ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สนทนากับคุณไร้นา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=34937 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | walaiporn [ 08 ต.ค. 2010, 22:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | สนทนากับคุณไร้นา |
ไร้นา เขียน: การ ได้ฌาณ แบบมิจฉาสมาธิ จะแก้ไขปรับปรุงให้เป็น สัมมาสมาธิได้อย่างไร ครับ และการมีสติ มีสัมปชัญยะ รู้สึก รู้ตัว อยู่ทุกขณะ ทำยากใหมครับ ขอคำแนะนำด้วยครับเรื่องการมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อนุโมทนาครับ จะสนทนาเรื่องฌาน ก็ต้องขอซักถามเรื่องสภาวะ ไม่ทราบว่าคุณจะสะดวกไหมคะ? เพราะเท่าๆที่อ่านสภาวะของคุณในกระทู้นี้ สภาวะมีเพียงเล็กน้อย ข้อมูลยังไม่พอค่ะ viewtopic.php?f=2&t=34547 |
เจ้าของ: | walaiporn [ 08 ต.ค. 2010, 22:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
ไร้นา เขียน: ขอคำแนะนำด้วยครับเรื่องการมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อนุโมทนาครับ ตรงนี้จะพูดสภาวะแบบหยาบๆก่อนนะคะ สัมมาสติ ต้องอาศัยการฝึกเจริญสติค่ะ สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีสัมมาสติเกิดขึ้นแล้ว |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2010, 08:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
ไร้นาไม่มาส่งตัวแทนมาได้ไหมครับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2010, 08:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
walaiporn เขียน: ไร้นา เขียน: ขอคำแนะนำด้วยครับเรื่องการมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อนุโมทนาครับ ตรงนี้จะพูดสภาวะแบบหยาบๆก่อนนะคะ สัมมาสติ ต้องอาศัยการฝึกเจริญสติค่ะ สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีสัมมาสติเกิดขึ้นแล้ว ทั้งคำถามคำตอบก็ยังอยู่กับศัพท์บาลีสองคำ คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เข้าภาคปฏิบัติเลยครับว่า ทำหรือปฏิบัติยังไง คำศัพท์สองคำนั้น จึงจะเกิดมีขึ้นในจิตสันดาน มุ่งเน้นไปที่วิธีปฏิบัติหรือวิธีทำกัน เลยครับ เอาเหดุก่อน |
เจ้าของ: | walaiporn [ 09 ต.ค. 2010, 18:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
กรัชกาย เขียน: ทั้งคำถามคำตอบก็ยังอยู่กับศัพท์บาลีสองคำ คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เข้าภาคปฏิบัติเลยครับว่า ทำหรือปฏิบัติยังไง คำศัพท์สองคำนั้น จึงจะเกิดมีขึ้นในจิตสันดาน มุ่งเน้นไปที่วิธีปฏิบัติหรือวิธีทำกัน เลยครับ เอาเหดุก่อน คุยกับใคร? ![]() กรัชกาย เขียน: เอาเหดุก่อน เข้าใจคำว่า " เหตุ " นั้นว่าอย่างไรบ้าง? |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ต.ค. 2010, 07:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
walaiporn เขียน: กรัชกาย เขียน: ทั้งคำถามคำตอบก็ยังอยู่กับศัพท์บาลีสองคำ คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เข้าภาคปฏิบัติเลยครับว่า ทำหรือปฏิบัติยังไง คำศัพท์สองคำนั้น จึงจะเกิดมีขึ้นในจิตสันดาน มุ่งเน้นไปที่วิธีปฏิบัติหรือวิธีทำกัน เลยครับ เอาเหดุก่อน คุยกับใคร? ![]() คุยกับเจ้าแม่ประสบการณ์สติปัฏฐานอ่ะคับ กรัชกาย เขียน: เอาเหดุก่อน เข้าใจคำว่า " เหตุ " นั้นว่าอย่างไรบ้าง? เหตุคือสิ่งที่ยังผลให้เกิดขึ้น ก็อย่างที่ถามข้างบนนั้นว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นเพียงศัพท์บาลี เป็น ตัวหนังสือให้อ่านกัน จึงถามว่า เราจะทำ (สร้างเหตุ) ยังไงให้ผลนั้นเกิดขึ้น |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ต.ค. 2010, 07:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
ลายเซ็นที่ว่า อ้างคำพูด: ละเหตุได้ เป็นสุขในที่ทั้งปวง ความหมดกิเลสทั้งปวงเป็นทางดับทุกข์ทั้งหลาย แล้วเหตุดังว่านั่นล่ะหมายถึงอะไร แล้วเราจะทำยังไงให้กิเลสหมดไป เพื่อจะได้เป็นสุข (ดับทุกข์) บอกวิธีทำให้กิเลสหมดด้วย |
เจ้าของ: | walaiporn [ 10 ต.ค. 2010, 17:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
เชิญคุยไปคนเดียวตามสบายนะคะ ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 10 ต.ค. 2010, 19:33 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา | ||
อ้าว...บอกให้คุยคนเดียวสะแระ แล้วที่ถามนั่นล่ะ ตอบหน่อยสิครับ
|
เจ้าของ: | ไร้นา [ 11 ต.ค. 2010, 21:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
สวัดดีคุณ walaiporn , คุณ กรัชกาย ครับ ไม่ได้เข้ามาสองวัน มีอะไรดีๆ อะไรที่ต้องหาคำตอบ ชอบๆ ดีครับคุยเรื่องธรรมมะ เรื่องสภาวะ เป็นอะไรที่ต้องเจริญ เพื่มเติมความเพียรครับ เรื่องสภาวะที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันผมเข้าใจว่าสมาธิผม เป็นแบบมิจฉาสมาธิเสียมากกว่าสัมมาสมาธิ เพราะว่าบางครั้งพยายามตั้งจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำอยู่นานๆสมาธิจะค่อยๆอ่อนกำลังลงจนหมดไปคือว่า เบลอ ไปเลย อย่างเช่นอ่านหนังสืออยู่ อ่านไป อ่านไป สองสามประโยคที่ผ่านมา จนถึงประโยคปัจจุบันคืออะไรไม่เข้าใจเฉยเลย ไม่เข้าใจคือเบลอๆ เฉยๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน จนต้องกลับไปอ่านใหม่อีกรอบจึงจะรู้ เข้าใจถูกต้อง ตามเป็นจริง แต่ตรงกันข้ามกับเมื่อเรามีสมาธิ สมาธิตรงนี้คือ มีความตั่งใจ สนใจ ติดตาม เรื่องนั้นที่อ่านอยู่ก็จะเข้าใจได้ดีเร็ว ไม่มีอะไรสงสัย ถึงแม้จะอ่านหลายสิบหน้าก็ตาม และอีกอย่างที่มีสมาธิมากคือการขับรถบอกไม่ถูกอีกนั่นแหละว่าสภาวะเป็นไง รู้แต่ว่า มันบังคับตัวมันเองให้มีสมาธิ และเรามีสมาธิดีกว่าปรกติครับ สภาวะจากการนั่งสมาธินั้น ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ไม่น่าเป็นห่วงคือขึ้นอยู่กับความตั่งมั่นความพร้อมของร่างกาย เรื่องใจเต็นเร็วนั้นไม่เกิดขึ้นเลย ไม่เกิดขึ้นเพราะเรารู้สาเหตุ เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นครับ เรื่ององค์ฌาณนั้น ก็เป็นไปตามขั้น วิตก วิจาร ปิติ สุข แต่ยังไม่ถึงอัปปานาสมาธิ พอจะพูดให้เห็นภาพคือ สว่าง สว่างไปหมด ไม่มีความเป็นโลกใบนี้เหลืออยู่เลย ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่รู้ได้ ว่าสุขมาก สุขอย่างหาสุขจากที่ใดในโลกไม่ได้เลย แม้จะเปรียบกับสุขในโลกนี้ที่ได้เกิดมา พบมาแม้เพียงเศษเสี้ยวไม่อาจจะเปรียบได้เลย ผมจึงหลงยึดเป็นอารมณ์มานานหลายเดือน รู้ว่าหลงเพราะว่าไม่สามารถทำให้มันยั่งยืนถาวรได้เลย กลับกันหากไม่เป็นดั่งหวัง เป็นทุกข์ด้วยซ้ำ มิอาจยึดถือว่าเป็นของเราได้เลย ถ้าวันใหนมีความพร้อมทุกๆด้าน ก็มีสมาธิ สมาธิแค่ปราศจากนิวรณ์ 5 ไม่มีอะไรวับๆแวมๆทั้งนั้น เอาละแค่นี้นะครับไม่มีอะไรมากสมาธิ ในการนั่งสมาธิ แต่สมาธิในทุกอริยาบท ทุกลมหายใจนี่สิสำคัญจะต้องเรียนรู้ ปฎิบัติให้ถูก จึงจะเกิดผล จึงขอคำแนะนำจากผู้เจริญในธรรมในเวปแห่งนี้ครับ |
เจ้าของ: | walaiporn [ 12 ต.ค. 2010, 19:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
ไร้นา เขียน: เรื่องสภาวะที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันผมเข้าใจว่าสมาธิผม เป็นแบบมิจฉาสมาธิเสียมากกว่าสัมมาสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นมิจฉาสมาธิหรือสัมมาสมาธิ ล้วนมีประโยชน์ค่ะ เพียงแต่ว่าจะรู้จักวิธีนำสมาธิเหล่านั้นออกมาใช้ให้ถูกทางหรือเปล่าเท่านั้นเอง ไร้นา เขียน: เรื่องใจเต็นเร็วนั้นไม่เกิดขึ้นเลย ไม่เกิดขึ้นเพราะเรารู้สาเหตุ เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นครับ เรื่องหัวใจเต้นเร็วหรือได้ยินเสียงของการเต้นของหัวใจดังแบบชัดเจนนั้น เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเจอในการปฏิบัติ หรือแม้กระทั่งไม่ได้ปฏิบัติก็ตาม ยังไงก็ต้องเจอ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่เข้าใจว่า เหตุเป็นเพราะอะไรจึงมีอาการเหล่านี้ได้ เรียกว่า ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ย่อมเกิดอาการเหล่านี้ได้ค่ะ การได้ยินเสียงหัวใจเต้นแบบชัดเจน ถึงแม้จะอยู่ในอริยาบทใดๆก็ตาม อันนี้เป็นเรื่องของจิตเป็นสมาธิในระดับหนึ่ง เราจะไปตั้งใจให้เกิดขึ้น ทำให้เกิดขึ้นเองไม่ได้หรอกค่ะ ไร้นา เขียน: เรื่ององค์ฌาณนั้น ก็เป็นไปตามขั้น วิตก วิจาร ปิติ สุข แต่ยังไม่ถึงอัปปานาสมาธิ เรื่องของฌาน และ สมาธิในระดับอื่นๆ ยังมีการเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่ อันนี้ว่าตามสภาวะนะคะ จริงอยู่ องค์ประกอบของฌาน ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แต่ในระดับของสมาธิโดยทั่วๆไป ก็ประกอบไปด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เช่นเดียวกัน ไร้นา เขียน: พอจะพูดให้เห็นภาพคือ สว่าง สว่างไปหมด ไม่มีความเป็นโลกใบนี้เหลืออยู่เลย ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โอภาสนี่เป็นเรื่องปกติ ที่ผู้ปฏิบัติส่วนมากจะเจอกัน ส่วนความสว่าง จะสว่างมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิในขณะนั้นๆ ไร้นา เขียน: ไม่มีความเป็นโลกใบนี้เหลืออยู่เลย ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วแต่จะให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นค่ะ จะให้ค่าแบบไหนๆก็ได้ แล้วแต่เหตุของแต่ละคน ไร้นา เขียน: แต่รู้ได้ ว่าสุขมาก สุขอย่างหาสุขจากที่ใดในโลกไม่ได้เลย แม้จะเปรียบกับสุขในโลกนี้ที่ได้เกิดมาพบมา แม้เพียงเศษเสี้ยวไม่อาจจะเปรียบได้เลย สุขในสมาธิมีหลายระดับ เฉกเช่นเดียวกับปีติ ปีติ สุข ในสมาธิทั่วๆไปก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ปีติ สุข ในปฐมฌาน ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ปีติ สุข ในทุติยฌาน ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง สุขในตติยฌาน ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ปีติ สุขที่เกิดขึ้นแต่ละสภาวะจะมีจุดเด่นที่เห็นชัดแตกต่างกันไป ไร้นา เขียน: ไม่มีอะไรมากสมาธิ ในการนั่งสมาธิ แต่สมาธิในทุกอริยาบท ทุกลมหายใจนี่สิสำคัญจะต้องเรียนรู้ ปฎิบัติให้ถูก จึงจะเกิดผล จึงขอคำแนะนำจากผู้เจริญในธรรมในเวปแห่งนี้ครับ สติ สัมปชัญญะค่ะ คือสิ่งที่ควรเรียนรู้ ส่วนสมาธินั้นจะเจริญงอกงามมากขึ้นเรื่อยๆตามกำลังของสติ และสัมปชัญญะ ที่ใดมี สัมมาสติ ( สติ+สัมชัญญะ ) ที่นั่นย่อมมี สัมมาสมาธิ ปัญญาย่อมเกิด ที่ใดขาดสัมมาสติ ( มีแต่สติ ขาดสัมปชัญญะ ) ที่นั่นมีแต่มิจฉาสมาธิ ปัญญาย่อมบังเกิดขึ้นได้ยาก เพราะสมาธิบดบังปัญญาที่จะให้เห็นตามความเป็นจริงได้ เนื่องจาก กิเลสถูกกดข่มเอาไว้ด้วยกำลังของสมาธิ แต่ทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนไป ด้วยการปรับอินทรีย์ จากมิจฉาสมาธิก็เปลี่ยนเป็นสัมมาสมาธิได้ ส่วนที่คุณคิดแบบนี้ในขณะนี้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แล้วแต่เหตุที่ทำมาของแต่ละคนค่ะ |
เจ้าของ: | ไร้นา [ 12 ต.ค. 2010, 20:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
อ้างคำพูด: ที่ใดมี สัมมาสติ ( สติ+สัมชัญญะ ) ที่นั่นย่อมมี สัมมาสมาธิ ปัญญาย่อมเกิด ที่ใดขาดสัมมาสติ ( มีแต่สติ ขาดสัมปชัญญะ ) ที่นั่นมีแต่มิจฉาสมาธิ ปัญญาย่อมบังเกิดขึ้นได้ยาก เพราะสมาธิบดบังปัญญาที่จะให้เห็นตามความเป็นจริงได้ เนื่องจาก กิเลสถูกกดข่มเอาไว้ด้วยกำลังของสมาธิ แต่ทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนไป ด้วยการปรับอินทรีย์ จากมิจฉาสมาธิก็เปลี่ยนเป็นสัมมาสมาธิได้ การปรับอินทรีย์ปฏิบัติอย่างไรครับ สั้นๆครับ แต่ความหมายสำคัญกับผมมากครับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 12 ต.ค. 2010, 21:24 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา | ||
คุณไร้นา อย่าเอาอะไรจริงๆจังๆกับคุณวลัยพรนักเลยครับ เล่นๆหนุกหนานพอได้ ![]()
|
เจ้าของ: | walaiporn [ 12 ต.ค. 2010, 21:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา |
ไร้นา เขียน: การปรับอินทรีย์ปฏิบัติอย่างไรครับ สั้นๆครับ แต่ความหมายสำคัญกับผมมากครับ การปรับอินทรีย์ ถ้าเกี่ยวกับสภาวะ จะดูในเรื่องของสติ สัมปชัญญะและสมาธิเป็นหลัก เพราะเมื่อทำได้ตรงนี้แล้วศรัทธาและปัญญา จะเจริญงอกงามขึ้นมาเองตามสภาวะ อันนี้ก็แล้วแต่เหตุของแต่ละคนด้วยนะคะ มันไม่แน่เสมอไป ถ้าสมาธิมาก หรือขาดความรู้สึกตัวในขณะที่จิตเป็นสมาธิ เช่น ในกรณีเกิดโอภาส รู้ว่าเกิด แต่ไม่สามารถรู้ที่กายได้ หรือเวลาที่จิตเป็นสมาธิ แค่รู้ว่าเป็นสมาธิ รู้สึกเหมือนกายหายไปหมด และไม่สามารถรู้กายได้ ตลอดจนไม่สามารถรู้การเคลื่อนไหวหรือการทำงานของกายที่มีอยู่ได้ วิธีปรับคือ เดินจงกรมให้มากกว่านั่ง หรือนั่งให้น้อยลง คราใดที่เกิดโอภาสแล้วสามารถรู้การเคลื่อนไหวของกายได้ตลอด จึงค่อยๆเพิ่มการนั่ง ให้เสมอกับการเดิน แต่ถ้าเพิ่มแล้ว ขาดการรู้กายอีก ให้ปรับนั่งลงมาเหมือนเดิม ปรับไปปรับมาแบบนี้ จนกว่าจิตจะรู้อยู่ในกายได้โดยไม่ส่งออกนอกองค์กรรมฐาน นำมาให้อ่าน นี่คือตัวอย่างของผู้ปฏิบัติที่มีพื้นฐานสมถะมาก แต่สติยังไม่ทัน จึงมีนิมิตเกิดตลอด ขณะที่เกิดนิมิต ไม่สามารถรู้ที่กายได้ เขาปรับอินทรีย์มาตลอด จากนั่งมาก ลดนั่งลง เพิ่มเดิน ทำอย่างต่อเนื่อง เขาดูของเขาเอง ปรับเองเพราะรู้แนวทางแล้ว says: ปฏิบัติเอง แล้วรู้เอง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรางตรัสสอนไว้ เป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติ แปลกนะค่ะ...เคยอ่านมาแล้วสองครั้ง ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วก็มาอ่านที่ใครๆ โพสต์ไว้เรื่อง สติปัฏฐานสี่ หรือเรื่อง การปฏิบัตต่างๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จนมาอ่านเรื่องนี่อีกเป็นครั้งที่สาม จึงเข้าใจขึ้นมาก... คงจะจริงนะที่บอกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย จะส่งผล หรือได้รับผล ก็ต้องขึ้นอยู่กับกาล สถานทีและตัวบุคคละ สุขที่แท้จริง says: เรื่องปกติค่ะ มันต้องเข้าใจโดยสภาวะก่อน เมื่อมาอ่านแล้วถึงจะเข้าใจในตัวบัญญัติ says: ค่ะ ตอนนี้เริ่มเข้าใจมากกว่าเดิมแล้วค่ะ สุขที่แท้จริง says: อันนี้ตำราของพม่านะคะ เรื่องสติปัฏฐาน 4 ของหลวงพ่อภัททันตระ เมื่อก่อนอ่านแล้วก็งงในหลายๆเรื่อง แต่ตรงไหนที่สภาวะผ่านแล้ว แค่หยาบๆจะรู้แบบแค่หยาบๆก่อน ตอนที่อ่านคำสอน ของพระอรหันต์ทุกท่านที่บันทึกไว้ เขียนไว้เหมือนกันหมด คือให้รู้อยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรม ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น มีแค่นี้ อ่านแล้วก็งง ในตอนนั้นน่ะค่ะ แล้วทำยังไงหว่า แบบเราทำนี่ไม่ถูกหรือไง แต่ทำไมสิ่งที่รู้ตรงในตำราล่ะ แล้วข้อสงสัยต่างๆก็ได้คำตอบจากสภาวะเอง เดี๋ยวนี้เลยไม่สงสัยอะไร says: ค่ะ...เหมือนกัน เมื่อก่อนขนาดบอกให้กำหนด รู้ อริยบท ก็ไม่ค่อยเข้าใจ เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้ว ว่าก็คือให้อยุ่กับปัจจุบันนั้่นเอง แล้วการที่จะทำให้อยู่ปัจจุบันที่ง่ายที่สุด ก็คือรู้ที่กาย ความเคลื่อนไหว พอทำได้ ใจก็สงบจริงๆ ว่างๆ โล่งๆ แต่ก็อย่างว่านะค่ะ ยังคงอยุ่ได้ไม่นาน แป๊ปเดียวก็ซัดส่ายออกไปอีก แล้วก็ร้อนรุ่มขึ้นมาอีก ตอนนี้พยายามจะเพิ่มการปฏิบัติให้บ่อยขึ้น ไม่ใช่มากขึ้นนะค่ะ แต่คิดว่าบ่อยขึ้นน่าจะดีกว่า สุขที่แท้จริง says: นั่นแหละค่ะ แรกๆมันจะรู้แบบนั้นทีละน้อย แล้วมันจะชัดมากขึ้น รู้ในกายได้นานมากขึ้น ถึงบอกไงคะ ตัวเวลาของการนั่งไม่ใช่ตัววัดผล การทำมากหรือน้อยล้วนเกิดจากเหตุของแต่ละคน สัปปายะเลยแตกต่างกันไป ตัวเราน่ะจะรู้ด้วยตัวเอง เวลาที่รู้อยู่ในกาย แรกๆจะเป็นแบบนี้แหละค่ะ ทีละนิด ตัวสำคัญ สภาวะภายนอกนี่แหละค่ะ ตัวแปรของสภาวะภายใน เพราะการกระทำภายนอกทั้งหมด มันส่งผลต่อการปฏิบัติด้วยน่ะค่ะ ถ้าข้อความยาวเกินไป ต้องขออภัยด้วยค่ะ เพราะอธิบายด้วยสภาวะ จะมาอธิบายแบบสั้นๆเหมือนบัญญัติไม่ได้ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 12 ต.ค. 2010, 21:40 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: สนทนากับคุณไร้นา | ||
ต้องกระตุ้นต่อมทิฐิ 5 นาทีโผล่ เขาถามเป็นชั่วๆไม่มา ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |