ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=33773
หน้า 1 จากทั้งหมด 6

เจ้าของ:  mes [ 11 ส.ค. 2010, 09:35 ]
หัวข้อกระทู้:  ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

http://www.google.co.th/search?q=%E0%B8 ... hl=th&sa=2


เมล็ดพันธุ์กรรม
อาจารย์บุษกร : ขอประทานโทษนะคะ ก่อนที่ท่านจะเข้ามาที่นี่ ท่านมีพื้นฐานทางด้านการปฏิบัติมาด้านไหนบ้างคะ



พระภิกษุ : เคยปฏิบัติสมาธิมา ก่อน ยังกำหนดไม่ค่อยถูก



อาจารย์บุษกร : ท่านต้องเข้าใจสักนิดนะคะว่า สมาธิต่างกับวิปัสสนา ถ้าคุณพ่อคือพระอาจารย์บุญมี เมธางกูรยังอยู่ท่านก็จะบอกว่า สมาธิต่างกับวิปัสสนาราวฟ้ากับดิน เพราะสมาธินั้นเราทำเพราะต้องการความสงบ และในช่วงหลังมานี้คนไปฝึกสมาธิกันมากมายก็เพื่อให้มีความจำดี จะเห็นว่า มีความต้องการเข้าร่วมอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ความต้องการคืออะไรคะ? ความต้องการคือตัณหา และตัณหาคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะถ้าเกิดไม่สงบขึ้นมา ผู้ต้องการนั่นแหละจะทุกข์มาก และทุกข์นี้ก็รวมถึงการเกิด คือ ชาติ ปิ ทุกขา เพราะผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ

เจ้าของ:  mes [ 11 ส.ค. 2010, 09:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

เห็นเหลิมแวบๆ

สมาธิเป็นทุกข์โอ้ว์ พระเจ้าจอร์จ
บิดเบือนหรือป่าว

สัทธรรมปฏิรูปไหม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 11 ส.ค. 2010, 09:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

รูปภาพ

:b1: :b12:

เจ้าของ:  mes [ 11 ส.ค. 2010, 09:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

เปรียบเทียบธรรมกายกับมูลนิธิอภิธรรม

ธัมมชโย เป็นเจ้าสำนักธรรมกาย

บุญมี เป็นเจ้าสำนักมูลนิธิอภิธรรม

แม่ชีจันทร์ หางนกยูง เป็นอาจารย์วิปัสนาของธัมมชโย

อุบาสิกาแนบ นีรานนท์เป็น อาจารย์วิปัสนาของบุญมี เมธางกูร

ที่เหมือนกันคือทิฐิที่เป็นสัสสตทิฐิ

เจ้าของ:  chalermsak [ 11 ส.ค. 2010, 11:37 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

นี่หรือคือ อาการของผู้ถึงท่านพุทธทาส ที่นี้ เดี๋ยวนี้

เจ้าของ:  mes [ 11 ส.ค. 2010, 11:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

เป็นที่มาของลายเซ็น

เจโตวิมุติ(ในพุทธกาล)มีน้อยกว่าปัญญาวิมุติ


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

[๒๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่เกิดบนบกมีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิด
ในน้ำมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่กลับมาเกิดในมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กลับมา
เกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบทมีเป็นส่วน
น้อย สัตว์ที่เกิดในปัจจันตชนบท ในพวกชาวมิลักขะที่โง่เขลา มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่มีปัญญา ไม่โง่เง่า ไม่เงอะงะ สามารถที่จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และ
คำเป็นทุพภาษิตได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เขลา โง่เง่า เงอะงะ ไม่สามารถที่
จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และคำเป็นทุพภาษิตได้มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ประกอบ
ด้วยปัญญาจักษุอย่างประเสริฐ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ตกอยู่ในอวิชชา หลงใหล
มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้เห็นพระตถาคต มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้เห็น
พระตถาคตมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มีเป็น
ส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้วทรงจำไว้ได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้วทรงจำไว้
ไม่ได้ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้ มีเป็น
ส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้ มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่ไม่รู้ทั่วถึงอรรถ ไม่รู้ทั่วถึงธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มากกว่า
โดยแท้ สัตว์ที่สลดใจในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์
ที่ไม่สลดใจในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่สลดใจ
เริ่มตั้งความเพียรโดยแยบคาย มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่สลดใจไม่เริ่มตั้งความเพียร
โดยแยบคาย มากกว่าโดยแท้

สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้วได้สมาธิได้เอกัคคตาจิต มีเป็นส่วนน้อย
สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว ไม่ได้สมาธิ ไม่ได้เอกัคคตาจิตมากกว่าโดยแท้

สัตว์ที่ได้ข้าวอันเลิศและรสอันเลิศ
มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้ข้าวอันเลิศและรสอันเลิศ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วย
การแสวงหา ด้วยภัตที่นำมาด้วยกระเบื้อง มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้อรรถรส
ธรรมรส วิมุติรส มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส
มากกว่าโดยแท้ เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีส่วนที่น่ารื่นรมย์ มีป่าที่น่ารื่นรมย์
มีภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ เพียงเล็กน้อย มีที่ดอน
ที่ลุ่ม เป็นลำน้ำ เป็นที่ตั้งแห่งตอและหนาม มีภูเขาระเกะระกะเป็นส่วนมาก
ฉะนั้น เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ได้อรรถรส
ธรรมรส วิมุติรส ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษา

เจ้าของ:  chalermsak [ 11 ส.ค. 2010, 17:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

เพิ่มเติม จากที่คุณ mes สงสัยครับ

เรื่องนี้ผมนึกถึง ดาบสทั้งสอง ที่สอนการเจริญสมาธิให้ พระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้

ดาบสทั้งสอง ได้สมาธิขั้นสูงสุดแล้วครับ คือ อรูปฌาน ด้วยผลนั้นทำให้เกิดชาติ คือไปเกิดบนพรหมโลก

จากสมเด็จพระสังฆราช
http://watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=3282

ข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อชาติภพ

แต่อันที่จริงนั้น เมื่อยังมีชาติมีภพ ก็ชื่อว่ายังมีทุกข์ ยังมีกิเลส ยังไม่สิ้นทุกข์ยังไม่สิ้นกิเลส ดังที่มีความต้องการเกิดอีก แม้ในชาติภพที่เข้าใจว่ายั่งยืน และเมื่อไปเกิดในชาติภพนั้นแล้วก็ยั่งยืน มีผู้ที่เกิดอยู่ยั่งยืน และเต็มไปด้วยความสุขต่างๆ ดังฤษีทั้งหลายดาบสทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติแม้ใกล้พุทธศาสนาเข้ามามาก ดังเช่นท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร อุทกดาบสรามบุตร ปฏิบัตินับว่าสมบูรณ์อยู่มาก ในศีลในสมาธิ คือได้ถึงสมาบัติ ๗ สมาบัติ ๘ หรือว่า รูปฌาน อรูปฌาน แต่ว่าก็ติดอยู่แค่นั้น เพราะว่าต้องการที่จะไปเกิดในพรหมโลกเป็นพรหม ซึ่งเข้าใจว่าดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไปในพรหมโลกนั้น

แต่พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์เสด็จออกทรงผนวช ได้เสด็จเข้าไปทรงศึกษาในสำนักของท่านดาบสทั้งสองนั้น ก็ทรงเห็นว่ายังเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อชาติภพ เพราะฉะนั้น จึงยังมีกิเลสคือความต้องการจะไปเกิดอีก อันเป็นตัณหา และเมื่อไปเกิดอีก ความเกิดนั้นก็ยังเป็นทุกข์ เพราะเมื่อมีเกิดก็จะต้องมีแก่มีตาย เมื่อไปเกิดเป็นเทพก็จะต้องมีจุติ คือเคลื่อนออกจากความเป็นเทพในที่สุด จึงยังไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นความเวียนว่ายตายเกิด อันเรียกว่าวัฏฏสงสาร

เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันว่าท่านศาสดาและลูกศิษย์ทั้งปวงนั้นก็ยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ คือยังมีความรู้ที่ผิดจากสัจจะที่เป็นตัวความจริง ยังเห็นในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสิ้นทุกข์ ยังเห็นในสิ่งที่เป็นเหตุเกิดทุกข์ ว่าเป็นเหตุเกิดสุข เพราะฉะนั้น ความรู้ของบรรดาศาสดาและศิษย์ทั้งปวงนั้น จึงเป็นความรู้ที่ยังไม่ถึงที่สุด และเมื่อสำคัญว่าถึงที่สุด ก็เป็นความสำคัญผิด เป็นความเห็นผิด ความรู้ก็เป็นความรู้ที่ผิดจากสัจจะที่เป็นตัวความจริงดังกล่าว ยังเป็นความรู้ที่เป็นอวิชชาอยู่


--------------------------------------------------
http://www.84000.org/tipitaka/picture/f33.html

ทรงคำนึงเห็นอุปนิสัยเวไนยสัตว์เปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่าจึงรับอาราธนา

ท้าวสหัมบดีพรหมที่เสด็จมากราบทูลอาราธนา พระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาโปรดชาวโลก ดังที่ได้บรรยายไว้ในภาพที่ ๓๒ นั้น เป็นเรื่องที่กวีแต่งเป็นปุคคลาธิษฐาน คือ แต่งเป็นนิยายมีบุคคลเป็นตัวแสดงในเรื่อง ถ้าถอดความเป็นธรรมาธิษฐาน หรืออธิบายกันตรงๆ ก็คือ สหัมบดีพรหมนั้น ได้แก่พระมหากรุณาของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ถึงพระพุทธเจ้าจะทรงท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรม แต่อีกพระทัยหนึ่งซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า คือพระมหากรุณา และพระมหากรุณานี่เองที่เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยว่า จะทรงแสดงธรรม หลังจากตัดสินพระทัยแล้ว จึงทรงพิจารณาดูอัธยาศัยของของคนในโลก แล้วทรงเห็นความแตกต่างแห่งระดับสติปัญญาของคนถึง ๔ ระดับ หรือ ๔ จำพวก

๑. อุคฆฏิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมแต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง
๒. วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายความแห่งหัวข้อนั้น
๓. เนยยะ ผู้พอแนะนำได้
๔. ปทปรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง

จำพวกที่หนึ่ง เหมือนดอกบัวเปี่ยมน้ำ พอได้รับแสงอาทิตย์ก็บาน ที่สอง เหมือนดอกบัวใต้น้ำที่จะโผล่พ้นน้ำ และที่จะบานในวันรุ่งขึ้น ที่สาม เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปหน่อย ซึ่งจะแก่กล้าขึ้นมาบานในวันต่อๆ ไป และที่สี่ เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปมาก ถึงขนาดไม่อาจขึ้นมาบานได้ เพราะตกเป็นภักษาของปลาและเต่าเสียก่อน

ครั้นแล้วพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงบุคคลที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด ทรงมองเห็นภาพของดาบสทั้งสอง ที่พระองค์เคยเสด็จไปทรงศึกษาอยู่ด้วย แต่ทั้งสองนั้นก็สิ้นชีพเสียแล้ว ทรงเห็นเบญจวัคคีย์ว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงทรงตั้งพระทัยเสด็จไปโปรดเบญจวัคคีย์เป็นอันดับแรก

เจ้าของ:  chalermsak [ 11 ส.ค. 2010, 17:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

ความแตกต่างระหว่างสมถะ กับวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16060

๑. โดยปรารภผล
สมถะ เพ่ง เพื่อให้จิตสงบ ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว
วิปัสสนา เพ่ง เพื่อรู้อารมณ์ตามความเป็นจริง

๒. โดยอารมณ์
สมถะ มีนิมิตบัญญัติเป็นอารมณ์กรรมฐานเป็นส่วนมากเพราะต้องการความมั่นคง
วิปัสสนา ต้องมีรูปนาม เป็นอารมณ์ เพราะต้องเป็นอารมณ์ที่มีการเกิด – ดับ ตรงตามธรรมชาติที่เป็นความจริง

๓. โดยสภาวธรรม
สมถะ มีสมาธิ คือเอกัคคตาเจตสิก ที่ให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์
วิปัสสนา มีปัญญา รู้รูปนามว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

๔. โดยการละกิเลส
สมถะ ละกิเลสอย่างกลาง ปริยุฏฐานกิเลส
วิปัสสนา ละกิเลสอย่างละเอียด อนุสัยกิเลส

๔. โดยอาการที่ละกิเลส
สมถะ ละด้วยการข่มไว้ เป็น วิกขัมภนปหาน
วิปัสสนา ละด้วยการขัดเกลาเป็นขณะ ๆ เป็น ตทังคปหาน

๕. โดยอานิสงส์
สมถะ ให้อยู่เป็นสุขด้วยการข่มกิเลส และให้ไปเกิดในพรหมโลก
วิปัสสนา เพื่อละวิปลาสธรรม และเข้าถึงความพ้นทุกข์ คือ ถึงความไม่เกิดเป็นที่สุด


-----------------------------------------

สงสัยอาจารย์พุทธทาสของคุณ mes จะไม่เคยสอนเรื่องนี้ครับ ศิษย์เอกของท่านจึงเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด

เพราะอาจารย์คุณ mes ไม่เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีแต่พยายามบิดเบือนพระสัทธรรม ให้คนเชื่อตายแล้วสูญ เมื่อมีทิฏฐิเช่นนี้แล้วก็อ้างว่า ถึงนิพพานที่นี้ เดี๋ยวนี้

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 11 ส.ค. 2010, 17:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

เพื่อให้งวดเข้าน่าจะทำความเข้าใจคำศัพท์ "ชาติ" (ชาด) ซึ่งแปลว่าการเกิด ให้ตรงกันก่อนนะว่าเอาชาติไหน ชาติในปฏิจจสมุปบาท หรือ ชาติหน้าโน้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอาให้แน่ :b1:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 11 ส.ค. 2010, 17:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

อ้างคำพูด:
ข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อชาติภพ

แต่อันที่จริงนั้น เมื่อยังมีชาติมีภพ ก็ชื่อว่ายังมีทุกข์ ยังมีกิเลส



ภพก็เช่นเดียวกับชาติ เอาให้แน่ว่า "ภพ" ในปฏิจจสมุปบาท หรือภพโน้นๆๆๆๆๆๆ เอาให้แน่
ปัญหาภาษาธรรมภาษาคนทำให้เกิดปัญหาการตีความไม่ตรงกัน ตกลงกันก่อนว่า ชาติไหน ภพไหน

เจ้าของ:  mes [ 11 ส.ค. 2010, 17:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

กรัชกาย เขียน:
เพื่อให้งวดเข้าน่าจะทำความเข้าใจคำศัพท์ "ชาติ" (ชาด) ซึ่งแปลว่าการเกิด ให้ตรงกันก่อนนะว่าเอาชาติไหน ชาติในปฏิจจสมุปบาท หรือ ชาติหน้าโน้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอาให้แน่ :b1:


ต้องถามเหลิม

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 11 ส.ค. 2010, 17:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

อ้างคำพูด:
เมื่อยังมีชาติมีภพ ก็ชื่อว่ายังมีทุกข์ ยังมีกิเลส


การอธิบายความหมายศัพท์เหล่านั้นยังงั้น ล้วนแต่เกิดคำถามทั้งสิ้น :b1: :b12:

เจ้าของ:  mes [ 11 ส.ค. 2010, 17:37 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

ที่แน่ๆเขาบอกการฝึกสมาธิเป็นตัญหา เป็นทุกข์

ได้แคสนองความอยากสงบ

ต้องวิปัสสนาเท่านั้น

เจ้าของ:  mes [ 11 ส.ค. 2010, 17:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

chalermsak เขียน:
ความแตกต่างระหว่างสมถะ กับวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16060

๑. โดยปรารภผล
สมถะ เพ่ง เพื่อให้จิตสงบ ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว
วิปัสสนา เพ่ง เพื่อรู้อารมณ์ตามความเป็นจริง

๒. โดยอารมณ์
สมถะ มีนิมิตบัญญัติเป็นอารมณ์กรรมฐานเป็นส่วนมากเพราะต้องการความมั่นคง
วิปัสสนา ต้องมีรูปนาม เป็นอารมณ์ เพราะต้องเป็นอารมณ์ที่มีการเกิด – ดับ ตรงตามธรรมชาติที่เป็นความจริง

๓. โดยสภาวธรรม
สมถะ มีสมาธิ คือเอกัคคตาเจตสิก ที่ให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์
วิปัสสนา มีปัญญา รู้รูปนามว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

๔. โดยการละกิเลส
สมถะ ละกิเลสอย่างกลาง ปริยุฏฐานกิเลส
วิปัสสนา ละกิเลสอย่างละเอียด อนุสัยกิเลส

๔. โดยอาการที่ละกิเลส
สมถะ ละด้วยการข่มไว้ เป็น วิกขัมภนปหาน
วิปัสสนา ละด้วยการขัดเกลาเป็นขณะ ๆ เป็น ตทังคปหาน

๕. โดยอานิสงส์
สมถะ ให้อยู่เป็นสุขด้วยการข่มกิเลส และให้ไปเกิดในพรหมโลก
วิปัสสนา เพื่อละวิปลาสธรรม และเข้าถึงความพ้นทุกข์ คือ ถึงความไม่เกิดเป็นที่สุด


-----------------------------------------

สงสัยอาจารย์พุทธทาสของคุณ mes จะไม่เคยสอนเรื่องนี้ครับ ศิษย์เอกของท่านจึงเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด

เพราะอาจารย์คุณ mes ไม่เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีแต่พยายามบิดเบือนพระสัทธรรม ให้คนเชื่อตายแล้วสูญ เมื่อมีทิฏฐิเช่นนี้แล้วก็อ้างว่า ถึงนิพพานที่นี้ เดี๋ยวนี้


อย่าคิดว่าที่อ้างอิงเป็นพระไตรปิฎก

แต่เป็นการเขียนพระไตรปิฎกของพระศรีโชติญาณ(แสวง)แห่งสำนักอภิธรรมครับ

เขารีไซเคินพระไตรปิฎกขึ้นใช้เอง


55555555555555555555555

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 11 ส.ค. 2010, 17:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ ของมูลนิธิอภิธรรม

เป็นกำลังใจให้ทั้งสองฝ่ายนะครับ ตกลงกันให้ได้ว่าจะเอายังไงเรื่องที่เห็นไม่ตรงกันทางศัพท์แสงบาลีและความหมายของศัพท์ธรรมที่นำมาใช้ ศึกษาดีๆครับ
ส่วนกรัชกายจะชี้ให้ฉุกคิดกันเอง

หน้า 1 จากทั้งหมด 6 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/