ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=30841 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 5 |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 14 เม.ย. 2010, 10:36 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ | ||
สู้รบกับยักษ์... หวิดตาย คืนจันทร์สว่างฟ้า พระจันทร์เต็มดวงมีธรรมชาติจะทรงกลดยามเที่ยงคืน ..เป็นภาพที่งดงาม สงบสงัด มีแต่สรรพเสียงของป่าเป็นเพื่อน ขณะที่หลวงปู่มั่นเดินจิตภาวนาใหม่ ปรากฏแสงสว่างเมื่อจิตรวมแล้ว.. เกิดเรื่องอันน่าสะพรึงกลัว.. ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับมีใครเอามือมาเขย่า เสียงลมพัดโหมกระหน่ำผ่านราวป่า เสียงไม้หักโค่นเกรียวกราว..แต่หลวงปู่มั่นดำรงในสมาธิไม่หวั่นไหวกับเสียงอึกทึกรอบค้าง ท่านบอกว่า “แรงสั่นสะเทือน ราวกับภูเขาจะพลิกค่ำ” บรรยากาศอันน่ากลัวรอบข้างทำเอาท่านเกือบลืมตา ..แต่ระลึกได้ถึงคำอธิษฐานจิตถึงธรรมะ หลวงปู่มั่นจึงพิจารณาภาวะธรรมะที่เกิดขึ้น ยิ่งพิจารณาธรรมเท่าไร ความโหดร้ายของสภาพรอบตัวยิ่งทวีความรุนแรงไม่มีท่าทีว่าจะหยุด แต่สติของท่านมั่นคงกว่าขุนเขาที่นั่งไม่อาจโยกคลอนได้ ขณะที่เฝ้าดูอาการของ “สติ-สมาธิ” ที่มั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งรอบข้างอยู่นั้น .. จู่ๆ มียักษ์สูงร่างสูงใหญ่ทะมึนสูงเท่าต้นไม้ ถือตะบองเหล็กส่องรัศมีเหมือนเปลวไฟ เดินย่างสามขุมตรงมายังหลวงปู่มั่น พร้อมตวาดลั่นสะท้านป่าว่า “จงลุกจากที่นี้เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะต้องตาย” พูดจบยักษ์เงื้อตะบองขึ้นสุดแขน เพื่อหวดฟาดหลวงปู่มั่นเต็มกำลัง หลวงปู่มั่นเกือบเผลอลืมตาขึ้นมอง แต่อำนาจสติได้ตามรู้ทันจึงระงับไว้ได้ ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนที่เจริญสติจนกลายเป็นมหาสติไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ให้ปรุงแต่งเคลื่อนจิตให้สะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ท่านตอบยักษ์ไปว่า “เราไม่ลุก” ทันใดนั้นเอง... ยักษ์ฟาดตะบองลงมายังร่างของท่านเต็มพละกำลังอันมหาศาล จนร่างหลวงปู่มั่นจมลึกลงในดินราว 10 วา แต่ร่างของท่านลอยขึ้นมาเหนือพื้นดิน เจ้ายักษ์ทมิฬหันลีหันขวาง เห็นต้นตะเคียนขนาด 10 คนโอบ ตรงเข้าไปถอนขึ้นมาทั้งต้น รากของต้นไม้ขาดจากดิน เศษดินยังกระเด็นมาโดนร่างหลวงปู่มั่นที่นั่งสมาธิด้วย ยักษ์ใหญ่แค้นมองร่างหลวงปู่มั่นตัวจิ๋วด้วยความโกรธ ตาแดงเป็นไฟ เงื้อต้นตะเคียนฟาดมาที่ร่างหลวงปู่มั่นจนแบนไปกับก้อนหิน จนก้อนหินไม่สามารถต้านทานได้แหลกละเอียดไปในพริบตา ในวินาทีนี้หลวงปู่มั่นเกือบจะลืมตาขึ้นดูสภาพรอบข้าง แต่กำลังของมหาสติดำรงมั่น เป็นตัวกำกับพิจารณาอารมณ์อันละเอียดอ่อนที่ปรากฏเกิดขึ้นในใจ ค้นพบว่าแท้จริงแล้วใจของท่านมีอาการพะว้าพะวังของการปรารถนาพระโพธิญาณ ซึ่งเรื่องนี้ซึ่งนี้เป็นธรรมชาติของหน่อเนื้อพุทธะ ทันทีที่ว่านเมล็ดพันธุ์โพธิจิตลงในเนื้อนาใจ ต้นไม้แห่งโพธิจะแทงหน่อเติบโต ต้นไม้นี้ย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ทั้งปวง คุณธรรมแลความรอบรู้ในขอบข่ายของพุทธะอันประมาณมิได้นี้ จะหลั่งไหลเข้าสู่จิต ตลอดเส้นทางพระโพธิญาณ หลวงปั่มั่นได้สร้างสมทศบารมี เพื่อให้บริบูรณ์พร้อมที่จะสั่งสอนอบรมสรรพชีวิตให้เหมาะสมตามนิสัย แลตลอดแตกฉานในอุบายเพื่อสอนให้ผู้อื่นให้เข้าถึงธรรมได้ง่าย และรวดเร็วตามกำลังบุญของแต่ละคน เมื่อมหาสติทราบชัดถึงเครื่องกางกั้นชั้นสุดท้าย สิ่งที่ติดค้างในใจของท่านก็หมดลง
|
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 14 เม.ย. 2010, 10:36 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ | ||
แสงธรรมสว่างไสว ทั่วโลกธาตุ “ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว” หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต ณ. กาลเวลานี้ เมื่อได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นอธิบายว่า “ทุกอย่างในโลกนี้มีสภาพเป็นอันเดียวดุจหน้ากลองชัย โลกนี้ราบลงหมด คือสว่างเตียนโล่ง ร่างกายของเราประมวลเข้าดังเดิม” ยักษ์สูงทะมึนมองเห็นเหตุการณ์พลิกผัน ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเข้ามากราบขอขมาลาโทษ แล้วหายไปในที่สุด ...ขณะนั้นเสียงไก่ขัน... ดังเป็นระยะๆ บอกเวลาว่าใกล้รุ่ง คะเนว่าน่าจะราวตี 3-4 ความเงียบสงบของราตรีกลับมาบรรเลงอีกครั้ง ราวกับเตรียมเฉลิมฉลองในวาระพิเศษของการกำเนิดสัตตบุรุษในรอบพันปี หลวงปู่มั่นเจริญสมาธิก้าวลงสู่ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน พอล่วงดึกจิตก็พักเอากำลังในฌาน ส่วนปฐมฌานคือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อจิตใช้กำลังพิจารณาข้อธรรมแล้วย่อมพักในฌานเพื่อให้เกิดกำลังต่อไป พอจิตพักในจตุตถฌานจนมีกำลัง จิตได้ถอยออกมาสู่ปฐมฌาน เกิดวิปัสสนาญาณรู้เห็นความเป็นไปของชาติภพของสัตว์โลก จากนั้นได้พิจารณาต้องต้นสายปลายเหตุของชาติภพในหมู่สัตว์ทั้งปวง หลวงปู่มั่นค้นลงได้ความตามปฏิจสมุทรบาทว่า หลวงปู่มั่นแทงตลอดลูกโซ่ของภพชาติได้อริยมรรค อันเป็นเครื่องตัดกิเลส จึงพิจารณาในดวงจิตพบว่า “เมื่ออวิชชาไม่เกาะเกี่ยวได้แล้ว อวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับวิญญาณก็ดับ ตลอดจน ฯลฯ ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายสะก็ดับหมด” คราวนี้จิตรวมใหญ่แต่จิตไม่พักเหมือนที่ผ่านมา เกิดมีญาณขึ้นมาว่า “ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว กิจอันเราควรทำ เราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรไม่มีอีกแล้ว ญาณชนิดนี้เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" คือความรู้ว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะพร้อมกับอวิชชาก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลังตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป รวมความว่า ญาณเกิดขึ้น อวิชชาหายไป พระอาทิตย์ขึ้นมา พระจันทร์ตกไป อปุพพํ อจิรมํ ไม่ก่อนไม่หลัง เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งอวิชชา เจ้าผู้มีอวิชชาเอ๋ย เจ้าเป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เจ้าจงหนีไปอยู่กับเราไม่ได้แล้ว อวิชชาก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลาว่า ญาณผู้แจ้งผู้เห็นจริง เจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน ต่างไม่ได้ขับไล่ แต่ท่านว่าความมืดและพระอาทิตย์ก็เหมือนกัน พระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไป พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งความมืดหรือพระจันทร์จะว่า เจ้าผู้มืดผู้ดำเอ๋ย เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจงหนีไป ความมืดก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลา หรือไม่ได้ว่าพระอาทิตย์ผู้แจ้งสว่าง ผู้มีเดชอันกล้าเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน หาใช่อย่างนั้นไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไปฉันใดก็ฉันนั้น”
|
เจ้าของ: | enlighted [ 14 เม.ย. 2010, 21:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
"หลับอยุ่" เพ้อเจ้อคำนี้ออกมาเพราะ ผมเป็นปุถุชนที่มีกิเลสมาก มีความคิดเห็นว่า มีคนฟุ้งซ่าน มาสอด เกือก มั่วไง ทำตีฝีปากวาทะตรรกะยอกย้อน(เชยแล้ว พวกต่างศาสนาใช้มานานแล้ว ) ตอบ.. กลับมาเอาเกือก อ้าปากกว้างๆหน่อย และก็สำรอกออกมาอีก ทำเกือกเราเหม็น ตรรกะ ความมืดความสว่าง แบบที่ยกมา ของหลวงตามหาบัว หลวงปู่ดุลย์ หลวงพ่อปากน้ำ เป็นทำตีฝีปากวาทะตรรกะยอกย้อน(เชยแล้ว พวกต่างศาสนาใช้มานานแล้ว ) จริงหรือ เหมือนกับ enlight ไม่มีความเห็นผิดแล้วเลยเนอะ55555 อืมมมมมม....เดาก็เดาผิดอีก ตอบ... มีแต่รู้ไง น่ารำคาญ กระทู้นี้ จะลง หลวงปู่มั่น กับ พระสูตร นันทยักษ์ ไปตีศรีษะพระสารีบุตรท่าน อ่า.... เฮ้อ.... อนุสัยสันดานหน่ะ หัด ภาวนาให้มากๆนะ ตอบ... จะโพสต์อะไร ก็โพสต์ไปสิ ไม่ได้ห้าม หัดภาวนา ปากบริกรรม ใจปรุงสังขาร แล้ว มาคอยดู สังขาร อยากทำก็ทำเอง นะจ๊ะๆๆ อนุสัยสันดานหน่ะ หัด ภาวนาให้มากๆนะ ตอบ.. สังขารที่ปรุงมาเป็นคำบริกรรม อยากทำก็ทำไปเอง |
เจ้าของ: | enlighted [ 14 เม.ย. 2010, 22:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
หลับอยุ่ เขียน อืม สโลแกน มือปราบเราใช้ได้ๆ กระตุ้นต่อม... ลึกๆของคนได้ เยี่ยม ตอบ สโลแกนนั้นกลับ แสดงต้วตน ของหลับอยู่เดียรถีย์ ว่าเป็นเดียรถีย์ชัดเจน อ่านกันอีกที ความเห็นเดียรถีย์ คลิกไปกระทู้ไหนของหลับอยู่ ก็หาข้อธรรมมาโต้แย้งยากเย็นเข็ญใจจริงๆๆๆ สมเป็นเดียรถีย์ หลับอยุ่ เขียน: กร๊ากๆๆๆๆๆๆคารม(อ่อนๆ)เหมือนพวกเดียรถีย์ลัทธินึงที่คอยป่วนผมเลยง่ะ(อยู่เวปอื่นไอ้พวกนี้แม้พุทธอุทานก็ปฏิเสธ)) ![]() ![]() ![]() ![]() กร๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ดันเป็นคารมเดียวกัน อารมณ์เดียวกันซะอีก และความเข้าใจก็ยังแนวเดียวกัน enlighted เขียน สำนึก ไม่ต่าง ความสว่างและมืด ถ้าเห็นความหมายและเข้าใจพระสูตรที่แท้จริง และจากบันทึกหลวงปู่มั่นที่โพสต์เอง เรื่องความสว่างและมืด ก็จะรู้ได้ว่า คำว่า เพ้อเจ้อนั้น ออกมาด้วยเหตุไร นั่นเป็นความเห็นผิดของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ที่อยู่ในใจตนเอง ไม่ต้องไปหาปราบที่ไหนหรอก สภาวะปริพาชกอัญญเดียรถีย์ อยู่ในใจ บันทึกหลวงตามหาบัว เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งอวิชชา เจ้าผู้มีอวิชชาเอ๋ย เจ้าเป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เจ้าจงหนีไปอยู่กับเราไม่ได้แล้ว อวิชชาก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลาว่า ญาณผู้แจ้งผู้เห็นจริง เจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน ต่างไม่ได้ขับไล่ แต่ท่านว่าความมืดและพระอาทิตย์ก็เหมือนกัน พระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไป พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งความมืดหรือพระจันทร์จะว่า เจ้าผู้มืดผู้ดำเอ๋ย เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจงหนีไป ความมืดก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลา หรือไม่ได้ว่าพระอาทิตย์ผู้แจ้งสว่าง ผู้มีเดชอันกล้าเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน หาใช่อย่างนั้นไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไปฉันใดก็ฉันนั้น” จิตพุทธะ หลวงปู่ดุลย์ จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ย่อมให้ความสว่างทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน หลวงพ่อวัดปากน้ำ ถ้าดำอยู่ละก็ มารตั้งเสียแล้ว ถ้าว่าบริสุทธิ์แล้วละก็ เป็นของพระแท้ๆ ถ้าดำอยู่แล้วละก็ มารมันตั้งเสียแล้ว มารมายึดเป็นเจ้าของเสียแล้ว ถ้าว่าใสสะอาดแล้วก็ นั่นเป็นของพระแท้ๆ ใจต้องนิ่งอยู่ที่เดียว ที่รอยหยุดของกลางดวงเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ รอยใสนั่นเป็นกลางหยุด หยุดอยู่กลางนั่น หยุด พอหยุดถูกส่วนเข้าเท่านั้น หยุดหยุด อ้ายลักษณะที่หยุดน่ะ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ล่าง บน นอก ใน ไม่ไปละ ตอบ: วันนี้, 16:29 |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 15 เม.ย. 2010, 02:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
คุณหลับอยู่..ครับ..เหตุการณ์นี้..ใช่เกิดที่..ถ่ำน้ำตกสาริกา..หรือเปล่าครับ??? เพราะ..ผมจำได้คร้าว ๆ ว่าท่านเจอยักษ์ 2 แห่ง..ที่นครนายก..กะ..ที่เชียงไหม่..นะครับ |
เจ้าของ: | sweet [ 15 เม.ย. 2010, 12:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
enlighted เขียน: คลิกไปกระทู้ไหนของหลับอยู่ ก็หาข้อธรรมมาโต้แย้งยากเย็นเข็ญใจจริงๆๆๆ สมเป็นเดียรถีย์ [/color] หรอ ![]() ![]() ![]() เดียรถีย์ปริพาชกก็ชอบอ้างแบบนี้แหละ เป็นทีมงานผู้ดูแลที่ปรึกษาในเวปนี้หรอenlight? ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | sweet [ 15 เม.ย. 2010, 12:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
กบนอกกะลา เขียน: คุณหลับอยู่..ครับ..เหตุการณ์นี้..ใช่เกิดที่..ถ่ำน้ำตกสาริกา..หรือเปล่าครับ??? เพราะ..ผมจำได้คร้าว ๆ ว่าท่านเจอยักษ์ 2 แห่ง..ที่นครนายก..กะ..ที่เชียงไหม่..นะครับ ผมก็คุ้นๆว่า2ครั้งเหมือนกันครับ กบน้อย ![]() |
เจ้าของ: | sweet [ 15 เม.ย. 2010, 12:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
enlighted เขียน: คลิกไปกระทู้ไหนของหลับอยู่ ก็หาข้อธรรมมาโต้แย้งยากเย็นเข็ญใจจริงๆๆๆ สมเป็นเดียรถีย์ กร๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | sweet [ 15 เม.ย. 2010, 12:23 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ | ||
sweet เขียน: enlighted เขียน: คลิกไปกระทู้ไหนของหลับอยู่ ก็หาข้อธรรมมาโต้แย้งยากเย็นเข็ญใจจริงๆๆๆ สมเป็นเดียรถีย์ กร๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ![]() ![]() cd สะดุด(ติดอ่างหน่ะ) ![]()
|
เจ้าของ: | sweet [ 15 เม.ย. 2010, 20:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
sweet เขียน: enlighted เขียน: คลิกไปกระทู้ไหนของหลับอยู่ ก็หาข้อธรรมมาโต้แย้งยากเย็นเข็ญใจจริงๆๆๆ สมเป็นเดียรถีย์ [/color] หรอ ![]() ![]() ![]() เดียรถีย์ปริพาชกก็ชอบอ้างแบบนี้แหละ เป็นทีมงานผู้ดูแลที่ปรึกษาในเวปนี้หรอenlight? ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() cd สะดุด ![]() |
เจ้าของ: | enlighted [ 15 เม.ย. 2010, 21:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
ตอบ.. 1. หลวงปู่มั่นสู้กับยักษ์มากมายนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่สองครั้ง 2.หวงเฟยโหง ขวัญใจเดียรถีย์ ฟัดกันข้างถนน |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 15 เม.ย. 2010, 21:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
enlighted เขียน: ตอบ.. 2.หวงเฟยโหง ขวัญใจเดียรถีย์ ฟัดกันข้างถนน เป็นคำตอบที่... เป็นคำตอบที่..ผิด! ครับ เสียใจด้วยนะครับ คุณตอบผิดครับพวกเดียร์ถีย์ปริพาชก2012 มักจะเกียจ ต่างหาก ![]() ![]() 5555555555555555 |
เจ้าของ: | enlighted [ 15 เม.ย. 2010, 22:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
กระทู้ดันล๊อค มาตอบตรงนี้ เมื่อธรรมกายพระอรหัตตมรรคปรากฏขึ้นละสัญโญชน์เบื้องสูงอีก ๕ ประการ ได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจะ มานะ และ อวิชชา ได้แล้ว จะตกศูนย์ ปรากฏเป็นธรรมกายพระอรหัตตผล ขยายโตเต็มส่วน มีขนาดหน้าตัก ความสูง และเส้นผ่าศูนย์กลางดวงธรรม ๒๐ วา ขาว ใสบริสุทธิ์ และมีรัศมีสว่างยิ่งนัก เห็นธรรมกายพระอรหัตตผลชัดเจนอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะมีญาณหยั่งรู้การบรรลุพระอรหัตตผลนั้น .............. ตอบ. ธาตุรู้ พระอรหันต์ 20 วา |
เจ้าของ: | enlighted [ 15 เม.ย. 2010, 22:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ |
แล้วข้อหนึ่งล่ะ 1. หลวงปู่มั่นสู้กับยักษ์มากมายนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่สองครั้ง ถามข้อสาม กระทู้ดันล๊อค เมื่อธรรมกายพระอรหัตตมรรคปรากฏขึ้นละสัญโญชน์เบื้องสูงอีก ๕ ประการ ได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจะ มานะ และ อวิชชา ได้แล้ว จะตกศูนย์ ปรากฏเป็นธรรมกายพระอรหัตตผล ขยายโตเต็มส่วน มีขนาดหน้าตัก ความสูง และเส้นผ่าศูนย์กลางดวงธรรม ๒๐ วา ขาว ใสบริสุทธิ์ และมีรัศมีสว่างยิ่งนัก เห็นธรรมกายพระอรหัตตผลชัดเจนอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะมีญาณหยั่งรู้การบรรลุพระอรหัตตผลนั้น .............. ถามข้อ 3. ธาตุรู้ พระอรหันต์ 20 วา มากกว่ายิ่สิบวาได้ไหม 30 40 50 |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 15 เม.ย. 2010, 22:36 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นสู้รบกับยักษ์ | ||
ทำไมดาวไม่ชนกัน วงโคจร เขาสิเนรุ ๆลๆ บอกใบ้ไปแล้ว ขี้เกียจอธิบาย ยาวมาก แล้วกระทู้บทความบางอย่าง อย่าทะลึ่งเข้าไปเสนอความเห็นละกัน หวังดี เห็นชัดๆว่า เป็นบ้าไปหลายคนแล้ว แปลก ไม่บ้าก็วิบัติ ไม่นานด้วย ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 5 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |