ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=27435 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | อโศกะ [ 03 ธ.ค. 2009, 06:14 ] | |||
หัวข้อกระทู้: | เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ | |||
![]() ************บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง ทางได้บุญ ๑๐ วิธี เป็นสิ่งที่ชาวพุทธพึงต้องรู้ แบ่งออกเป็น ๓ หมวด ![]() หมวดทาน ๑.ทาน การให้ปันสิ่งของของตนเองให้กับผู้อื่น ๒.ปัตติทาน การแผ่ส่วนบุญ ๓.ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาส่วนบุญของตนเองและผู้อื่น ![]() หมวดศีล ๔.ศีล การรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ ข้อ ๕.อัปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ๖.เวยยาวัจจะ การน้อมรับใช้ผู้อื่น ![]() ![]() ๗.ธัมมสวนะ การฟังธรรมตามกาล ๘.ธัมมเทศนา การแสดงธรรม ๙.ภาวนา การทำสมถะภาวนา ![]() ๑๐.ทิษฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรง ถูกต้อง ด้วย วิปัสสนาภาวนา ![]()
|
เจ้าของ: | อโศกะ [ 10 ธ.ค. 2009, 14:52 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ | ||
![]() จากแผ่นภาพโอวาทปาติโมกข์ และ บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง ทุกท่านได้สังเกตเห็นไหมครับว่า ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน ประเด็นสำคัญของกระทู้นี้อยู่ที่ "เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา" เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาติโมกขฃ์ข้อที่ 3 และ บุญกิริยาวัตถุข้อที่ 10 ลองสังเกตดูให้ดีนะครับ ![]() เรื่อง ของการละชั่ว ทำดี นั้น จะเห็นว่ามีสอนอยู่แทบทุกศาสนา บุญกิริยาวัตถุ 9 ข้อแรก คือ หมวดทาน 3 ข้อ ศีล 3 ข้อ ภาวนา 3 ข้อ อันเป็นส่วนของ สมถะภาวนาหรือสมาธิ ก็มีสอนและปฏิบัติอยู่แทบทุกศาสนาเช่นกัน ![]() ที่ แตกต่างและไม่มีในศาสนาอื่นๆ คือ การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ และ การทำความเห็นให้ตรง ถูกต้อง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการทำ วิปัสสนาภาวนา สิ่งนี้ไม่มีในศาสนาอื่นๆ วิปัสสนาภาวนา จึงเป็นเอกลักษณ์และความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ระหว่างพุทธศาสนากับศาสนาอื่นๆ ในโลก ดัง นั้นการศึกษาเจาะลึกลงไปในเรื่องของวิปัสสนาภาวนาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และเป็นเครื่องชี้วัดความเป็น "ชาวพุทธ" ที่แท้จริงของผู้คน ใคร ผู้ใดที่กล่าวว่า "ผม ดิฉัน ข้าพเจ้า เป็นชาวพุทธ" แต่ถ้าหากยังไม่รู้เรื่องวิปัสสนาภาวนา และยังทำวิปัสสนาภาวนาไม่เป็น บุคคลผู้นั้นน่าจะยังไม่สมควรเรียกว่าตนเองว่าเป็น "ชาวพุทธที่แท้จริง" ได้ วิปัสสนาภาวนา คือ สาระสำคัญของหรือ แก่น ของพระพุทธศาสนา เรื่อง ทาน ศีล สมถะภาวนา เปรียบเหมือน เปลือกและกระพี้ของพระพุทธศาสนา ทั้ง เปลือก กระพี้ และแก่นไม้ ล้วนมีความสำคัญอยู่ในตัว อิงอาศัย เป็นเหตุ ปัจจัย ซึ่งกันและกัน สนับสนุนกันอยู่ แต่สำหรับต้นไม้แล้ว ส่วนที่ได้นำไปใช้ประโยชน์จริงๆคือ แก่นไม้ ผู้ ที่ปารถนาจะให้ได้ประโยชน์จากการศึกษาและปฏิบัติธรรมจริงๆ จึงพึงควรสนใจและให้ความสำคัญต่อการศึกษาและฝึกหัดปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงจะมีโอกาสได้เข้าถึงความเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เป็นพุทธสาวกโดยสมบูรณ์ วิปัสสนาภาวนา เป็นอย่างไร เราจะได้ศึกษารายละเอียด ในกระทู้นี้กันต่อไปนะครับ ขอสติ ปัญญา ดวงตาเห็นธรรม จงบังเกิดมีแก่ท่านผู้สนใจ ใคร่ในธรรมทุกท่าน สวัสดี มีความสุขครับ ![]()
|
เจ้าของ: | อโศกะ [ 18 ธ.ค. 2009, 09:44 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ | ||
![]() @@@@วิปัสสนา ภาวนา เป็นวิชาใหม่ที่ค้นพบโดยพระพุทธเจ้า เป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เป็นการเจริญปัญญา สติ สมาธิควบคู่กันไป โดยเอาปัญญานำหน้า (2)มี สติและสมาธิเป็นกองหนุน *******วิธี เจริญก็คือ เฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณาเข้าไปใน รูป - นาม กาย - ใจ ที่ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ ในที่สุดจะได้พบความจริงทีเกิดขึ้นภายในกาย - ใจ ว่า มีแต่ อนิจจัง เปลี่ยนแปลง ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่แก่นสาร ตัวตน ในที่้สุดจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดว่าขันธ์ทั้ง 5 หรือรูป - นาม กาย - ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวตน เกิดความเห็นถูกต้องว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา จิตก็จะหลุดพ้น เข้าถึงนิพพาน ดังนี้ ตามที่ได้สังเกตจากข้อความในกระทู้ต่างๆ จะลงความเห็นกันไว้เป็นส่วนมากว่า สมถะภาวนา กับวิปัสสนาภาวนา ต้องเจริญไปควบคู่กัน เรามาลองฟังอีกทัศนะหนึ่งกันดีใหมครับ หลังจากที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงใช้พระชนม์ชีพของพระองค์ ทดสอบอยู่กับกามสุขาลิกานุโยโค จนพระชนมายุถึง 29 พรรษา ทดสอบอยู่กับอัตตกิลมมัตถานุโยค คือการเจริญสมถะภาวนา ตามแบบของพราหมณ์ ฮินดู ฤาษี ชีไพร อยู่อีกเกือบ 6 ปี ที่ สุดพระองค์ก็ได้พบทางสายกลางคือการเจริญปัญญา โดยมี สติ สมาธิ เป็นกองหนุน ค้นคว้าเข้าไปใน รูป - นาม กาย - ใจ จนพบสัจจธรรมความจริง คือสามัญลักษณะทั้ง 3 อริยสัจ 4 จนทรงละมิจฉาทิฐิ อวิชชาได้หมดสิ้น ได้ถึงอรหัตผล พ้นทุกข์และความเวียนว่ายตายเกิด เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั่นคือ มรรค มีองค์ 8 อันแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ ปํญญามรรค 2 ศีลมรรค 3 สมาธิมรรค 3 ชื่อย่อของการเจริญมรรค 8 นั้นคือ วิปัสสนาภาวนา พิจารณา จากความเป็นมาของมรรค 8 นั้น จึงเห็นได้ว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น มีความพร้อม เบ็ดเสร็จ สมบูรณ์อยู่ในตัวแล้ว เพราะมีทั้ง ปัญญา ศีล ความเพียร สติ สมาธิ ร่วมกันทำงาน เป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน สนับสนุนกัน ถ่วงดุลย์กัน อยู่ในตัวพร้อมมูลแล้ว ใคร ผู้ใดก็ตาม ตีความแตก จับประเด็นของวิปัสสนาภาวนาได้ถูกต้องแล้ว จะเจริญวิปัสสนาภาวนา อันเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และมีอยู่เฉพาะในพุทธศาสนา เป็นเอกลักษณะของพระพุทธศานา ไม่มีอยู่ในศาสนาอื่นๆ เจริญเพียงวิปัสสนาภาวนาให้ถูกต้องเพียงอย่างเดียวก็จะสามารถนำพาตนให้เข้า ถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ ไม่ื่เนิ่นช้าอย่างแน่นอน ที่พระ พุทธองค์จะต้องทรงแสดงเรื่องสมถะภาวนาอยู่หลายที่หลายแห่งในพระสูตรก็เพราะ ลูกศิษย์ของพระองค์สมัยนั้นล้วนแล้วแต่ฤาษี ชี ไพร อเจลกะ นักสมถะทั้งหลายทั้งสิ้น พระองค์จึงต้องทรงเชื่อมโยงความรู้ของท่านเหล่านั้น เข้ามาต่อยอด คือสมาธิดีแล้ว ก็นำมาต่อยอดเจริญปัญญาต่อไป ก็จึงพากันบรรลุนิพพานได้อย่ามากมาย แต่ในปฐมเทศนา ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้เป็นอันดับแรกก่อนเพื่อนเลยว่า ดูก่อนปัญจวัคคีย์ สิ่งสุดโต่ง 2 อย่างที่เธอไม่พึงกระทำ คือ กามสุขัลลิกานุโยโค กับ อัตตกิลมถานุโยโค เธอพึงเดินตามมัชฌิมาปฏิปทา คือ มรรค มีองค์ 8 สิ่ง สำคัญที่สุดคือการมาตีความของคำว่า กามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโคและมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าตีความหมายได้ถูกต้องการปฏิบัติธรรมให้ถึงมรรค ผล นิพพาน จะไม่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเลย แต่ถ้าตีความหมายผิด การปฏิบัติธรรมให้ถึงมรรค ผล นิพพาน จะกลายเป็นเรื่องที่ยาก ลำบาก ใช้เวลานานแสนนาน จะ ตีความ กามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโคและมัชฌิมาปฏิปทา อย่างไร จึงจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม และสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ไว้มาติดตามดูกันต่อไปนะครับ ![]()
|
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 18 ธ.ค. 2009, 11:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ |
วิปัสสนาภาวนา คือ สาระสำคัญของหรือ แก่น ของพระพุทธศาสนา เรื่อง ทาน ศีล สมถะภาวนา เปรียบเหมือน เปลือกและกระพี้ของพระพุทธศาสนา สวัสดีครับ คุณอโศกะ ท่านก็ยังคงแยก สมถะภาวนา ออกเป็นเอกเทศ เช่นเคยนะครับ อรรถว่า "ภาวนา" ในการปฏิบัติของท่าน เป็นอย่างไร สมถะวิปัสสนา วิปัสสนาสมถะ สมถะวิปัสสนาภาวนา วิปัสสนาสมถะภาวนา สมถะ วิปัสสนา โอวาทปาติโมกข์ เป็นพุทธดำรัสโดยปรกติของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่ทรงตรัสสอนพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย. ท่านทราบไม้ครับว่า โอวาทปาติโมกข์ มีไว้สอนพระอรหันต์ด้วย ก็คงไม่ใช่ธรรมดา. |
เจ้าของ: | อโศกะ [ 20 ธ.ค. 2009, 07:54 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ | ||
![]() ท่านเช่นนั้นพยายามจับประเด็นได้ออกมาว่า อโศกะ แยกสมถะ ออกจากวิปัสสนา ถ้าพิจารณาโดยรวมจากคห.ที่อโศกะแสดงมา จะเห็นว่า อโศกะ พยายามที่จะสื่อว่า ถ้าเป็นสมถะล้วนๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา จะเป็นวิชาของพราหมณ์ ฤาษี แต่ถ้า สมถะที่ประกอบด้วยปัญญา จะกลายมาเป็น สัมมาสมาธิ ในมรรค 8 ซึึงเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและบัญญัติขึ้นมาเป็นวิชชาใหม่ เป็นเนื้อพุทธศาสนาแท้ๆ แยกจากพราหมณ์และศาสนา ลัทธิอื่นๆ ในปฏิบัติการจริงๆโดยธรรมแล้วเราจะพูดว่าสมถะกับวิปัสสนาเจริญควบคู่กันไป เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน สนับสนุนกันไปตลอดทาง แต่อโศกะปารถนา จะสื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า ในพุทธศาสน์แท้ๆ หรือในมรรค 8 นั้น เรามีของดี คำดีอยู่แล้วอย่าใช้คำว่าสมถะถาวนากันให้มาก เรามาใช้คำว่า "สัมมาสมาธิ" แทนสมถะ กันดีกว่า จะได้ไม่หลงแฉลบไปลึกลงในวิชชาพราหมณ์ ฤาษี สัมมาทั้ง 8 ข้อ คือมรรค 8 นั้น เพราะประกอบด้วยปัญา จึงเป็นสัมมา เพราะชี้ตรงไปสู่พระนิพพานที่เดียว จึงเป็นสัมมา เพราะความทำทิฐิให้สมบูรณ์ ถูกต้อง จึงเป็นสัมมา เพราะ ให้เห็นสามัญลักษณะทั้ง 3 จึงเป็นสัมมา เพราะให้รู้และเข้าถึง อนัตตา จึงเป็นสัมมา ฯลฯ ดังนี้ ![]()
|
เจ้าของ: | อโศกะ [ 04 ม.ค. 2010, 10:27 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ | ||
![]() วิปัสสนาภาวนา คือ สาระสำคัญของหรือ แก่น ของพระพุทธศาสนา เรื่อง ทาน ศีล สมถะภาวนา เปรียบเหมือน เปลือกและกระพี้ของพระพุทธศาสนา ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | อนัตตาธรรม [ 16 ม.ค. 2010, 16:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโอวาทปาติโมกข์ กับ บุญกิริยาวัตถุ |
แต่ อโศกะปารถนา จะสื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า ในพุทธศาสน์แท้ๆ หรือในมรรค 8 นั้น เรามีของดี คำดีอยู่แล้วอย่าใช้คำว่าสมถะถาวนากันให้มาก เรามาใช้คำว่า "สัมมาสมาธิ" แทนสมถะ กันดีกว่า จะได้ไม่หลงแฉลบไปลึกลงในวิชชาพราหมณ์ ฤาษี สัมมาทั้ง 8 ข้อ คือมรรค 8 นั้น เพราะประกอบด้วยปัญา จึงเป็นสัมมา เพราะชี้ตรงไปสู่พระนิพพานที่เดียว จึงเป็นสัมมา เพราะความทำทิฐิให้สมบูรณ์ ถูกต้อง จึงเป็นสัมมา เพราะ ให้เห็นสามัญลักษณะทั้ง 3 จึงเป็นสัมมา ![]() ฯลฯ ดังนี้ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |