ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ควรฝึกสมาธิควบคู่สติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=32792 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 25 มิ.ย. 2010, 11:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | ควรฝึกสมาธิควบคู่สติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ |
![]() ![]() ควรฝึกสมาธิควบคู่สติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1170 ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | mahanoi [ 26 มิ.ย. 2010, 13:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ควรฝึกสมาธิควบคู่สติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ |
ควรไม่ควรก็คิดดูแล้วกัน ![]() การฝึกฝนอบรมนั้น ในระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ๑ เอาสมถะนำหน้า วิปัสสนาตามหลัง ๒ เอาวิปัสสนานำหน้า เอาสมถะตามหลัง ๓ เอาสมถะและวิปัสสนาไปพร้อมๆกัน คุณถนัดอย่างไหนก็ฝึกฝนอบรมไปตามจริตนิสัยของตนก็แล้วกัน ที่น่าสังเกตุก็คือ สมถะกับวิปัสสนา ไม่เคยทอดทิ้งซึ่งกันและกัน สมถะใช้ปราบนิวรณ์ วิปัสสนาตัดรากเหง้าของตัณหา ทิฏฐิ ![]() |
เจ้าของ: | ตรงประเด็น [ 26 มิ.ย. 2010, 13:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ควรฝึกสมาธิควบคู่สติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ |
ปัจจุบัน อาจจะมีบางท่าน แยกการเจริญสติปัฏฐานว่าเป็นการเจริญวิปัสสนาเท่านั้น.... ส่วน การเจริญสมาธิเป็นอีกส่วนหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสติปัฏฐาน ....ซึ่ง ในสมัยพุทธกาลไม่ใช่เช่นนั้น คำสอนจากพระไตรปิฎก ใน เรื่อง องค์แห่งอริยมรรค ... ทั้ง สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในสมัยพุทธกาล จัดสงเคราะห์ลงใน สมาธิขันธ์(ขันธ์ แปลว่า กอง) ด้วยกันครับ http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 420&Z=9601 เรื่องมรรค ๘ กับขันธ์ ๓ [๕๐๘] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ ๘ ไฉน? ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑. วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะหรือเป็นอสังขตะ? ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะ. วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ขันธ์ ๓ (กองศีล กองสมาธิ กองปัญญา) พระผู้มีพระภาค ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือว่าอริยมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วย ขันธ์ ๓. ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ขันธ์ ๓ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ส่วนอริยมรรคมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ คือ วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยสมาธิขันธ์ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ทรงสงเคราะห์ด้วยปัญญาขันธ์. เรื่องสมาธิและสังขาร วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอย่างไร เป็นสมาธิ ธรรมเหล่าใด เป็นนิมิตของสมาธิ ธรรมเหล่าใด เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิ การทำให้สมาธิเจริญ เป็นอย่างไร? ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว เป็นสมาธิ สติปัฏฐาน ๔ เป็นนิมิตของสมาธิ สัมมัปปธาน ๔ เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิความเสพคุ้น ความเจริญ ความ ทำให้มากซึ่งธรรมเหล่านั้นแหละ เป็นการทำให้สมาธิเจริญ. ปล... ท่าน ธรรมทินนาเถรี เป็นภิกษุณีสมัยพุทธกาลผู้เป็นเลิศด้านการแสดงธรรม "สติปัฏฐาน๔ เป็น นิมิตของสมาธิ" คือ สัมมาสมาธิในองค์มรรค บังเกิดสืบเนือง จากการเจริญสติปัฏฐาน๔ นั่นเอง. ในยุคสมัย หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย (ไม่นานมานี้เอง ) ท่านก็จัดว่า การเจริญสติปัฏฐานตามรู้อารมณ์จิต(ความคิด) ว่าเป็น การปฏิบัติสมาธิ โอวาทธรรม หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย การปฏิบัติสมาธิใครจะใช้อารมณ์ใด สัมมาอรหัง ยุบหนอ พองหนอ พุทโธ หรือ จะพิจารณาทำสติตามรู้อารมณ์จิต เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิได้ ต้องไปสู่จุดอันเดียวกันคือปฐมฌาน สมาธิที่ถูกต้องซึ่งเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ได้ต้องประกอบด้วยองค์ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งเป็นสมาธิในฌานที่ ๑ ซึ่งเรียกว่าปฐมฌาน อันนี้คือจุดนัดพบของนักภาวนาใครจะภาวนาแบบไหนอย่างไรก็มาพบกันที่จุดนี้ ถ้าสมาธิที่ถูกต้อง ต้องประกอบด้วยองค์ คือมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา [/quote] |
เจ้าของ: | chalermsak [ 27 มิ.ย. 2010, 06:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ควรฝึกสมาธิควบคู่สติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ |
ควรศึกษาเพิ่มเติม ว่า สมาธิ ต่างจาก วิปัสสนาอย่างไร ? และ จริตของตน เหมาะที่จะ ปฏิบัติแนวไหน ? อนึ่ง พระศาสนามีอายุล่วงเลยมานานถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี นับว่าเป็นเวลานานอยู่ ระยะเวลาอันยาวนานอย่างนี้ น่าจะเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายกว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ผู้รู้ทั่วถึงคำสอนอันลึกซึ้งน่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับกลายเป็นว่าพระพุทธศาสนานี้กำลังมลายหายสูญไปจากดินแดนที่เคยแพร่หลายแต่ในอดีตทีละแห่ง เริ่มตั้งแต่ประเทศอันเป็นที่อุบัติคืออินเดียเลยทีเดียว แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะเผยแผ่เข้าไปในประเทศใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีผู้คนยอมรับนับถือกันมาก่อนก็ตาม ความพยายามก็สำเร็จผลเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ ผู้คนที่ยอมละจากศาสนาที่นับถืออยู่เดิมของตน หันมานับถือพระพุทธศาสนานั้น มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เทียบไม่ได้กับที่เสื่อมสูญไปแล้ว และที่กำลังจะเสื่อมสูญไปตามลำดับ ทั้งบรรดาผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกันนี้ ผู้ที่รู้ทั่วถึงคำสอนที่ลึกซึ้งจริง ๆ ก็หาพบยากเข้าทุกที ความเป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นเครื่องแสดงว่าผู้เกิดในยุคนี้และยุคต่อ ๆ ไป เป็นผู้มีปัญญาเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถรองรับคำสอนที่ลึกซึ้งอุดมด้วยเหตุและผลได้ พระศาสนาจึงค่อย ๆ เสื่อมสูญไปตามลำดับ เพราะขาดแคลนผู้สืบต่อ เพราะฉะนั้น อาศัยเหตุผล ๒ ประการดังกล่าวมานี้ ก็พอจะอนุมานได้ว่า ผู้คนสมัยนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนตัณหาจริตปัญญาทึบ เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ผู้เกิดในยุคสมัยนี้ หากมีศรัทธาใคร่ปฏิบัติสติปัฏฐาน ควรคำนึงถึงกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นสำคัญ อีกอย่างหนึ่ง แม้จะไม่มีการวินิจฉัยด้านจริตและปัญญาด้วยเหตุด้วยผลดังกล่าวมานี้ก็ตาม แต่เนื่องจากในยุคสมัยนี้ ขาดแคลนกัลยาณมิตร หรืออาจารย์ผู้ทรงญาณปัญญา ที่สามารถสอบสวนสภาพจิตใจของผู้อื่นอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้จะบอกได้ว่า ผู้นั้นผู้นี้ควรเจริญสติปัฏฐานข้อใด หมวดไหน จึงจะเหมาะสมต่อสภาพจิตใจของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั่นแหละ เพราะเทียบสติปัฏฐานข้ออื่นแล้ว จะเป็นข้อที่เจริญได้ง่ายกว่า เพราะข้อนี้มีการพิจารณารูปธรรมเป็นหลัก ก็การพิจารณารูปธรรมซึ่งเป็นของหยาบ ทำได้ง่ายกว่าการพิจารณานามธรรม มีเวทนาเป็นต้น ซึ่งเป็นของละเอียด ก็ในบรรดากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑๔ หมวดนั้น สำหรับหมวดแรกซึ่งเป็นการกำหนดลมหายใจเข้าและออกนั้น เป็นกรรมฐานที่พิเศษกว่ากรรมฐานอื่น แม้ท่านกล่าวว่า เจริญได้ง่าย เหมาะแก่คนปัญญาน้อยก็ตาม ก็พึงทราบว่า ที่นับได้ว่าเจริญได้ง่ายก็เกี่ยวกับสักแต่มุ่งจะทำจิตให้สงบไปอย่างเดียวเท่านั้น กล่าวคือจิตที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย กระสับกระส่าย จะสงบได้รวดเร็ว เมื่อเพียงแต่กำหนดลมหายใจไปสักระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะต้องการให้จิตที่สงบไปพอประมาณนั้น สงบยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ตามลำดับ จนบรรลุฌาน โดยเฉพาะได้ฌานแล้ว ใช้ฌานนั้นเป็นบาทแห่งการเจริญวิปัสสนาต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้แสนยากอย่างยิ่ง ผู้มีปัญญาสามารถจริง ๆ เท่านั้น จึงจะกระทำได้ เหตุผลในเรื่องนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในหนังสือเรื่องหยั่งลงสู่พระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ผู้ต้องการเจริญสติปัฏฐานเพื่อความพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่สักแต่ว่าทำจิตให้สงบ น่าจะคำนึงถึงหมวดอื่น ๆ ก่อนหมวดกำหนดลมหายใจนี้ แม้ใน ๑๓ หมวดที่เหลือ ตกมาถึงยุคสมัยนี้ซึ่งเป็นยุคที่พระพุทธศาสนากำลังเสื่อมไปตามลำดับ ก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายเสียทีเดียว กล่าวคือ สัมปชัญญบรรพซึ่งเป็นหมวดพิจารณาอิริยาบถย่อยนั้น ยังทำได้ยากสำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญในการพิจารณาอิริยาบถ ๔ ใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นของหยาบกว่า มาก่อน การใส่ใจความเป็นปฏิกูลในอาการ ๓๒ เล่า ก็เป็นของทำได้ยากในยุคสมัยนี้ที่นิยมวัตถุ ดื่มด่ำในความสวยความงาม เพราะเหตุนั้น เมื่อจะทำใจให้น้อมไปว่าเป็นของปฏิกูล ไม่งามอยู่เนือง ๆ ย่อมเป็นภาระหนัก ส่วนการพิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ ๔ มีธาตุดินเป็นต้น โอกาสที่จะกลายเป็นเพียงความนึกคิดเอาอย่างฉาบฉวย ไม่ได้สัมผัสตัวสภาวะที่เป็นธาตุดินเป็นต้น ด้วยปัญญาจริง ๆ ก็มีได้มาก สำหรับการพิจารณษซากศพ ๙ อย่าง ก็เป็นหมวดที่แทบจะหาโอกาสบำเพ็ญไม่ได้เอาทีเดียว เกี่ยวกับหาซากศพที่จะใช้เจริญกรรมฐานยากหนักหนา เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น ระเบียบกฏเกณฑ์ของบ้านเมืองไม่ยอมให้มีการทิ้งซากศพให้เน่าเปื่อยอยู่ตามที่ต่าง ๆ อย่างเปิดเผย แม้แต่ในป่าช้า ด้วยเหตุว่า เป็นที่อุจาดนัยน์ตาของผู้พบเห็น เป็นที่แพร่เชื้อโรค และเป็นเรื่องล้าหลัง ส่วนหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ เดิน ยืน นั่ง นอน หมวดเดียวที่เหลืออยู่นี้เท่านั้นที่เป็นกรรมฐาน อันเป็นอารมณ์ของการพิจารณาที่หาได้ง่าย เพราะอิริยาบถ ๔ นี้ มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา คนเราต้องการทรงกายอยู่ใดอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งแน่นอน ไม่มีว่างเว้นจากอิริยาบถ อนึ่ง ในเวลาที่ทรงกายอยู่ในอิริยาบถใดก็ตามก็ย่อมรู้แน่อยู่แก่ใจที่เดียวว่า เวลานี้กำลังทรงกายอยู่ในอิริยาบถนั้น คือ รู้ดีว่าเวลานี้กำลังเดินอยู่ หรือยืนอยู่ หรือนั่งอยู่ หรือนอนอยู่ เพราะอาการอย่างนั้นอย่างนั้น แสดงให้ทราบ จึงจัดได้ว่าเป็นของปรากฏชัด เมื่อเป็นเช่นนี้ การกำหนดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จึงน่าจะกระทำได้ง่ายกว่าหมวดอื่น ๆ เพราะเหตุนั้นนั่นแหละผู้ใคร่เจริญสติปัฏฐานได้โดยสะดวก พึงคำนึงถึงการพิจารณาอิริยาบถ ๔ นี้ ก่อนเถิด และในที่นี้ก็ใคร่ขอแสดงวิธีเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถนี้เป็นนิทัสสนะ การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ viewtopic.php?f=2&t=29201 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |