ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
รักษาบุญกุศลด้วยการภาวนา : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=51796 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 22 ม.ค. 2016, 08:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | รักษาบุญกุศลด้วยการภาวนา : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
![]() หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เมื่อเรานึกถึงว่าท่านผู้ใดเป็นผู้มีคุณแก่ตน เช่น มารดาบิดา ครูบาอาจารย์ ลุงป้าน้าอาผู้ได้เลี้ยงดูช่วยพ่อแม่มา ก็ชื่อว่า มีอุปการคุณ หรือพระราชามหากษัตริย์เจ้านาย ผู้ได้ปกครองประเทศชาติบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขอะไรหมู่นี้นะ ล้วนแต่เป็นผู้มีคุณต่อตนทั้งนั้น ดังนั้นการที่ตนได้สละเงินทองข้าวของ ออกไปให้กับบุคลดังได้กล่าวนามมานี้ ชื่อว่า “ให้โดยบูชาพระคุณ” ของท่านผู้มีอุปการะแก่ตน ทีนี้เมื่อการให้การบริจาคมีอย่างนั้นแล้ว ความเบียดเบียนกันมันก็มีไม่ได้เลย เมื่อเราแผ่เมตตาจิตไปทั่วในสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วอย่างนี้นะ มันจะไปฆ่าได้อย่างไงเล่า ในเมื่อจิตเรามีแต่ความปรารถนา ที่จะให้สัตว์ทั้งหลายเป็นสุขทั่วหน้ากันน่ะ มันก็เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่นไม่ได้เลย ก็ชื่อว่าเป็น “ผู้มีศีล” เมื่อมีศีลแล้วก็ที่จะรักษา “ทานวัตร ศีลวัตร”ต่างๆ เหล่านั้น ให้สม่ำเสมอไปได้ก็ต้องอาศัย “ภาวนา” ตามรักษาจิตของตน ไม่ให้มันตกไปในทางบาปอกุศล เมื่อตนทำใจให้สงบอย่างไรในเวลานั่งสมาธิภาวนาอยู่แล้วอย่างนี้นะ เราก็ออกจากสมาธิภาวนามาแล้วก็พยายามมี “สติสัมปชัญญะ” รักษาจิตที่ตั้งมั่นลงไว้นั้นให้มันตั้งมั่นต่อบุญต่อคุณทั้งหลาย ดังกล่าวมาแล้วนั้นให้สม่ำเสมอไป อันนี้เรียกว่า เราบำเพ็ญกุศลให้ครบวงจรนะให้พึงเข้าใจ เมื่อบำเพ็ญได้อย่างนี้นะ บุญกุศลที่บำเพ็ญมา ก็ไม่สูญไม่หายไปไหนเลย เราทำมาเท่าไรก็จะมีอยู่เท่านั้น แล้วก็ยังดึงดูดให้กระทำกุศลความดียิ่งๆขึ้นไป เพราะว่ามันมีบุญกุศลที่เราสั่งสมมานั้นหนุนเนื่องจิตใจ ให้พอใจในการบำเพ็ญบุญกุศลเรื่อยไปน่ะ บุญกุศลหากดลบันดาลให้เราฉลาดให้เรามีปัญญา รู้ว่าบุญที่เราทำมานี่ยังน้อยไป ยังไม่พอ ยังไม่เต็ม มันหากบอกอยู่ในตัวนั่นแหละ อย่านอนใจ อย่าประมาท นี่..ถ้าบุญเรามีจริงๆนะเราได้สั่งสมมามากจริง บุญกุศลนี้ก็จะเตือนจิตไม่ให้ประมาท ให้รีบเร่งสั่งสมบุญกุศลเรื่อยไปทีเดียว ประกอบความเพียรไม่เห็นแก่หลับแก่นอนทั้งกลางวันกลางคืน ยืนเดินนั่งนอนก็สำรวมตนอยู่ในกุศลคุณงามความดีเรื่อยไป คุณงามความดีอย่างสูงขึ้นไปก็ได้แก่ “การสำรวมญาณความรู้” ที่เราบำเพ็ญให้เกิดให้มีนั้นไว้ อย่าให้มันเสื่อมเลย ญาณความรู้ที่มองเห็นธาตุสี่ขันธ์ห้า ว่าเป็น “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” อันนี้ ก็สำรวมระวังรักษาญาณความรู้อันนี้ไว้ให้สม่ำเสมอไปเรื่อย ก็ได้ชื่อว่า “รักษาบุญกุศลอย่างสูงไว้” เมื่อรักษาสูงไว้แล้ว อย่างกลางอย่างต่ำนี้ก็ชื่อว่าได้รักษาไว้ได้หมดเลยทีเดียวน่ะ ไม่สูญหายไปไหนแล้ว ขอให้พยายามรักษาญาณความรู้ ที่เราบำเพ็ญให้เกิดให้มีขึ้นในจิตใจของเรานี้ไว้ให้ได้ อย่าให้เสื่อม เพราะว่าญาณความรู้ในขั้นนี้นะ มันก็ยังเป็น “โลกียธรรม” อยู่ ยังไม่เป็น “โลกุตตรธรรม” ก่อน ต่อเมื่อได้บำเพ็ญญาณความรู้อันนี้มากๆ เข้าไป จนกลายเป็น “มรรคสมังคี” ได้แล้วอย่างนี้นะ เมื่อนั้นแหละมันถึงจะละสังโยชน์ คือ กิเลสซึ่งมันข้องอยู่ในจิตใจนี้นะให้ขาดออกไปเลย อย่างนั้นน่ะที่ท่านเรียกว่า บำเพ็ญศีลก็จนเป็น “อธิศีล” เป็นศีลยิ่ง บำเพ็ญสมาธิก็เป็น “อธิจิต” จิตยิ่ง จิตสงบ จิตหนักแน่นต่อกุศลธรรมอย่างเดียวไม่คิดไปทางอกุศลเลย “อธิปัญญา” ปัญญายิ่ง ปัญญาความรู้ความฉลาด ในธรรมของจริงคือ “อริยสัจธรรมทั้งสี่” นี้นะ ที่ท่านเรียกว่า อธิปัญญา ปัญญายิ่ง อันนี้แหละ ![]() ![]() ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “อานุภาพแห่งศีล” :: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |