ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ม ร ร ค ไ ม่ ง่ า ย : พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=33974
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  กุหลาบสีชา [ 20 ส.ค. 2010, 16:39 ]
หัวข้อกระทู้:  ม ร ร ค ไ ม่ ง่ า ย : พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

รูปภาพ

ม ร ร ค ไ ม่ ง่ า ย
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
สถานพำนักสงฆ์ บ้านไร่ทอสี
อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา


การปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากลำบาก

แต่ว่ามรรคจะเกิดขึ้นโดยอาศัยความยากลำบาก
ง่ายกว่าที่จะเกิดขึ้นจากความสะดวกสบาย
เพราะความสะดวกสบาย
มักทำให้เราประมาท

แต่เมื่อเรากำลังสู้กับกิเลส
นี่แหละ ! ที่เรากำลังมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ


ฉะนั้นเมื่อเราเกิดความรู้สึกขลุกขลัก
ตะเกียกตะกายหรือล้มลุกคลุกคลานก็ไม่เป็นไร
อันนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า
การปฏิบัติของเรากำลังเข้าที่


เหมือนกับว่าเขามานวดเส้นเรา
ที่ไหนไม่เจ็บ เราก็ไม่ให้เขานวด
แต่พอถูกที่เจ็บ
เออ ! ๆ เข้าท่าแล้ว มันถูกแล้ว
เพราะว่ามันปวด

การปฏิบัติต้องเป็นอย่างนี้
มันต้องปวด มันต้องเจ็บ
มันต้องลำบากเสียก่อน
อย่างที่ภาษิตอิสานท่านว่า


“มักง่ายได้ยาก ลำบากได้ดี”

:b8: :b8: :b8:

(ที่มา “เพื่อนนอก เพื่อนใน” โดย พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ,
พิมพ์ครั้งที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๗, โดย กองทุนเสถียรธรรม เสถียรธรรมสถาน, หน้า ๑๕)

เจ้าของ:  ธรรมบุตร [ 20 ส.ค. 2010, 17:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ม ร ร ค ไ ม่ ง่ า ย : พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

รูปภาพ
:b8: อนุโมทนา..สาธุ..ครับ..คุณโรส :b8:

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 06 ก.ย. 2010, 21:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ม ร ร ค ไ ม่ ง่ า ย : พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

มัคคปฏิปทา นั้นทวนกระแส
การทวนกระแส ย่อมต้องฝืนจิตฝืนใจ ที่เคยชินไปกับกระแส

บางทีเรายังตามกระแส แต่ก็คิดว่าทวนกระแสอยู่ก็มี

มัคคปฏิปทานี้ ไม่ใช่ของง่ายจริงๆ :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  suthee [ 13 ก.ย. 2010, 19:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ม ร ร ค ไ ม่ ง่ า ย : พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

อริยสัจจ์๔แห่งจิต ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลที่เกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลที่เกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต suthee
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์(หรือนิพพานนั่นเอง)
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) suthee

this nation is last our nation , we don't come back to are born again time stump
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราไม่กลับมาเกิดอีกตลอตอนันตกาล
suthee

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/