนี้ก็จึงเริ่มพิจารณาต่อไปอีกบาดนิ ต้องการรู้เรื่องอะไรก็กำหนดเรื่องนั้นมาพิจารณา ให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อเห็นตามความเป็นจริงแล้วก็ปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วยึดถือไว้ ไม่ใช่ เมื่อเห็นแล้วก็ปล่อยวาง ถ้ายึดถือไว้ก็เป็นภาระอันหนัก ก็ไปยึดถือของไม่เที่ยงอย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น ![]() ![]() ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ " กำหนดรู้อยู่กับปัจจุบันตัดอดีต" ◇◆ ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” ◆◇ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |