ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=26943 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 13:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
ดูสัมมาทิฐิลิงค์นี้ด้วย viewtopic.php?f=2&t=26922 ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา ในแง่ของการศึกษา กล่าวได้ว่า คนเริ่มมีการศึกษา เมื่อเขามีสัมมาทิฏฐิ บางท่านอาจมองในแง่จากภายนอกเข้าไปตามนัยแห่งไตรสิกขา โดยถือเอาศีลเป็นที่เริ่มต้น แล้วกล่าวว่า การศึกษาเริ่มต้น เมื่อคนประพฤติสุจริต * แต่คำกล่าวเช่นนี้ ยังนับว่าไม่เข้าถึงตัวการศึกษา หรือ แก่นแท้ของการศึกษา เพราะการฝึกปรือในขั้นศีลให้มีสุจริตก็ด้วยมุ่งสร้างสมนิสัยหรือความเคยชินในทางที่ดีงาม เป็นทางนำคนระดับเวไนยไปสู่การมองเห็นคุณค่าของความประพฤติสุจริตเช่นนั้น- (นี่ คือ แง่ที่พฤติกรรมกลับเป็นฝ่ายปรุงแต่งค่านิยมได้เช่นเดียวกับปัจจัยทางสังคมอย่างอื่นๆ) เมื่อใด มองเห็นคุณค่าเกิดความเข้าใจซาบซึ้งและใฝ่นิยมความสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว เมื่อนั้น ศีลหรือความประพฤติสุจริตจึงจะแน่นแฟ้นมั่นคงได้ -(ตอนนี้ ค่านิยมจะเป็นฝ่ายกำหนด พฤติกรรม) และเมื่อนั้นแหละ จึงจะเรียกได้ว่าเขาเป็นผู้มีการศึกษา ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พูดอีกอย่างหนึ่งว่า การที่ฝึกปรือในไตรสิกขาเริ่มต้นแต่ศีลไป ก็เพื่อเป็นการเพาะบ่มให้องค์มรรคทั้งหลาย เริ่มแต่สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น เมื่อใด องค์มรรคซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ บังเกิดขึ้นในบุคคล จึงจะนับได้ว่าเขามีการศึกษา เพราะนับแต่บัดนี้ไป องค์ธรรมทั้งหลายในตัวบุคคลนั้น จะเริ่มเข้าประจำทำหน้าที่สอดประสานส่งทอดต่อกัน สัมมาทิฏฐินอกจากจะทำให้ศีล หรือความประพฤติสุจริตนั้นมั่นคงจริงจังแล้ว ยังช่วยให้การประพฤติศีล เป็นไปด้วยความจริงใจไม่เสแสร้ง และเป็นหลักประกันให้ประพฤติได้ถูกต้องตามความหมายและความมุ่งหมาย ของศีล ไม่ผิดพลาดกลายเป็นสีลัพพตปรามาส หรือถือปฏิบัติโดยงมงายเป็นต้น อีกด้วย เมื่อใด มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อนั้นจึงวางใจในการปฏิบัติศีลหรือไว้ใจในความสุจริตนั้นได้ แต่ถ้ายังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ตราบใด ก็ยังไม่อาจวางใจในศีล ตราบนั้น ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() *คำว่า สุจริตในที่นี้หมายถึง สุจริตอย่างที่ใช้ในภาษาไทย คือ มุ่งกาย วาจา และอาชีวะสุจริต ไม่รวมถึงมโนสุจริต (มโนสุจริตคลุมสัมมาทิฏฐิด้วย) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 13:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
ถ้าแสดงความหมายผ่อนลงมา โดยถือเอาปัจจัยของสัมมาทิฏฐิเป็นหลัก ก็อาจกล่าวว่า การศึกษาเริ่มต้น เมื่อคนรู้จักคิด (โยนิโสมนสิการ) ความหมายอย่างนี้ ก็นับได้ว่าถูกต้อง ด้วยเป็นการกล่าวแบบเล็งความถึงกัน เพราะเมื่อมีโยนิโสมนสิการแล้ว ก็หวังได้ว่าสัมมาทิฏฐิจะเกิดตามมา ดังจะเห็นได้ว่า แม้แต่การปฏิบัติระดับศีลเมื่อได้โยนิโสมนสิการ ช่วยนำพฤติกรรม จึงจะทำให้การปฏิบัติ ดำเนินไปอย่างถูกต้องพอดี และเป็นการกระทำอย่างมีเป้าหมายที่เกื้อกูลเป็นประโยชน์ ทั้งตนเองก็ได้ความความเข้าใจ มีความมั่นใจ จิตเป็นกุศลโปร่งผ่องใส เช่นในการแต่งตัวให้สะอาดเรียบร้อย นอกจากคำนึงถึงคุณค่าเพื่อชีวิตคือปกปิดและปกป้องร่างกายจากหนาว ร้อนและความละอายเป็นต้นแล้ว โยนิโสมนสิการ ยังช่วยให้คำนึงในทางเกื้อกูลแก่ผู้อื่นและแก่สังคมอีกด้วย เช่น ทำใจว่า เราจะแต่งตัวอย่างนี้ให้สะอาด เรียบร้อยอย่างนี้ เพื่อความเป็นระเบียบดีงามของหมู่ของชุมชนหรือของสังคม เรานุ่งห่มไม่ให้น่าเกลียดหรือน่ารังเกียจ ให้เรียบร้อยงดงามอย่างนี้ เพื่อรักษาจิตใจของคนอื่นที่เขาพบเห็น ให้เป็นกุศล ไม่เศร้าหมองขุ่นมัว เพื่อช่วยเสริมบรรยากาศให้คนอื่นๆมีจิตใจผ่องใส โน้มน้อมไปในทางดีงาม ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() แต่ถ้าคิดขึ้นมาว่า จะอวดโก้ อวดฐานะ เอาเด่น จะข่มคนโน้นคนนี้ หรือจะล่อใจคนให้หลงใหลติดพัน หรือมีจิตคิดแง่งอน ว่าจะทำตามใจฉัน ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ดังนี้เป็นต้น ก็กลายเป็นอโยนิโสมนสิการ อกุศลธรรมก็เข้าครอบงำใจ จิตก็ปิดล้อมตัวเองให้คับแคบ ไม่โปร่งโล่ง ไม่ผ่องใส และพฤติกรรมในการแต่งกายก็พร้อมที่จะวิปริตออกไปจากความถูกต้องพอดีได้ทันที |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 14:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
เมื่อพูดถึงการศึกษา คนทั่วไปมักนึกถึงการเล่าเรียนความรู้สำหรับทำมาหาเลี้ยงชีพ อันเป็นเรื่องของอาชีวะ และเป็นเรื่องระดับศีล การศึกษาที่มุ่งสร้างแต่อาชีวะ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสัมมาอาชีวะหรือมิจฉาชีวะ ย่อมไม่มีสาธุชนใดเห็นชอบด้วย แต่การศึกษาที่มุ่งสร้างสัมมาอาชีวะเพียงอย่างเดียว โดยไม่ใส่ใจสร้างสัมมาทิฏฐิ ก็ยังหาชื่อว่าเป็นการศึกษา ที่ถูกต้องไม่ และน่าจะไม่สำเร็จผลสมความมุ่งหมาย แม้แต่ที่จะให้เกิดสัมมาอาชีวะนั้นด้วย เพราะยังไม่เข้าถึงตัวการศึกษา อาจจะเป็นสัมมาอาชีวะแต่เพียงชื่อ ไม่ใช่สัมมาอาชีวะที่แท้ เพราะเป็นการฝึกหัดศีล โดยไม่ทำองค์มรรคให้เกิดขึ้น จึงยังผิวเผิน ฉาบฉวย ไม่หยั่งรากลง ทางที่ถูกจะต้องปลูกฝังสัมมาทิฏฐิไว้เป็นรากฐานของสัมมาอาชีวะด้วย พูดง่ายๆว่า จะให้ถือศีลโดยไม่มีความใฝ่นิยมศีล หรือให้ประพฤติสุจริตโดยไม่มีค่านิยมแห่งความสุจริต ย่อมไม่เพียงพอ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 19:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
(ต่อ) ความที่กล่าวในตอนนี้ มีความสำคัญถึงขั้นหลักการ ซึ่งควรจะเน้นไว้ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมรรค กับไตรสิกขา ซึ่งมองดูได้ที่สัมมาทิฏฐิกับการฝึกอบรมศีล อันเป็นข้อแรกของหมวดธรรมแต่ละหมวด ในตอนต้น ได้เคยกล่าวถึงความสัมพันธ์อย่างเป็นปัจจัยกันระหว่างศีลกับสัมมาทิฏฐิว่า เมื่ออยู่ร่วมกันด้วยดี โดยสงบเรียบร้อย ใจก็ไม่ต้องคอยสะดุ้งหวาดระแวง เมื่อประพฤติดีมีศีล ก็ไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวายใจ ทำให้จิตสงบ เป็นสมาธิ เมื่อใจสงบแน่วแน่ผ่องใสก็ช่วยให้คิดคล่อง มองเห็นอะไรๆชัดเจน ไม่เอนเอียง มีความเข้าใจดี เกิดปัญญา ถ้าปัญญานั้น รู้ตระหนักมองเห็นคุณค่าของความประพฤติดีมีศีล ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นถูกต้อง ก็คิด แล้วพูด ทำ ประพฤติปฏิบัติถูกต้องเป็นศีลอีก ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() และอีกตอนหนึ่งได้กล่วแล้วว่า การฝึกหัดศีล หรือฝึกอบรมความประพฤติจะชื่อว่าเป็นการศึกษา ก็ต่อเมื่อสามารถทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ อย่างน้อยตั้งแต่ขั้นซาบซึ้งในคุณค่าของศีล หรือ มีค่านิยม แห่งความสุจริตขึ้นไป การฝึกอบรมความประพฤติที่จะให้มีผลเช่นนี้ ได้กล่าวมา ณ ที่นี้ ๒ อย่าง คือ ๑) การฝึกศีลที่อาศัยความเคยชินและศรัทธา เป็นวิธีที่เน้นหนักในด้านระเบียบวินัย ได้แก่การจัดสรรสภาพแวดล้อมให้เป็นกรอบกำกับความประพฤติ และจัดระเบียบความเป็นอยู่ เช่นกิจวัตรเป็นต้น ให้กระชับ ฝึกคนปฏิบัติให้เกิดความคุ้นและเคยชินเป็นนิสัย พร้อมนั้นก็สร้างเสริมศรัทธาโดยให้กัลยาณมิตรเช่นครูแนะนำชักจูงให้เห็นว่าการประพฤติดี มีระเบียบวินัยเช่นนั้น มีประโยชน์ คุณค่าหรืออานิสงส์อย่างไร และอาจให้ได้ยิน ได้เห็นบุคคลผู้มีความประพฤติดีงามน่าเลื่อมใสศรัทธาที่มีความสุข ความสำเร็จเป็นแบบอย่าง (เช่น ครูนั่นเอง)ประกอบไปด้วย โดยวิธีนี้ ความซาบซึ้งในคุณค่าของความประพฤติดีงาม ความรักวินัย ความใฝ่นิยมศีลก็เกิดขึ้นได้ แม้ไม่มีกัลยาณมิตรคอยชี้แจงประโยชน์ หรือได้เห็นแบบอย่างอะไรมากนัก แต่ถ้าระเบียบวินัย หรือ กรอบความประพฤตินั้นเป็นสิ่งที่เขาปรับตัวเข้าได้ เกิดความเคยชินเป็นนิสัยขึ้นมาก็ดี เขาได้รับผลดี มองเห็นประโยชน์แก่ตนบ้างก็ดี เขาก็จะเกิดความใฝ่นิยมและคิดหาเหตุผลเข้ากับความประพฤติดีมีระเบียบวินัยนั้นเอง เมื่อพ้นจากขั้นประพฤติไปตามกรอบหรือตามบังคับ มาถึงขั้นเห็นคุณค่าใฝ่นิยมที่จะทำอย่างนั้นแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ นับได้ว่า เริ่มมีการศึกษา แม้ว่าจะเป็นสัมมาทิฏฐิชนิดโลกีย์อย่างอ่อนเหลือเกินและไม่สู้มั่นคงปลอดภัย นัก เพราะอาจกลายเป็นการปฏิบัติด้วยความยึดมั่นงมงายเป็นสีลัพพตปรามาสได้ก็ตาม |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 19:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
๒) การฝึกศีลที่ใช้โยนิโสมนสิการกำกับ เป็นวิธีที่เน้นความเข้าใจในความหมายของการกระทำ หรือ การปฏิบัติทุกอย่าง คือปฏิบัติการ ด้วยโยนิโสมนสิการ หรือใช้โยนิโสมนสิการนำและคุมพฤติกรรม ดังตัวอย่างเรื่องการแต่งกาย ที่ได้กล่าวมาแล้ว ตามวิธีนี้ กัลยาณมิตรเช่นครู จะช่วยได้โดยแนะแนวความคิดให้เห็นช่องทางพิจารณาและเข้าใจความหมาย ของพฤติกรรมนั้นๆไว้ก่อน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ตัวอย่างอื่นอีกเช่น ในการไหว้กราบแสดงความเคารพ ผู้กราบไหว้พระสงฆ์หรือแสดงความเคารพ ผู้ใหญ่กว่า อาจทำใจให้เข้ากับความหมายที่ถูกต้องดีงามเป็นกุศลของการกระทำในกรณีนั้นๆ และเวลานั้นๆ เช่นว่า เราขอกราบไหว้เพื่อเป็นการฝึกตนให้เป็นคนอ่อนโยนไม่แข็งกระด้าง หรือเรากราบไหว้เพื่อเชิดชูระเบียบเพื่อความดีงามของสังคม หรือเรากราบไหว้เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งการเทิดทูนธรรมที่ท่านผู้นั้นเป็นตัวแทนอยู่ หรือเรากราบไหว้ด้วยเมตตาหวังดีหวังประโยชน์แก่ท่านผู้นั้น เพื่อเป็นเครื่องช่วยระวังรักษาท่านให้ดำรงอยู่ ในภาวะและฐานะที่ดีงามเหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุดว่า เรากราบไหว้นี้เป็นการจะประพฤติธรรมในส่วนของตัวเรา ให้ถูกต้องให้ดีงามที่สุด ของเราก็แล้วกัน ดังนี้เป็นต้น ทางฝ่ายพระสงฆ์ ผู้ใหญ่หรือครู ที่เป็นผู้จะได้รับความเคารพกราบไหว้ ก็อาจทำใจเมื่อเขากราบไหว้เคารพตน เช่น นึกเป็นโอกาสที่ได้สำรวจตนว่า เรายังเป็นผู้มีคุณธรรม ความประพฤติสมควรแก่การได้รับความเคารพกราบไหว้อยู่หรือไม่ หรือนึกว่า ท่านผู้นี้อยู่ในฐานะที่เราพึงแนะนำได้ เขาไหว้กราบถูกต้องหรือไม่อย่างไร เป็นโอกาสที่เราจะรู้ไว้และค่อยนำมาแนะนำด้วยความหวังดีต่อไป หรือใจอนุโมทนาว่าท่านผู้นี้ คนผู้นี้ช่างเป็นผู้มีคุณธรรมสูง รู้จักรักระเบียบของสังคม รู้จักให้เกียรติเทิดทูนธรรม หรือทำใจว่า เอาเถิดว่ากันไปตามสมมุติของโลกแล้วแต่จะทำอย่างไรให้โลกมันดีก็เอา ดังนี้เป็นต้น เมื่อทำใจด้วยโยนิโสมนสิการอย่างนี้ ก็จะมีความมั่นใจในการกระทำของตน และจะไม่เกิดอกุศลธรรม เข้าครอบงำจิตด้วย เช่น ทางฝ่ายผู้กราบไหว้ก็จะไม่ต้องมาถือเทียบเขาเทียบเราด้วยกิเลสแห่งความยึดติด ถือมั่นในตัวตนว่า เขามีดีอะไรเราจะต้องไหว้ เราดีกว่าเขาเสียอีก จะไหว้ทำไม ดังนี้เป็นต้น ทางฝ่ายผู้จะได้รับความเคารพก็จะไม่ต้องเกิดกิเลสคอยระแวง หรือ โทมนัสน้อยใจแค้นเคือง เช่น ว่า ทำไมคนนี้ไม่ไหว้เรา ทำไมคนนั้นไหว้ด้วยอาการไม่ถูกใจเรา หรือลุ่มหลงลืมตัวว่า เรานี้เป็นผู้เลิศประเสริฐสูง ผู้คนทั้งหลายพากันนอบนบกราบไว้ ดังนี้เป็นต้น ด้วยตัวอย่างที่ยกมานี้ ล้วนเป็นโยนิโสมนสิการแบบเร้ากุศลธรรมและให้เกิดสัมมาทิฏฐิ แบบโลกีย์เท่านั้น แต่ก็จะเห็นได้ว่า วิธีฝึกข้อ ๒ นี้ประณีตลึกซึ้งกว่าวิธีที่ ๑ สามารถป้องกันผลเสีย คือการเกิดขึ้นของอกุศลธรรมที่จะเข้าแฝงซ้อนการปฏิบัติ ซึ่งวิธีที่ ๑ ป้องกันไม่ได้ เป็นการปฏิบัติอย่างมั่นใจด้วยปัญญา ทำให้เกิดความเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยไป พร้อมกันกับการฝึกศีล และปิดช่องที่จะกลายเป็นการประพฤติปฏิบัติศีลด้วยความงมงายที่เรียกว่า สีลัพพตปรามาส |
เจ้าของ: | เอรากอน [ 14 พ.ย. 2009, 19:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
จานป้อ หง่ะ จะสอนธรรม ใส่ลูกเล่นลงไปบ้างไม่ได้หรือ ![]() ![]() ![]() ไบก้อง อยากติดตาม แต่ ไบก้อง แพ้ทางวิชาการ หน่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ภยังค์ [ 14 พ.ย. 2009, 19:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
กระจ่างดีครับ ก็วิชาการดีด้วยครับ สาธุๆ :b8: |
เจ้าของ: | เอรากอน [ 14 พ.ย. 2009, 19:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
ภยังค์ เขียน: กระจ่างดีครับ ก็วิชาการดีด้วยครับ สาธุๆ ![]() ช่าย กระจ่างดี วิชาการ ก็ดี แต่ จะเอาลูกเล่นด้วย...หง่ะ... ![]() ![]() ![]() ![]() ไม่ลูกเล่นก็ได้ แต่เอาตัวอย่างที่เป็นของจริง แล้ว จานป้อ วิเคราะห์ตัวอย่างให้ฟังด้วย หง่ะ... ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 19:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
เอรากอน เขียน: จานป้อ หง่ะ จะสอนธรรม ใส่ลูกเล่นลงไปบ้างไม่ได้หรือ ไบก้อง อยากติดตาม แต่ ไบก้อง แพ้ทางวิชาการ หน่ะ จะเอาลูกเล่นอีก ความจริงวิชาการก็คือการฝึกจิตนั่นแหละ แต่เราใจร้อน พอเจอวิชาการ จะเอาภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติก็ดูจิตนั่นแหละ ดูไป ดูให้ลึกลงไปเรือย ๆ รู้สึกอย่างไรก็รู้อย่างนั้น เป็นอย่างไรก็รู้อย่างนั้น ตามที่มันเป็น โดยไม่เอาไบกอนเข้าไปวุ่นวายกับสิ่งนั้นภาวะนั้น เข้าใจไหม ![]() |
เจ้าของ: | เอรากอน [ 14 พ.ย. 2009, 20:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
กรัชกาย เขียน: จะเอาลูกเล่นอีก ความจริงวิชาการก็คือการฝึกจิตนั่นแหละ แต่เราใจร้อน พอเจอวิชาการ จะเอาภาคปฏิบัติ ![]() ![]() อิ อิ จานป้อ ...รู้อีก... ![]() ![]() อ้างคำพูด: ภาคปฏิบัติก็ดูจิตนั่นแหละ ดูไป ดูให้ลึกลงไปเรือย ๆ รู้สึกอย่างไรก็รู้อย่างนั้น เป็นอย่างไรก็รู้อย่างนั้น ตามที่มันเป็น โดยไม่เอาไบกอนเข้าไปวุ่นวายกับสิ่งนั้นภาวะนั้น เข้าใจไหม ![]() เหมือนจะเข้าใจ นิ๊ด ๆ ค่ะ แต่ไม่ค่อยจะแจ่ม ไอ้การเท่าทันเจ้า ไบก้อน ที่ชอบวุ่นวาย หน่ะ ... ![]() วิชาการก็ได้... จานป้อ ช่วยขยายความให้ ไบก้อน ค่อย ๆ สะกดรอยตามได้มั๊ยคะ เพราะไบก้อน เป็นแต่ดุ่ม ๆ สุ่ม ๆ ทำมาน่ะค่ะ ก็ได้แต่ใส่ใจที่จะทำ ไม่ค่อยได้อิงตำรา... ดีค่ะ ไบก้อนจะได้ถือโอกาสทบทวน ลู่ทางตัวเองด้วยค่ะ งานนี้ จะเอาเสื่อมาปู นั่งเรียนดี ๆ แล้วจ๊าาา ![]() จะค่อย ๆ ฟังอาจารย์สอน จะไม่ใจร้อนด้วย... ![]() |
เจ้าของ: | betterlife [ 14 พ.ย. 2009, 20:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
![]() ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 20:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
(ต่อ) วิธีฝึกที่ถูกต้องตามแนวของมรรคอย่างแท้จริง คือวิธีที่ ๒ หากจะใช้วิธีที่ ๑ ควบไปด้วยก็น่า จะได้ผลดียิ่งขึ้น แต่จะใช้วิธีที่ ๑ อย่างเดียว นับว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาที่แท้ เพราะในการศึกษา ที่ถูกต้อง ภายนอกเริ่มต้นด้วยการฝึกขั้นศีล แต่ภายในต้องใช้โยนิโสมนสิการสร้างปัญญา ให้เกิดสัมมาทิฏฐิพร้อมกันแต่แรกเรื่อยไป และเมื่อทำอย่างนี้ ก็เป็นการใช้โยนิโสมนสิการในทางปฏิบัติ ซึ่งใช้ได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่รอเอาไว้พิจารณาความคิดอย่างเดียว และไม่ใช่แต่ในขั้นศีลนี้เท่านั้น แม้ในขั้นสมาธิและขั้นปัญญาแท้ๆ ก็จะต้องใช้โยนิโสมนสิการ อย่างนี้เรื่อยไป สัมมาทิฏฐิและองค์มรรคทั้งหลายภายในจึงจะเจริญแก่กล้าพรั่งพร้อมยิ่งขึ้นไป โดยนัยนี้ ก็จะมองเห็นความเจริญขององค์มรรคทีควบไปกับการฝึกไตรสิกขา กล่าวคือ เมื่อมองจากข้างนอก หรือมองตามขั้นตอนใหญ่ ก็จะเห็นการฝึกอบรมตามลำดับขั้นของไตรสิกขา เป็นศีล สมาธิ และปัญญา แต่เมื่อ มองเข้าไปข้างในที่รายละเอียดของการทำงาน ก็จะเห็นองค์มรรคทั้งหลายเดินไขว่ ทำหน้าที่กันอยู่ หรือว่าบุคคลนั้น กำลังเดินตามมรรคอยู่ตลอดเวลา พูดสรุปได้ว่า วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องคือ ภายนอกฝึกตามไตรสิกขาไป ภายในก็เดินตามมรรคด้วย นี้คือความหมายของความที่ว่า เป็นการประสานขานรับกันทั้งระบบฝึกคน จากข้างนอก และระบบก้าวหน้าขององค์ธรรมที่อยู่ข้างใน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 20:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
ไบกอนจะเรียนเอาไปทำอะไร แล้วที่คิดจะเรียนจะรู้นั่นมีจุดประสงค์อันใดฤา เป้าหมายหรือจุดหมายในการเรียนรู้ของไบกอนคืออะไร |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 14 พ.ย. 2009, 21:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
(ต่อ) มองลึกลงไปอีกถึงพัฒนาการของบุคคล เมื่อพิจารณาตามหลักเท่าที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า ถ้าปล่อยให้มนุษย์เจริญเติบโตอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่อาศัยปัจจัยทางสังคม เข้าช่วยเสียเลย ก็จะมีเพียงอัจฉริยมนุษย์ ไม่กี่คนที่จะสามารถใช้โยนิโสมนสิการโดยลำพังตัว นำตนเข้าถึงชีวิตที่ดีงามสูงสุด และในทางตรงข้าม การปล่อยให้มนุษย์เจริญเติบโตขึ้น ด้วยการหล่อหลอมของปัจจัยต่างๆ ทางสังคมอย่างเดียว ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเข้าถึงความดีสูงสุดที่เขาเองสามารถเข้าถึงได้ โดยนัยนี้ อาจกล่าวว่า แนวทางพัฒนาบุคคลสองแบบต่อไปนี้ เป็นวิธีการสุดโต่งที่ผิดพลาดคือ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ๑) การพัฒนาโดยปล่อยให้เป็นไปเองอย่างเสรีตามธรรมชาติ ๒) การพัฒนาตามความปรุงแต่งต้องการของสังคม การพัฒนาตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่เพียงพอ จะต้องพัฒนาด้วยความเข้าใจสภาวะของธรรมชาติที่จะทำ ให้วางใจ วางท่าทีสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างถูกต้องได้ผลดีด้วย ในทำนองเดียวกัน การพัฒนาตามความต้องการของสังคม ก็ไม่เพียงพอ จะต้องพัฒนาด้วยความรู้ เท่าทัน ที่จะทำให้สามารถหลุดพ้นจากอำนาจปรุงแต่งของสังคมได้ด้วย และการพัฒนาที่สมบูรณ์ จะต้องเกี่ยวข้องทั้งกับธรรมชาติและกับสังคม ทั้งนี้ เพราะมนุษย์เกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยธรรมชาติและมนุษย์อื่น เมื่อเป็นอยู่ก็ต้องเกี่ยวข้องทั้งกับธรรมชาติและมนุษย์อื่น จึงอาจกล่าวถึงการพัฒนาบุคคลที่ถูกต้องสมบูรณ์ว่า เป็นพัฒนาการด้วยความรู้ความเข้าใจทีทำให้เจริญเติบโต ขึ้นอย่างเกื้อกูลแก่สังคมและอย่างเป็นกันเองกับธรรมชาติ พร้อมกับได้ทั้งสังคมและธรรมชาติเป็นที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตงอกงามเอิบอิ่มเบิกบาน มีความดีงามและความเกษมศานติ์ |
เจ้าของ: | เอรากอน [ 14 พ.ย. 2009, 21:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา |
กรัชกาย เขียน: ไบกอนจะเรียนเอาไปทำอะไร แล้วที่คิดจะเรียนจะรู้นั่นมีจุดประสงค์อันใดฤา เป้าหมายในการเรียนรู้ของไบกอนคืออะไร อ๊า..~ เจอคำถามนี้ นั่นสิคะ... ![]() อ้างคำพูด: เพราะไบก้อน เป็นแต่ดุ่ม ๆ สุ่ม ๆ ทำมาน่ะค่ะ ก็ได้แต่ใส่ใจที่จะทำ ไม่ค่อยได้อิงตำรา... ดีค่ะ ไบก้อนจะได้ถือโอกาสทบทวน ลู่ทางตัวเองด้วยค่ะ คือจริง ๆ ไบก้อนแทบจะไม่ได้จับตำราเลย ได้แต่ ทำตามคำแนะนำ ง่าย ๆ ที่พระสอน คือทุกอย่างก็ ok ไบก้อน สงบสุขดี แต่สิ่งที่ ไบก้อน พร่องอย่างแรง ก็คือ ไบก้อน เป็นปฏิบัติมาแบบไม่เป็นภาษา คือ ถูก หรือ ผิด เราไม่รู้ แต่เรามาของเราอย่างงี๊... ![]() เมื่อ ไบก้อน มาเดินเล่นในลานเสวนาธรรม ไบก้อน เจอแนวทางที่หลากหลาย เจอ ธรรม ที่ว่ามันมีผิด มีถูก มีโนน่ มีนี่ ![]() ![]() ![]() ก็เห็น คนที่ดูท่าทีเก่ง ๆ ตั้งเยอะแยะ (เก่งกว่าเรา) ยังมีออกแนวแปร่ง ๆ หง่ะ ส่วน เรา ทำมาแบบซื่อ ๆ ตามประสาคนบ้านนอก... ![]() (คือเราอดที่จะระแวงตัวเองว่างั๊น ไม่ได้) ก็แค่อยากทบทวนสิ่งที่ตนเข้าใจ ค่ะ... ว่าสิ่งที่ เราเข้าใจ ปฏิบัติมา สิ่งซึ่งมันคอยประคับประคอง ให้เราชีวิตเราราบเรียบ และสงบสุข ก็จริง แต่ จริง ๆ แล้ว เราทำมาถูกจริง ๆ แล้วหรือ... และมันมีสิ่งที่เราควรทำยิ่งกว่านี้หรือไม่ ตรงนี้ล่ะ คือคำตามที่เราถามตัวเอง จึงพยายามที่จะเรียนรู้ ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |