ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
หนทางดับทุกข์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=32624 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | jinje [ 16 มิ.ย. 2010, 10:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | หนทางดับทุกข์ |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ใครว่าวงการหมามันยุ่ง วุ่นวาย ทะเลาะกันจะฆ่ากันตาย!...ไปอยู่วงการไหนก็เป็นเหมือน ๆ กัน!...ถ้าจับวงการหมามาขึ้นเขียงชำแหละ..ไอ้ที่มันยุ่ง ชวนปวดหัวนี่มันมีที่มาที่ไปอย่างไร? หลากหลายสาเหตุ พอสาวไปเจอต้นตออยู่ที่ปาก"คนนั้นเขาว่ามาอย่างนี้".บวกใส่สีตีไข่...ไอ้คนรับฟังร้อยทั้งร้อยย่อมออกอาการ เมื่อออกอาการก็เก็บมาเป็นทุกข์..ทุกข์ฝังในจิตใจ จนเกิดเป็นทัศนคติเชิงลบ... บางคนลมร้อนเลยต้องตอกกลับ.. อีกฝ่ายอาจพูดไปเรื่อยเปื่อยไม่คิดมากพอโดนตอกกลับก็เกิดทุกข์อีก!.. เมื่อเจอกับตัวทางออก ทางแก้มีหลายร้อยแบบ.. .คนเลี้ยงหมาลองใช้วิธีนี้ดู - หากได้ยินคำพูดที่เป็นลบให้เชื่อเพียงครึ่ง - เมื่อเชื่อเพียงครึ่งก็ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ - มองโลกในแง่บวก...คนทุกคนคือคนดี มองเขาดี เขาก็มองเรากลับมาดีเช่นกัน - ถ้ามันถาโถมมามากเกินจะรับไหวควรปลีกวิเวกซะบ้าง..ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด เข้าวาก็ได้ ขับรถออกต่างจังหวัดหรือไปนั่งจิบเบียร์ที่ไหนสักแห่ง - มองดูชีวิตคนอื่นที่เข้าแย่กว่าเรา อาจจะช่วยให้เรามั่นใจตัวเองขึ้น - มองดูชีวติคนอื่นที่ดีกว่าเรา อาจะจะช่วยให้เราฮีกเหิมต่อสู้กับชีวิตได้ดีขึ้น เคยแนะนำหลายคนว่าถ้าคุณเหนื่อยหน่าย คุณท้อแท้..ลองหยิบสายจูงแล้วจูงหมาออกเดิน..เดินไกล ๆ จนเหงื่อตกทั้งคนทั้งหมา ระหว่างเดินช่วยให้เกิดสมาธิได้เยอะเลย..หมาก็มีความสุข คนก็สุขภาพดีตาม..มีคนไปลองทำแล้วได้ผล..... |
เจ้าของ: | jinje [ 16 มิ.ย. 2010, 10:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หนทางดับทุกข์ |
(ต่อ) ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() - ถ้ามันถาโถมมามากเกินจะรับไหวควรปลีกวิเวกซะบ้าง..ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด เข้าวาก็ได้ ขับรถออกต่างจังหวัดหรือไปนั่งจิบเบียร์ที่ไหนสักแห่ง ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | suthee [ 13 ก.ย. 2010, 21:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หนทางดับทุกข์ |
อริยสัจจ์๔แห่งจิต ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลที่เกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลที่เกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์ จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์(หรือนิพพานนั่นเอง) อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) suthee this nation is last our nation , we don't come back to are born again time stump ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราไม่กลับมาเกิดอีกตลอตอนันตกาล suthee |
เจ้าของ: | อนัตตาธรรม [ 21 ก.ย. 2010, 16:37 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: หนทางดับทุกข์ | ||
![]() จะแน่ใจได้อย่างไรครับ ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย มีหลักฐาน พยาน หรือ หลักประกันอะไร ที่จะทำให้เชื่อแน่ได้ว่า จะไม่กลับคืนมาอีกครับ คุณ suthee เล่าสู่กันฟังให้เป็นที่ชื่นใจ อนุโมทนาหน่อยนะครับ สาธุ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |