ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=47987
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  น้องพลอย [ 18 มิ.ย. 2014, 09:49 ]
หัวข้อกระทู้:  ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

รูปภาพ

ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ


ส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินว่าดูจิตกัน แต่เราไม่ค่อยจะได้ยินเรื่องของการดูกาย เพราะเราคิดว่าการดูกายนี้มันสู้ดูจิตไม่ได้ แต่การที่จะดูจิตได้นี้จำเป็นจะต้องมีสมาธิก่อน เพราะว่าจิตนี้ไวมาก ถ้าไม่มีสมาธิทำใจให้นิ่งก่อนจะดูจิตไม่ได้จะตามไม่ทัน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ดูกายก่อนกายคตาสติก่อน ในสติปัฏฐาน ๔ มีจุดที่ให้ดูอยู่ ๔ จุด จุดแรกก็คือกาย จุดที่สองก็คือเวทนา จุดที่สามก็คือจิต และจุดที่สี่ก็คือธรรม ท่านให้ดูกายก่อนเพราะว่ากายเป็นส่วนหยาบเป็นส่วนช้า ที่เราสามารถติดตามดูการเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกได้อย่างสบาย ส่วนจิตนี้อารมณ์ต่างๆ ความคิดปรุงเเต่งต่างๆ นี้ มันละเอียดและมันไวมาก เราจะไม่มีความสามารถที่จะติดตามและทำให้เกิดประโยชน์ได้ เราจึงต้องดูกายก่อน

เจริญสติที่กายก่อน เฝ้าดูการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ถ้าใจเกาะติดอยู่กับร่างกายเวลานั่งสมาธิใจก็จะไม่ลอยไปลอยมา ให้บริกรรมพุทโธๆ ก็จะบริกรรมแต่พุทโธเพียงอย่างเดียว ไม่เหมือนกับพวกเราที่เวลานั่งสมาธิกัน เวลาบริกรรมพุทโธได้สัก ๒-๓ ครั้ง ก็ไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้ว ถ้าทำอย่างนี้แล้วนั่งไปนานเท่าไรก็ไม่มีวันที่จะสงบได้ จะสงบได้นี้ต้องอยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆ ไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องภายใน ๔-๕ นาทีใจก็เข้าสู่ความสงบได้ รวมเป็นหนึ่งเป็นอุเบกขาได้ สักแต่ว่ารู้ได้ หรือถ้าใช้การดูลมหายใจเข้า-ออกก็จะอยู่กับการดูลมเพียงอย่างเดียว ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ รู้ตรงจุดเดียวก็รู้ตรงจุดที่ลมหายใจเข้า-ออกบริเวณปลายจมูก หรือบริเวณเหนือริมฝีปากเป็นจุดที่ลมจะสัมผัสกับร่างกายเวลาเข้าไปเวลาออกมา ถ้ามีสติเฝ้าอยู่ ดูอยู่ตรงจุดนั้นอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่เผลอไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่นานใจก็จะรวมเข้าสู่ความสงบได้เช่นเดียวกัน

นี่คือวิธีเจริญสติเพื่อให้เกิดสมาธิ เพื่อให้เกิดอุเบกขา พอเกิดอุเบกขาแล้ว ก็เหมือนกับการได้รับประทานอาหารอิ่มแล้ว พออิ่มแล้วพอออกมาเห็นขมนมเนย ถ้ามีตัณหาความอยากกินเนื่องจากยังมีนิสัยยังไม่ได้ตัดตัณหาความอยาก แต่ความจริงร่างกายไม่อยากจะกิน แต่ใจยังอยากจะกินอยู่ เราก็สามารถใช้ปัญญาสอนใจได้ว่า อย่าไปกิน กินแล้วมันจะเป็นโทษกับร่างกายกับจิตใจ กับร่างกายก็คือทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเกิน มีน้ำหนักมากเกินไปทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ เป็นภัยแก่จิตใจก็เพราะว่าจะส่งเสริมความอยาก ส่งเสริมความทุกข์ใจให้มีอายุต่อไปยาวขึ้นไป ถ้าเราต้องการที่จะให้ใจของเราหลุดพ้นจากความทุกข์ เราก็ต้องไม่ทำตามความอยาก ถ้าใจอิ่มแล้วมีอุเบกขาแล้วพอได้รับข้อมูลอย่างนี้ก็จะไม่ทำตามความอยากได้ จะไม่รู้สึกทรมานแต่อย่างใด

แต่สำหรับใจที่ยังไม่มีอุเบกขานี้ ก็เหมือนกับคนที่ยังไม่ได้กินข้าว พอเจอขนมนมเนยขึ้นมาก็อยากจะกินทันที แล้วก็ต่อให้ช้างมาฉุด ต่อให้ใครมาสอนว่าไม่กินก็จะไม่ฟัง เพราะตอนนั้นมันหิวมันก็จะกิน นี่คือความแตกต่างกันระหว่างใจที่มีอุเบกขากับใจที่ไม่มีอุเบกขา ใจที่มีสมาธิกับใจที่ไม่มีสมาธิ เวลามีอุเบกขาแล้วพอใช้สัมมาทิฏฐิ ใช้เหตุผลมาสอนใจไม่ให้ทำตามความอยากใจก็จะเชื่อ แต่ถ้าไม่มีสมาธิไม่มีอุเบกขา ต่อให้เอาพระพุทธเจ้ามาสอนต่อหน้าก็ทำตามไม่ได้ หยุดความอยากไม่ได้.


ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗
“ภาวนามยปัญญ” : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

https://www.facebook.com/Suchart.Abhijato

:b47: รวมคำสอน “พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=47981

เจ้าของ:  student [ 20 มิ.ย. 2014, 01:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 20 มิ.ย. 2014, 07:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ

อนุโมทนาสาธุ
:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ปลีกวิเวก [ 20 มิ.ย. 2014, 08:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ

:b8: :b8:

เจ้าของ:  sirinpho [ 27 มี.ค. 2015, 19:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  AAAA [ 29 มี.ค. 2015, 11:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความต่างระหว่างใจที่มีสมาธิ กับ ใจที่ไม่มีสมาธิ

4A ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/