ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=43478 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | gtagtaza [ 01 ต.ค. 2012, 10:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
ผมสับสนอะคับช่วยผมหน่อยเถอะผมปฏิบัติมาหลายกรรมฐานแล้วคับไม่พบความสงบซักที ผมต้องทำยังอะคับถึงจะรู้ว่าตอนอดีตชาติเคยสำเร็จกรรมฐานกองไหนไว้ เห็นหลวงพ่อลิงดำบอกว่าถ้าทำกรรมฐานกองที่เคยสำเร็จในอดีตชาติมาก่อนจะสามารถสำเร็จกรรมฐานกองนั้นได้เร็วมาก ช่วยตอบผมหน่อยคับ |
เจ้าของ: | Hanako [ 01 ต.ค. 2012, 18:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
ใจเย็นๆนะคะนักปฏิบัติ ให้มั่นคง สม่ำเสมอ แต่อย่าใจร้อนเน้อ เรื่องอดีตชาตินี่อย่าไปอยากรู้เลย เกิดรู้ขึ้นมาว่า อดีตชาติไม่เคยทำกรรมฐานไว้เลยสักกองล่ะจิตตกเลยนะทีนี้ เอากระทู้คำสอนหลวงปู่ชา สุภทฺโท มาฝาก ท่านว่า ให้ค่อยๆทำไปนะ ใจเย็นๆ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=37799 ส่วนเรื่องกรรมฐาน อาจมีพี่ๆใจดีมาแนะนำต่อจากเรานะคะ |
เจ้าของ: | คนธรรมดาๆ [ 02 ต.ค. 2012, 02:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
คุณ gtagtaza ไม่เกี่ยวกับชาติที่แล้ว หรือว่าเลือกกรรมฐานผิดหรอกครับ ที่คุณไม่พบความสงบเพราะใจคุณมีความ "อยาก" ที่จะสงบรุนแรง ใจที่มีความอยากหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นอย่างนั้นไม่มีทางจะสงบได้หรอกครับ ความอยากก็เป็นนิวรณ์ตัวหนึ่ง ขณะใจที่ยังมีนิวรณ์ องค์ของสมาธิจะเกิดไม่ได้ครับ เพราะสองอย่างนี้นิวรณ์กับสมาธิ เหมือนแสงกับเงา ไม่เกิดพร้อมกัน หยุดอยากซะในตอนนั้น เอาใจไปไว้กับสิ่งที่เราดูแล้วเป็นที่สบายของเรา เลือกอันไหนก็ได้ที่พอใช้เป็นที่กำหนดจิตแล้วเห็นชัด เป็นที่สบาย ใจเป็นกลางๆไม่แห้งไม่ฉ่ำไม่ฟูไม่แฟ่บแล้วดูอันนั้นไปเรื่อยๆเป็นอารมณ์กรรมฐาน จะเป็นอะไรอันนี้ตัวคุณเองจะต้องรู้เอง เกิดอะไรอย่างอื่นขึ้นก็ตาม เช่นเกิดความคิดโน่นนี่ ได้ยินเสียงโน่นนี่ กังวลโน่นนี่หรือแม้กระทั่งเกิดความอยากความหงุดหงิดไม่ได้อย่างใจก็ตาม ให้ทำความรู้ตัวว่าสิ่งเหล่านั้นมันเกิดขึ้นกับใจ เมื่อรู้ตัวแล้วเอาใจกลับไปที่สิ่งที่เราเลือกเป็นอารมณ์กรรมฐานตามเดิม นี่คือการทำเหตุให้ตรงเพื่อให้เกิดสมาธิ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆเมื่อทุกอย่างสุกงอมใจคุณจะสงบรวมลงได้ครับ ขอให้พบความสงบเร็ววันครับ |
เจ้าของ: | เฉลิมศักดิ์1 [ 02 ต.ค. 2012, 07:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
สมาธิ(ฌาน) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049 ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มีฌาน (มาก่อน) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062 ------------------------------------------------------------- http://abhidhamonline.org/aphi/p9/063.htm อย่าว่าแต่จะได้ถึงซึ่งอภิญญาเลย แม้การเจริญสมถกัมมัฏฐาน จนกว่าจะได้ฌานนั้น ก็มิใช่ว่าจะกระทำได้โดยง่ายดายนัก ต้องมีใจรักอย่างที่เรียกว่า มีฉันทะมีความพอใจเป็นอย่างมาก มีความพากเพียรเป็นอย่างยิ่ง ประกอบด้วยเอาใจจิตใจจ่ออย่างจริงจัง ทั้งต้องประกอบด้วยปัญญารู้ว่าฌานนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นบาทที่ก้าวขึ้นไปสู่ความหลุดพ้น แล้วจึงตั้งหน้าเจริญภาวนาตามวิธีการจนเกิดฌานจิต ฌานจิตที่เกิดจากการปฏิบัติเช่นที่ได้กล่าวแล้วทั้งหมดนี้ มีชื่อเรียกว่า ปฏิปทาสิทธิฌาน เป็นการได้ฌานด้วยการประพฤติปฏิบัติ ได้ฌานด้วยการเจริญสมถภาวนา --------------- สำหรับแนวทาง วิปัสสนายานิก หรือ วิปัสสนาขณิกสมาธิ (วิปัสสนาล้วน) มีแนวทางดังนี้ การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201 อนึ่ง พระศาสนามีอายุล่วงเลยมานานถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี นับว่าเป็นเวลานานอยู่ ระยะเวลาอันยาวนานอย่างนี้ น่าจะเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายกว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ผู้รู้ทั่วถึงคำสอนอันลึกซึ้งน่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับกลายเป็นว่าพระพุทธศาสนานี้กำลังมลายหายสูญไปจากดินแดนที่เคยแพร่หลายแต่ในอดีตทีละแห่ง เริ่มตั้งแต่ประเทศอันเป็นที่อุบัติคืออินเดียเลยทีเดียว แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะเผยแผ่เข้าไปในประเทศใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีผู้คนยอมรับนับถือกันมาก่อนก็ตาม ความพยายามก็สำเร็จผลเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ ผู้คนที่ยอมละจากศาสนาที่นับถืออยู่เดิมของตน หันมานับถือพระพุทธศาสนานั้น มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เทียบไม่ได้กับที่เสื่อมสูญไปแล้ว และที่กำลังจะเสื่อมสูญไปตามลำดับ ทั้งบรรดาผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกันนี้ ผู้ที่รู้ทั่วถึงคำสอนที่ลึกซึ้งจริง ๆ ก็หาพบยากเข้าทุกที ความเป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นเครื่องแสดงว่าผู้เกิดในยุคนี้และยุคต่อ ๆ ไป เป็นผู้มีปัญญาเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถรองรับคำสอนที่ลึกซึ้งอุดมด้วยเหตุและผลได้ พระศาสนาจึงค่อย ๆ เสื่อมสูญไปตามลำดับ เพราะขาดแคลนผู้สืบต่อ เพราะฉะนั้น อาศัยเหตุผล ๒ ประการดังกล่าวมานี้ ก็พอจะอนุมานได้ว่า ผู้คนสมัยนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนตัณหาจริตปัญญาทึบ เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ผู้เกิดในยุคสมัยนี้ หากมีศรัทธาใคร่ปฏิบัติสติปัฏฐาน ควรคำนึงถึงกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นสำคัญ อีกอย่างหนึ่ง แม้จะไม่มีการวินิจฉัยด้านจริตและปัญญาด้วยเหตุด้วยผลดังกล่าวมานี้ก็ตาม แต่เนื่องจากในยุคสมัยนี้ ขาดแคลนกัลยาณมิตร หรืออาจารย์ผู้ทรงญาณปัญญา ที่สามารถสอบสวนสภาพจิตใจของผู้อื่นอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้จะบอกได้ว่า ผู้นั้นผู้นี้ควรเจริญสติปัฏฐานข้อใด หมวดไหน จึงจะเหมาะสมต่อสภาพจิตใจของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั่นแหละ เพราะเทียบสติปัฏฐานข้ออื่นแล้ว จะเป็นข้อที่เจริญได้ง่ายกว่า เพราะข้อนี้มีการพิจารณารูปธรรมเป็นหลัก ก็การพิจารณารูปธรรมซึ่งเป็นของหยาบ ทำได้ง่ายกว่าการพิจารณานามธรรม มีเวทนาเป็นต้น ซึ่งเป็นของละเอียด ก็ในบรรดากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑๔ หมวดนั้น สำหรับหมวดแรกซึ่งเป็นการกำหนดลมหายใจเข้าและออกนั้น เป็นกรรมฐานที่พิเศษกว่ากรรมฐานอื่น แม้ท่านกล่าวว่า เจริญได้ง่าย เหมาะแก่คนปัญญาน้อยก็ตาม ก็พึงทราบว่า ที่นับได้ว่าเจริญได้ง่ายก็เกี่ยวกับสักแต่มุ่งจะทำจิตให้สงบไปอย่างเดียวเท่านั้น กล่าวคือจิตที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย กระสับกระส่าย จะสงบได้รวดเร็ว เมื่อเพียงแต่กำหนดลมหายใจไปสักระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะต้องการให้จิตที่สงบไปพอประมาณนั้น สงบยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ตามลำดับ จนบรรลุฌาน โดยเฉพาะได้ฌานแล้ว ใช้ฌานนั้นเป็นบาทแห่งการเจริญวิปัสสนาต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้แสนยากอย่างยิ่ง ผู้มีปัญญาสามารถจริง ๆ เท่านั้น จึงจะกระทำได้ เหตุผลในเรื่องนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในหนังสือเรื่องหยั่งลงสู่พระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ผู้ต้องการเจริญสติปัฏฐานเพื่อความพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่สักแต่ว่าทำจิตให้สงบ น่าจะคำนึงถึงหมวดอื่น ๆ ก่อนหมวดกำหนดลมหายใจนี้ แม้ใน ๑๓ หมวดที่เหลือ ตกมาถึงยุคสมัยนี้ซึ่งเป็นยุคที่พระพุทธศาสนากำลังเสื่อมไปตามลำดับ ก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายเสียทีเดียว กล่าวคือ สัมปชัญญบรรพซึ่งเป็นหมวดพิจารณาอิริยาบถย่อยนั้น ยังทำได้ยากสำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญในการพิจารณาอิริยาบถ ๔ ใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นของหยาบกว่า มาก่อน การใส่ใจความเป็นปฏิกูลในอาการ ๓๒ เล่า ก็เป็นของทำได้ยากในยุคสมัยนี้ที่นิยมวัตถุ ดื่มด่ำในความสวยความงาม เพราะเหตุนั้น เมื่อจะทำใจให้น้อมไปว่าเป็นของปฏิกูล ไม่งามอยู่เนือง ๆ ย่อมเป็นภาระหนัก ส่วนการพิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ ๔ มีธาตุดินเป็นต้น โอกาสที่จะกลายเป็นเพียงความนึกคิดเอาอย่างฉาบฉวย ไม่ได้สัมผัสตัวสภาวะที่เป็นธาตุดินเป็นต้น ด้วยปัญญาจริง ๆ ก็มีได้มาก สำหรับการพิจารณษซากศพ ๙ อย่าง ก็เป็นหมวดที่แทบจะหาโอกาสบำเพ็ญไม่ได้เอาทีเดียว เกี่ยวกับหาซากศพที่จะใช้เจริญกรรมฐานยากหนักหนา เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น ระเบียบกฏเกณฑ์ของบ้านเมืองไม่ยอมให้มีการทิ้งซากศพให้เน่าเปื่อยอยู่ตามที่ต่าง ๆ อย่างเปิดเผย แม้แต่ในป่าช้า ด้วยเหตุว่า เป็นที่อุจาดนัยน์ตาของผู้พบเห็น เป็นที่แพร่เชื้อโรค และเป็นเรื่องล้าหลัง ส่วนหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ เดิน ยืน นั่ง นอน หมวดเดียวที่เหลืออยู่นี้เท่านั้นที่เป็นกรรมฐาน อันเป็นอารมณ์ของการพิจารณาที่หาได้ง่าย เพราะอิริยาบถ ๔ นี้ มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา คนเราต้องการทรงกายอยู่ใดอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งแน่นอน ไม่มีว่างเว้นจากอิริยาบถ อนึ่ง ในเวลาที่ทรงกายอยู่ในอิริยาบถใดก็ตามก็ย่อมรู้แน่อยู่แก่ใจที่เดียวว่า เวลานี้กำลังทรงกายอยู่ในอิริยาบถนั้น คือ รู้ดีว่าเวลานี้กำลังเดินอยู่ หรือยืนอยู่ หรือนั่งอยู่ หรือนอนอยู่ เพราะอาการอย่างนั้นอย่างนั้น แสดงให้ทราบ จึงจัดได้ว่าเป็นของปรากฏชัด เมื่อเป็นเช่นนี้ การกำหนดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จึงน่าจะกระทำได้ง่ายกว่าหมวดอื่น ๆ เพราะเหตุนั้นนั่นแหละผู้ใคร่เจริญสติปัฏฐานได้โดยสะดวก พึงคำนึงถึงการพิจารณาอิริยาบถ ๔ นี้ ก่อนเถิด และในที่นี้ก็ใคร่ขอแสดงวิธีเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถนี้เป็นนิทัสสนะ การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201 |
เจ้าของ: | Hanako [ 02 ต.ค. 2012, 12:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
เจ้าของ: | Rotala [ 02 ต.ค. 2012, 15:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
ตัดปลิโพธ ,สัมปายะ ,ทาน ,ศีล ,พรหมวิหาร ...ความสงบ จากผู้มีญาณ,อธิฐาน,นิมิต,ความชอบ,ฝึกอย่างอื่นแล้วของเดิมกำเริบ,อยู่ใกล้ที่ผู้ที่ฝึกแบบนั้นแล้วกำเริบ,อยู่ในสถานที่สภาพแวดล้อมในบางที่แล้วกำเริบ,สภาพร่างกายเหมาะเหมือนเดิมแล้วกำเริบ,อารมณ์แล่นไปเกาะไปอยู่กับสิ่งใดแบบใดได้ง่าย ...อดีตชาติเคยสำเร็จกรรมฐานกองไหน อิทธิบาทสี่ ,จริต,อื่นๆ(ครูอาจารย์เนื่องด้วยวาสนา)...สำเร็จกรรมฐานกองนั้นได้เร็วตามการทำเหตุและปัจจัย |
เจ้าของ: | walaiporn [ 02 ต.ค. 2012, 19:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
gtagtaza เขียน: ผมสับสนอะคับช่วยผมหน่อยเถอะผมปฏิบัติมาหลายกรรมฐานแล้วคับไม่พบความสงบซักที กลางคืน ปกติแล้ว กลางคืน คุณนอนหลับไหม หรือ นอนไม่ค่อยหลับ หลับๆตื่นๆ เป็นพักๆ หรือ เวลาหลับ หลับสนิท ไม่ว่าจะมีเสียงดังขนาดไหน เช่น เปิดวิทยุฟังเพลง หรือดูทีวี ก็หลับไปขณะนั้นๆ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 03 ต.ค. 2012, 17:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
Rotala เขียน: ตัดปลิโพธ ,สัมปายะ ,ทาน ,ศีล ,พรหมวิหาร ...ความสงบ จากผู้มีญาณ,อธิฐาน,นิมิต,ความชอบ,ฝึกอย่างอื่นแล้วของเดิมกำเริบ,อยู่ใกล้ที่ผู้ที่ฝึกแบบนั้นแล้วกำเริบ,อยู่ในสถานที่สภาพแวดล้อมในบางที่แล้วกำเริบ,สภาพร่างกายเหมาะเหมือนเดิมแล้วกำเริบ,อารมณ์แล่นไปเกาะไปอยู่กับสิ่งใดแบบใดได้ง่าย ...อดีตชาติเคยสำเร็จกรรมฐานกองไหน อิทธิบาทสี่ ,จริต,อื่นๆ(ครูอาจารย์เนื่องด้วยวาสนา)...สำเร็จกรรมฐานกองนั้นได้เร็วตามการทำเหตุและปัจจัย คุณ Rotalaมักจะมีคำตอบมาให้เอกอนเป็นได้ต้อง ทุกที |
เจ้าของ: | Rotala [ 06 ต.ค. 2012, 01:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
eragon_joe เขียน: Rotala เขียน: ตัดปลิโพธ ,สัมปายะ ,ทาน ,ศีล ,พรหมวิหาร ...ความสงบ จากผู้มีญาณ,อธิฐาน,นิมิต,ความชอบ,ฝึกอย่างอื่นแล้วของเดิมกำเริบ,อยู่ใกล้ที่ผู้ที่ฝึกแบบนั้นแล้วกำเริบ,อยู่ในสถานที่สภาพแวดล้อมในบางที่แล้วกำเริบ,สภาพร่างกายเหมาะเหมือนเดิมแล้วกำเริบ,อารมณ์แล่นไปเกาะไปอยู่กับสิ่งใดแบบใดได้ง่าย ...อดีตชาติเคยสำเร็จกรรมฐานกองไหน อิทธิบาทสี่ ,จริต,อื่นๆ(ครูอาจารย์เนื่องด้วยวาสนา)...สำเร็จกรรมฐานกองนั้นได้เร็วตามการทำเหตุและปัจจัย คุณ Rotalaมักจะมีคำตอบมาให้เอกอนเป็นได้ต้อง ทุกที |
เจ้าของ: | เฉลิมศักดิ์1 [ 08 ต.ค. 2012, 05:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... 257&Z=6764 http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... i=273&p=2#อานาปานบรรพ เสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระโยคาวจรไม่ละ ละแวกบ้านอันอื้ออึ้งด้วยเสียงหญิงชาย ช้างม้าเป็นต้น จะบำเพ็ญอานาปานสติกัมมัฏฐาน อันเป็นยอดในกายานุปัสสนา เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุคุณวิเศษ และธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงนี้ให้สำเร็จ ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เลย เพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก -------------------------------------------------------------------- พระอภิธัมมัตถสังคหะ นิวรณ์ของฌาน http://www.abhidhamonline.org/aphi/p1/054.htm นิวรณ์อันเป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้เกิดฌานได้นั้น มี ๕ ประการ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ และวิจิกิจฉานิวรณ์ ๑. กามฉันทนิวรณ์ คือความติดใจในกามคุณอารมณ์ อันมี รูป เสียง กลิ่น รส และการสัมผัสถูกต้อง ซึ่งเปรียบไว้ว่าเหมือนน้ำที่ระคนด้วยสี ถ้ามัวไปเพลิดเพลินติดใจในสิ่งเหล่านี้เป็นไม่ได้ฌานแน่ ต้องใช้เอกัคคตาเผากามฉันทนิวรณ์อันเป็นปฏิปักษ์นี้เสีย ๒. พยาปาทนิวรณ์ ความมุ่งจะปองร้ายผู้อื่น ซึ่งเปรียบไว้ว่าเหมือนน้ำที่เดือดพล่าน ถ้ามัวแต่ครุ่นคิดปองร้ายผู้อื่นอยู่ ฌานจิตก็เกิดไม่ได้ ต้องใช้ปิติเผาพยาปาทนิวรณ์อันเป็นปฏิปักษ์นี้เสีย ๓. ถีนมิทธนิวรณ์ ความหดหู่ ความท้อถอยไม่ใส่ใจเป็นอันดีต่ออารมณ์ที่เพ่งนั้น ซึ่งเปรียบเหมือนน้ำที่มีจอกมีแหนปิดบังอยู่ ถ้าใจท้อถอยคลายความใส่ใจในอารมณ์ที่เพ่งนั้นแล้ว ย่อมไม่เกิดผลให้ถึงฌานได้ ต้องใช้วิตกเผาถีนมิทธนิวรณ์อันเป็นปฏิปักษ์นี้เสีย ๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ซึ่งเปรียบไว้ว่าเหมือนน้ำที่ถูกลมพัดกระเพื่อมอยู่เสมอ ถ้าจิตใจเลื่อนลอยซัดส่ายอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็ไม่เป็นฌานจิต ต้องใช้สุขเผาอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ อันเป็นปฏิปักษ์นี้เสีย ๕. วิจิกิจฉานิวรณ์ ความลังเลไม่แน่ใจ ซึ่งเปรียบไว้ว่าเหมือนน้ำที่ขุ่นเป็นตมหรือน้ำที่ตั้งอยู่ในที่มืด ถ้าเกิดลังเลใจไม่แน่ใจอยู่ตราบใด ก็เป็นอันว่าไม่ทำให้ถึงฌานได้อยู่ตราบนั้น ต้องใช้วิจารเผาวิจิกิจฉานิวรณ์ อันเป็นปฏิปักษ์นี้เสีย --------------------------------------------- เมื่อครั้งพุทธกาล เจโตวิมุติ(ผู้ได้ฌาน) น้อยกว่าปัญญาวิมุตติ viewtopic.php?f=2&t=21062 -------------------------------------------- 21049.สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา จากพระไตรปิฏก อรรถกถา viewtopic.php?f=2&t=21049 ถามว่า เริ่มตั้งวิปัสสนาอย่างไร ? แก้ว่า จริงอยู่ พระโยคีนั้น ครั้นออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌาน ย่อมเห็นหทัยวัตถุ ซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งองค์ฌานเหล่านั้น ย่อมเห็นภูตรูป ซึ่ง เป็นที่อาศัยแห่งหทัยวัตถุนั้น และย่อมเห็นกรัชกายแม้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นที่อาศัย แห่งภูตรูปเหล่านั้น. ในลำดับแห่งการเห็นนั้น เธอย่อมกำหนดรูปและอรูปว่า องค์ฌานจัดเป็นอรูป, (หทัย) วัตถุเป็นต้นจัดเป็นรูป. อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้น ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว กำหนดภูตรูปทั้ง ๔ ด้วยอำนาจปฐวีธาตุเป็นต้น ใน บรรดาส่วนทั้งหลายมีผมเป็นอาทิ และรูปซึ่งอาศัยภูตรูปนั้น ย่อมเห็นวิญญาณ พร้อมทั้งสัมปยุตธรรมซึ่งมีรูปตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์ หรือมีรูปวัตถุ และทวารตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์. ลำดับนั้น เธอย่อมกำหนดว่า ภูตรูปเป็นต้น จัดเป็นรูป, วิญญาณที่มีสัมปยุตธรรม จัดเป็นอรูป. -------------------------------------------- วิสุทธิ ๗ และ ญาณ ๑๖ http://abhidhamonline.org/visudhi.htm ----------------------------------------------------- viewtopic.php?f=2&t=21062 สีเล ปติฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏเยชฏํ ความว่า นรชาติชายหญิง ผู้มีปัญญาแต่กำเนิด มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสมีปัญญาบริหารจิต เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด ตั้งมั่นในศีล อบรมสมาธิและวิปัสสนาปัญญาเท่านั้น นรชนชาติชายหญิงนี้เท่านั้น จึงจะสามารถสางรกชัฏที่เป็นเสมือนข่ายคือ ตัณหาออกได้ --------------------------------------------- สมาธิ - วิปัสสนา ต่างกันอย่างไร ? http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16060 ==================================== การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ viewtopic.php?f=2&t=29201 |
เจ้าของ: | เฉลิมศักดิ์1 [ 15 ต.ค. 2012, 06:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
35-พระจูฬปันถกเถระ เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ http://www.84000.org/one/1/35.html ปัญญาทึบพี่ชายไล่สึก ----------------------------------------------- http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard ... opic=10729 ในวันนั้นพระมหาปันถกมีหน้าที่ผู้จัดภิกษุไปฉัตภัตตาหารตามที่ได่รับนิมนต์ และวันเดียวกันหมอชีวกโกมารภัจผู้สร้างวัดอัมพวัน ได้ไปเข้าเฝ้าพระศาสดาที่อัมพวนารามเมื่อฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ประสงค์ที่จะนิมนต์พระ ๕๐๐ รูปไปฉันที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น จึงไปแจ้งการนิมนต์ไว้ที่พระมหาบันถก พระมหาปันถกแจ้งให้หมอชีวกโกมารภัจทราบว่าคงจัดภิกษุให้ได้เพียง ๔๙๙ รูป เพราะมีภิกษุโง่รูปหนึ่งไม่เจริญงอกงามในธรรมวินัย เป็นผู้ไม่ควรรับนิมนต์ จึงขอเว้นภิกษุรูปนี้เสียรูปหนึ่ง นอกนั้นรับนิมนต์ให้ได้ พระจูฬปันถกได้ยินดังนั้นก็เสียใจมาก จึงตัดใจว่า เมื่อพี่ชายมิได้มีเยื่อใยในตนแล้ว ยังจะอยู่ไปทำไมในศาสนานี้ จะสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ ไปทำบุญให้ทานไปตามความสามารถของตนก็ได้ วันรุ่งขึ้น พระจูฬปันถกได้เดินทางออกจากวัดตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจะไปสึก และในวันนั้น พระศาสดาสัมมาสัมพุทะเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลกที่ควรจะเสด็จไปโปรด ทรงเห็นพระจูฬปันถกปรากฏในข่ายพระญาณ จึงเสด็จไปดักรออยู่ที่หน้าวัด เมื่อพบพระจูฬบันถกแล้วตรัสว่า "จูฬปันถก! เธอบวชในสำนักของเรา บวชอุทิศเรา เมื่อถูกพี่ชายขับไล่ ไฉนจึงไม่มาสู่สำนักของเราเล่า อย่าสึกเลย จูฬปันถก.. มาเถิด มาอยู่กับเรา” ตรัสดังนั้นแล้ว ทรงเอาพระหัตถ์ลูบศีรษะพระจูฬปันถกด้วยพระทัยกรุณา สายพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาทำให้พระจูฬบันถกมีหยาดน้ำตาคลอตา ความน้อยใจได้คลายตัวลง พระศาสดาทรงนำพระจูฬบันถกพร้อมกับข้าวของไปพระคันธกุฎีของพระองค์ ทรงให้พระจูฬปันถกนั่งที่หน้ามุขแล้วทรงพิจารณาว่า "จูฬปันถกผู้นี้มีบารมีมาทางใดหนอ?" คือเคยทำบารมีมาทางด้านใดในอดีต (ท่านอาจารย์อธิบายว่า อาการที่พระพุทธองค์ทรงพระจูฬบันถกพร้อมข้าวของไปยังพระคันธกุฎีนั้น เป็นธรรมเนียมการต้อนรับอย่างเต็มใจของคนในสมัยนั้น ที่มีความยินดียิ่งที่จะให้มาอยู่ด้วยในบ้านหรือในอาณาบริเวณ) เมื่อทรงทราบด้วยพระญาณโดยตลอดแล้ว จึงประทานผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้ผืนหนึ่ง พร้อมรับสั่งว่า "จูฬปันถก! เธอนั่งผินหน้าไปทางทิศตะวันออกนะ ลูบผ้าผืนนี้ พลางบริกรรม (นึกในใจ หรือออกเสียงเบาๆ ) ว่า "รโชหรณํ รโชหรณํ" (ผ้าเช็ดธุลี) เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็มีผู้มาทูลอาราธนาให้เสด็จไปบ้านหมอชีวกตามที่ได้นัดหมายไว้ (ท่านอาจารย์ได้ตั้งคำถามขึ้นว่า ทำไมจึงตรัสให้พระจูฬบันถกนั่งผินหน้าไปทางทิศตะวันออก หลวงพ่อเสือท่านได้อธิบายว่า ในอินเดียนั้นเวลาที่อากาศร้อนก็จะร้อนจัด และเมื่อนั่งหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ก็จะยิ่งร้อนมีเหงื่อไหลออกตามร่างกายมาก คราบไคลก็ติดอยู่ที่ผ้าก็จะชัดเจน) ฝ่ายพระจูฬปันถก นั่งมองดูดวงอาทิตย์ มือลูบผ้าพลางบริกรรมว่า "รโชหรณํ รโชหรณํ" เมื่อมองดูผ้าบ่อยๆ ได้เห็นผ้านั้นเปื้อนเหงื่อคราบไคลทำให้ผ้านั้นเศร้าหมองไป ท่านจึงคิดว่า "ผ้านี้สะอาดแท้ๆ แต่เป็นเพราะอาศัยอัตตภาพนี้(คือร่างกายนี้) มันจึงเศร้าหมองไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ" เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว เริ่มมองเห็นความสิ้นและความเสื่อมแห่งสังขารทั้งปวง ได้เจริญอยู่ในวิปัสสนาในขั้นสัมสนญาณ ในขณะนั้นพระศาสดาประทับนั่งอยู่บ้านหมอชีวก ส่งพระญาณตามกระแสจิตของพระจูฬปันถก ทรงทราบว่า บัดนี้จิตของพระจูฬปันถกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วแต่ติอยู่ในนิกันติบางประการ ทรงเปล่งพระรัศมีมาปรากฏประหนึ่งประทับอยู่ต่อหน้าของพระจูฬปันถก แล้วตรัสว่า "จูฬปันถก! เธออย่าคิดแต่เพียงว่า "ท่อนผ้านี้เท่านั้นเศร้าหมองเปื้อนธุลี" แต่เธอจงคิดถึงธุลีภายในด้วย นั่นคือราคะ โทสะ และโมหะอันอยู่ภายใน เธอจงนำเอาธุลีนั่นออกเสีย" แล้วตรัสอีกว่า "ราคะ โทสะ และโมหะ เราเรียกว่าธุลี ฝุ่นละอองหาใช่ธุลีไม่ คำว่า ธุลีเป็นคำเรียก ราคะโทสะ และโมหะ ภิกษุผู้ละธุลีมีราคะเป็นต้นได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุขในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี" เมื่อจบพระดำรัสของพระศาสดาสพระจูฬปันถกก็ได้บรรลุอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายในทันใดนั้นเอง เหตุที่สำเร็จอรหัตผลเร็วก็เพราะว่า พระจูฬปันถกนั้นมีอุปนิสัยมาทางผ้าเปื้อนธุลีคือเป็นผู้มีราคะจริต ชอบความสะอาด เมื่อเกิดความสกปรกขึ้นก็จะไม่ชอบ และเห็นจะความเสื่อมปรากฏได้ง่าย พระพุทธองค์ทรงทราบถึงจริตนั้นจึงทรงประทานอุปกรณ์อันเหมาะสมแก่อุปนิสัยของท่านได้โดยตรง เพราะพระจูฬปันถกในอดีต ท่านเคยเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่ง วันหนึ่งทรงเสด็จเวียนไปรอบพระนคร ก็มีเหงื่อไหลออกมาจากพระหน้าผาก ทรงเอาผ้าสะอาดเช็ดเหงื่อนั้น ทรงได้อนิจจสัญญาจากผ้าว่า "ผ้าสะอาดอย่างนี้ เศร้าหมองแล้วเพราะอาศัยสรีระนี้ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ" พระศาสดาทรงทราบเรื่องนี้ดีว่า อนิจสัญญาได้ฝังเป็นอุปนิสัยของท่านตั้งแต่อดีตชาตินั้นมา ผ้าเช็ดธุลีจึงเป็นปัจจัยแห่งอุปนิสัยที่เหมาะสมของพระจูฬบันถก -------------- ผมว่าเป็นการยากมากในปัจจุบัน ที่จะหาวิปัสสนาจารย์ ผู้ล่วงรู้ในอดีตของเราได้ และแนะนำกรรมฐานที่ถูกกับจริตเราได้ แต่หากจะเจริญวิปัสสนา ก็ขอแนะนำดังนี้ ---------- ก็ในบรรดากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑๔ หมวดนั้น สำหรับหมวดแรกซึ่งเป็นการกำหนดลมหายใจเข้าและออกนั้น เป็นกรรมฐานที่พิเศษกว่ากรรมฐานอื่น แม้ท่านกล่าวว่า เจริญได้ง่าย เหมาะแก่คนปัญญาน้อยก็ตาม ก็พึงทราบว่า ที่นับได้ว่าเจริญได้ง่ายก็เกี่ยวกับสักแต่มุ่งจะทำจิตให้สงบไปอย่างเดียวเท่านั้น กล่าวคือจิตที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย กระสับกระส่าย จะสงบได้รวดเร็ว เมื่อเพียงแต่กำหนดลมหายใจไปสักระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะต้องการให้จิตที่สงบไปพอประมาณนั้น สงบยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ตามลำดับ จนบรรลุฌาน โดยเฉพาะได้ฌานแล้ว ใช้ฌานนั้นเป็นบาทแห่งการเจริญวิปัสสนาต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้แสนยากอย่างยิ่ง ผู้มีปัญญาสามารถจริง ๆ เท่านั้น จึงจะกระทำได้ เหตุผลในเรื่องนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในหนังสือเรื่องหยั่งลงสู่พระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ผู้ต้องการเจริญสติปัฏฐานเพื่อความพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่สักแต่ว่าทำจิตให้สงบ น่าจะคำนึงถึงหมวดอื่น ๆ ก่อนหมวดกำหนดลมหายใจนี้ แม้ใน ๑๓ หมวดที่เหลือ ตกมาถึงยุคสมัยนี้ซึ่งเป็นยุคที่พระพุทธศาสนากำลังเสื่อมไปตามลำดับ ก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายเสียทีเดียว กล่าวคือ สัมปชัญญบรรพซึ่งเป็นหมวดพิจารณาอิริยาบถย่อยนั้น ยังทำได้ยากสำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญในการพิจารณาอิริยาบถ ๔ ใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นของหยาบกว่า มาก่อน การใส่ใจความเป็นปฏิกูลในอาการ ๓๒ เล่า ก็เป็นของทำได้ยากในยุคสมัยนี้ที่นิยมวัตถุ ดื่มด่ำในความสวยความงาม เพราะเหตุนั้น เมื่อจะทำใจให้น้อมไปว่าเป็นของปฏิกูล ไม่งามอยู่เนือง ๆ ย่อมเป็นภาระหนัก ส่วนการพิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ ๔ มีธาตุดินเป็นต้น โอกาสที่จะกลายเป็นเพียงความนึกคิดเอาอย่างฉาบฉวย ไม่ได้สัมผัสตัวสภาวะที่เป็นธาตุดินเป็นต้น ด้วยปัญญาจริง ๆ ก็มีได้มาก สำหรับการพิจารณษซากศพ ๙ อย่าง ก็เป็นหมวดที่แทบจะหาโอกาสบำเพ็ญไม่ได้เอาทีเดียว เกี่ยวกับหาซากศพที่จะใช้เจริญกรรมฐานยากหนักหนา เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น ระเบียบกฏเกณฑ์ของบ้านเมืองไม่ยอมให้มีการทิ้งซากศพให้เน่าเปื่อยอยู่ตามที่ต่าง ๆ อย่างเปิดเผย แม้แต่ในป่าช้า ด้วยเหตุว่า เป็นที่อุจาดนัยน์ตาของผู้พบเห็น เป็นที่แพร่เชื้อโรค และเป็นเรื่องล้าหลัง ส่วนหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ เดิน ยืน นั่ง นอน หมวดเดียวที่เหลืออยู่นี้เท่านั้นที่เป็นกรรมฐาน อันเป็นอารมณ์ของการพิจารณาที่หาได้ง่าย เพราะอิริยาบถ ๔ นี้ มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา คนเราต้องการทรงกายอยู่ใดอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งแน่นอน ไม่มีว่างเว้นจากอิริยาบถ อนึ่ง ในเวลาที่ทรงกายอยู่ในอิริยาบถใดก็ตามก็ย่อมรู้แน่อยู่แก่ใจที่เดียวว่า เวลานี้กำลังทรงกายอยู่ในอิริยาบถนั้น คือ รู้ดีว่าเวลานี้กำลังเดินอยู่ หรือยืนอยู่ หรือนั่งอยู่ หรือนอนอยู่ เพราะอาการอย่างนั้นอย่างนั้น แสดงให้ทราบ จึงจัดได้ว่าเป็นของปรากฏชัด เมื่อเป็นเช่นนี้ การกำหนดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จึงน่าจะกระทำได้ง่ายกว่าหมวดอื่น ๆ เพราะเหตุนั้นนั่นแหละผู้ใคร่เจริญสติปัฏฐานได้โดยสะดวก พึงคำนึงถึงการพิจารณาอิริยาบถ ๔ นี้ ก่อนเถิด และในที่นี้ก็ใคร่ขอแสดงวิธีเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถนี้เป็นนิทัสสนะ การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ viewtopic.php?f=2&t=29201 |
เจ้าของ: | firstini [ 19 ต.ค. 2012, 20:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยตอบปัญหาการทำสมาธิของผมหน่อยคับด่วนๆ |
gtagtaza เขียน: ผมสับสนอะคับช่วยผมหน่อยเถอะผมปฏิบัติมาหลายกรรมฐานแล้วคับไม่พบความสงบซักที ผมต้องทำยังอะคับถึงจะรู้ว่าตอนอดีตชาติเคยสำเร็จกรรมฐานกองไหนไว้ เห็นหลวงพ่อลิงดำบอกว่าถ้าทำกรรมฐานกองที่เคยสำเร็จในอดีตชาติมาก่อนจะสามารถสำเร็จกรรมฐานกองนั้นได้เร็วมาก ช่วยตอบผมหน่อยคับ เคยคิดบ้างไหมว่า บางทีเราอาจจะยังไม่เคยสำเร็จสักกองเลย ฮ่าๆๆๆ อย่าเครียดครับ กรรมฐานเป็นเรื่องง่าย คือ ทำไปแบบโง่ๆ อย่าไปคิดมาก เคยฟังหลวงพ่อฤาษีลิงดำพูดถึงนิวรณ์มั้ยละครับ เพราะท่านจะเทศน์เกี่ยวกับนิวรณ์เกือบทุกครั้งก่อนทำกรรมฐาน นิวรณ์ตัวฉกาจก็คือ อุทัจจะกุกกุจะ หรืออารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์อยากได้สมาธินี่แหละ คือ อารมณ์ฟุ้งซ่าน สมาธิต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ถ้าให้ผมแนะนำนะ เอาแบบง่ายๆซื่อๆ คือ ไปหาก้านไม้ขีดหรือไม้จิ้มฟันก็ได้ พอหายใจเข้า หายใจออก ๑ ครั้ง จะภาวนาด้วยหรือไม่ก็ได้ พอหายใจเข้า ออก ๑ ครั้ง ก็เอาก้านไม้ ออกจากกองไป ๑ ก้าน พอหายใจเข้า ออก ๒ ครั้ง ก็เอาออกไปอีกหนึ่งก้าน ทำไปเรื่อยๆ ครบ ๑๐ ก้าน ก็พอ โดยตั้งจิตไว้ว่า ถ้าระหว่าง ๑๐ ก้านนี้ ถ้าวอกแวกไปเรื่องอื่นก่อน ก็จะเริ่มใหม่ ทำแค่ ๑๐ ก้านนี่แหละครับ ทำให้คล่อง แล้วจะได้ดีเอง แล้วก็ลองเสิรชคำว่า กรรมฐานแก้อารมณ์ฟุ้ง ดูนะครับ จะมีเวบหลวงพ่อสอนกรรมฐานแก้อารมณ์ฟุ้ง ลองฟังดู |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |