ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อัตตาและอนัตตา (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=50184 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 30 พ.ค. 2015, 23:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | อัตตาและอนัตตา (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี) |
อัตตาและอนัตตา พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี) วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ![]() ![]() แล้วใครเล่าเป็นผู้ทำและใครเล่าเป็นผู้รับกรรมที่ทำลงไปแล้วนั้น ![]() คือว่าถ้าปัญหานี้เกิดขึ้นในสังคมใด แล้วสังคมนั้นจะต้องทะเลาะกันให้ได้ ถ้าเข้าใจว่า “อนัตตา เป็นของไม่มี สูญเปล่า” ฝ่ายแย้งว่ามีก็จะชี้ลงไปว่า ผู้ซึ่งพูดว่าอนัตตาๆ อยู่นั้น ถ้าไม่มีแล้วนั้นคืออะไร พร้อมกันนั้นก็ยัดหมากแดงให้เลย อีกฝ่ายที่เห็นเป็นอนัตตาก็ไม่เบาเหมือนกัน ศอกกลับชุลมุนกันไปเลย เพราะศอกมันก็เป็นอนัตตา บอกห้ามไม่ได้ อย่างนี้แลอนัตตา ที่เข้าใจว่าเป็นของไม่มีตัวตนสูญเปล่าได้เคยมีมาแล้ว ถ้าเห็นว่าอนัตตาเป็นของ “มีอยู่” แต่ “หาสาระในนั้นไม่ได้” แล้วก็หมดปัญหา เพราะทุกๆ คนพากันเห็นของมีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่จะเอาอะไรมาเป็นสาระในของที่มีอยู่นั้นไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ แม้แต่คนเราเกิดมาก็เป็นเพียงมายาเท่านั้น ต่างคนเกิดมาก็พากันมาเล่นกีฬา เดินกันไปคนละแต้มละฉาก พอจบเกมแล้วก็ปิดฉาก (เข้าโรง) จบกันไปที คนใหม่เกิดมาก็พากันเล่นเกมเดิม ฉากเดิมนี้ต่อไปอีกไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที คราวนี้มาพูดถึงเรื่องปัญหาที่ว่า เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา แล้วใครเล่าเป็นผู้กระทำกรรมและใครเล่าเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น ดังได้อธิบายมาแล้ว ถ้าอนัตตาแปลว่าไม่มีตนไม่มีตัวเป็นของว่างเปล่าแล้ว ผู้พูดก็ไม่มีเสียง ผู้รับฟังก็ไม่ได้ยิน แล้วใครและอะไรจะไปกระทำกรรมนั้นๆ เมื่อไม่มีใครทำกรรมแล้ว กรรมจะเกิดมาได้อย่างไร และใครจะเป็นผู้ไปรับกรรมนั้นๆ ก็ย่อมไม่มีเช่นเดียวกัน แล้วทำไมจึงต้องมาพูดอนัตตาๆ กันอยู่เล่า พูดของไม่มีนี้มันชักจะเลอะกันไปเสียแล้ว ปัญญาเกิดจากความคิดความเห็นอันมีมานะสนับสนุน มันอาจเลยขอบเขตไปได้เหมือนกัน หลักอนัตตาในทางพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันชอบ พระองค์มิได้ตรัสว่าอนัตตาเป็นของไม่มีตนมีตัวเป็นของว่างเปล่า พระองค์ตรัสว่าตนตัวคือร่างกายของคนเรา อันได้แก่ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ มันมีอยู่แล้ว แต่จะหาสิ่งที่เป็นสาระในขันธ์ ๕ นั้นมันไม่มี ดังนี้ต่างหาก เบื้องต้นดังพระองค์สอนว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน หรือการชนะตนแลเป็นของดีเลิศ” ดังนี้เป็นต้น เมื่อจะสอนผู้มีปัญญาพอสามารถจะคิดค้นหาตัวตนที่แท้จริงนั้นคืออะไร จึงให้หยิบยกเอาตนคือขันธ์ ๕ นี้แหละขึ้นมาพิสูจน์ ว่าอะไรแน่เป็นตัวตนของเรา ดังในอนัตตลักขณสูตรที่พระองค์ทรงสอนพระปัญจวัคคีภิกษุทั้งห้า ทำนองตามปัญหาสรุปใจความเป็นภาษาไทยๆ ของเรา ว่า รูป คือตัวของเราที่เราถือกันว่าตัวตนเราเขานี้นั้น แท้จริงแล้วมิใช่ของเรา เพราะมันบอกมิได้ไม่อยู่ในบังคับของเรา เช่น ห้ามมิให้มันแก่มันก็แก่อยู่เรื่อยๆ ทุกนาทีวินาที แล้วพระองค์ทรงรับสั่งว่า พวกเธอทั้งหลายพากันสำคัญในรูปนั้นอย่างไร มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า สิ่งใดไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า แล้วพระองค์ตรัสว่า สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ จึงให้พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงของมันเสียว่า สภาพของขันธ์มันหากเป็นจริงตามสภาพของมันอยู่อย่างนั้น จึงไม่ควรไปถือเอามาเป็นเรา เป็นของเรา ดังนี้จึงแสดงให้เห็นชัดเลยว่า อนัตตาจึงมิใช่ของไม่มี คือแสดงว่ามีอยู่แต่ของนั้นมันไม่มีสาระ เมื่อผู้ใดเข้าไปยึดเอามาเป็นตนจึงได้รับความทุกข์ ดังพระองค์แสดงให้แก่โมฆราชฟังว่า “ท่านจงพิจารณาโลกนี้ให้เห็นเป็นของว่างสูญเปล่า” ก็ดี ก็คงแสดงถึงของมีอยู่คือโลกนั้นเอง แต่ให้พิจารณาเป็นของว่างเปล่าจากการเข้าไปถือเอามาเป็นตัวเป็นตน เท่านั้นเอง ฉะนั้นเมื่อจะสรุปให้สั้นๆ แล้ว เมื่อผู้ที่ยังยึดอัตตาอยู่ พระพุทธองค์ก็สอนให้ประกอบภารกรรม เพื่อประโยชน์แก่อัตตาโดยทางที่ชอบที่ควรไปก่อน จนกว่าผู้นั้นจะเห็นชัดแจ้งด้วยตนเองว่า สิ่งที่เราถือว่าอัตตาอยู่นั้น แท้จริงแล้วมิใช่อัตตามันเป็นแต่เพียงมารยา หรือของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ก็แล้วแต่ แล้วพระองค์จึงสอนอนัตตาที่แท้จริง พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่ทนต่อการพิสูจน์ เพราะมีเหตุผลให้พิสูจน์ได้ นักแสดงโขน-ลิเก และละครอาชีพ ใครๆ ก็รู้อยู่แก่ใจทุกคนว่า เรื่องที่เขาแสดงนั้นมิใช่เป็นของจริง เขาสมมติขึ้นมาพอเป็นมารยาเท่านั้น ถึงขนาดนั้นก็ตาม ยังสามารถเร้าใจของผู้ที่ยังถืออนัตตาอยู่ เมื่อเข้าไปดูแล้ว ถึงบทโศกเข้าก็เป็นทุกข์ตามบทถึงกับร้องไห้ก็มี เวลาถึงบทน่าเพลิดเพลินก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งก็มี แต่สำหรับท่านผู้รู้มารยาและสิ่งที่มิใช่มารยาแล้วท่านก็เฉยๆ คัดมาจาก : หนังสือ ธรรมะปฏิบัติ สนทนาธรรมระหว่างอาจารย์และศิษย์ อนุสรณ์เนื่องในการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ และเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร วันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๕ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35963 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43000 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42782 |
เจ้าของ: | sirinpho [ 06 มิ.ย. 2015, 13:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อัตตาและอนัตตา (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี) |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | daoduan [ 17 ส.ค. 2015, 19:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อัตตาและอนัตตา (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี) |
สาธุๆๆ ค่ะ ![]() |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 02 ต.ค. 2019, 09:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อัตตาและอนัตตา (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี) |
![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 18 เม.ย. 2020, 10:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อัตตาและอนัตตา (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี) |
![]() ![]() ![]() สาธุ อนุโมทามิ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |