ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ผมเลือกปฎิปทาในการปฎบัติเพื่อลดกิเลสได้จริงมาฝากครับ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=24091 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | dhama [ 20 ก.ค. 2009, 19:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | ผมเลือกปฎิปทาในการปฎบัติเพื่อลดกิเลสได้จริงมาฝากครับ |
ผมเลือกพิจารณากายานุปัสนาและเวทนานุปัสนามาฝากครับ ผมพิจารณาอย่างนี้ครับผมดูลมหายใจหรือเรียกว่าอาณาปานสติเข้าออกครับคือกายานุปัสนาครับพอมีสมาธิพอประมาณ และผมก็รับรู้เวทนาที่เกิดกับการกระทบลมกับกายก็จะมีเวทนาเกิดขึ้นละเอียดอ่อน เมื่อเวทนาละเอียดอ่อนปรากฏเราก็จะรับรู้ถึงความรู้สึกเวทนาทั่วร่างกายเบาๆเกิดดับทั่วร่างกายแม้แต่เกิดที่ปลายนิ้วก้อยเท้าและติ่งหูก็ยังรับความรู้สึกได้เป็นอานุภาพปรมณูเล็กเกิดดับเกิดดับตลอดเวลา เท่ากับจิตเราละเอียดอ่อนกว่าปกติแน่นอนซึ่งปกติเราไม่เคยรับความรู้สึกเหล่านี้ได้มาก่อน รูปกับนามสัมผัสกันตลอดเวลาเชื่อมโยงกันตลอดเวลาเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นที่จิตกายก็ต้องมีเวทนาเกิดขึ้นเสมอเราจะรับความรู้สึกนี้ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับจิตเราว่าละเอียดอ่อนพอหรือเปล่า สังเกตุหยาบๆเมื่อเราโกรธก็จะรู้สึกว่าใจเราเต้นแรงใช่หรือเปล่าแต่นั้นเป็นเวทนาหยาบก็จะเห็นได้ชัด ปกติแล้วร่างกายเราเกิดดับตลอดทุกท่านก็รู้อยู่แล้ว แต่เราไม่เคยรับรู้ในระดับเวทนาเลย เราต้องรับรู้ความรู้สึกเกิดดับที่มันเกิดขึ้นตามปกติที่มันเป็นอยู่ทั่วร่างกาย แม้แต่เราจะพิจารณาจิตหรือพิจารณาธรรมอย่างไรก็จะต้องรับรู้ถึงเวทนาอยู่แล้ว เราต้องฝึกจิตเราให้ละเอียดถึงละเอียดที่สุดเพื่อจิตไร้สำนึกเท่านั้นที่จะสัมผัสเวทนาที่ละเอียดอ่อนที่สุดในขณะที่เราเข้าถึงสภาวะที่ละเอียดที่สุดจนที่สามารถรับรู้สภาวะเกิดดับทั่วร่างกายแล้ว เมื่อมีเวทนาใดๆเกิดเราก็ต้องวางอุเบกขาไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราในขณะที่เรารับรู้ความระเอียดอ่อนทั่วร่างกายเราจะมีความสุขเกิดขึ้นเป็นปิติเบาสบายต้องว่างอุเบกขาด้วยการเข้าใจในกฎธรรมชาติ อนิจจัง ทุกอย่างเป็นอนิจจังไม่เทียงไม่สมควรยึดมั่นถือมั่น เวทนานั้นก็อยู่กับเราไม่นาน เวทนาเจ็บปวดก็เกิดขึ้นอันนี้เห็นได้ชัดเห็นถึงความทุกข์คนเราเมื่อเกิดความทุกข็ก็จะไม่ชอบมักจะเกิดปฎิฆะ หรือโทษะ อันนี้เราจะใช้อุเบกขามากำจัดโทษะโดยตรง เราจะวางอุเบกขากับทุกข์เวทนา ส่วนสุขเวทนาเราก็จะวางอุเบกขาเพื่อกำจัดโลภะ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในอนุสัยก็จะผุดขึ้นมาหลุดออกไป อันนี้รับรองได้ได้ผลมากครับ ผมเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสิ้นเชิงคำว่าสิ้นเชิงผมจะอธิบายสั้นๆนะครับคือผมถือศิลแปดเป็นปกติครับ จากคนที่เลวที่สุดเท่าที่คุณจะคิดได้ก็แล้วกันอันนี้เอามาฝากครับ ในขณะนี้ผมฝังธรรมะทุกวันอ่านที่ท่านเขียนทุกวันมันได้ความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ แต่การปฏิบัตินั้นมันเป็นความรู้ที่ผมรู้ได้เฉพาะตน ส่วนความรู้ที่ผมอ่านนั้นเป็นความรู้ในระดับสุตตมยปัญญาซึ้งเป็นความรู้ที่ท่านทั้งหลายนำเสนอก็มีประโยชน์อยู่บ้างในเชิงปรัชญาครับ อันนี้ไม่ต้องการการโต้ตอบนะครับไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมรับเหตุผลนะครับเพราะการโต้ตอบจะเหมือนเราใส่แว่นกันคนละสีเดี๋ยวจะไม่มีการดี อันนี้ใครเห็นสมควรก็ยิบเอาไว้พิจารณาครับ ขอธรรมะคุ้มครองเจริญในธรรมทุกท่านครับ |
เจ้าของ: | กามโภคี [ 21 ก.ค. 2009, 10:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผมเลือกปฎิปทาในการปฎบัติเพื่อลดกิเลสได้จริงมาฝากครับ |
ขออนุโมทนาด้วยที่สามารถเข้าใจได้ในบางส่วนของสติปัฏฐาน ![]() อย่างไรก็ตาม เราอย่าไปดูที่เวทนาอย่างเดียว เพราะสภาวะรูปนาม ไม่ได้เกิดแค่เวทนา โดยรวมมี ๒ อย่าง คือ กาย ใจ หรือเรียกกันว่า รูปนาม เราต้องแยกการรู้แต่ละอย่างออกจากกัน เช่น เมื่อตาเห็นรูป เมื่อใจรู้สึกชอบ เมื่อจิตคิดรักในรูปที่เห็น เมื่อพอใจอยากได้ใคร่ดี แค่ตาเห็นรูปอย่างเดียวอาจเกิดได้ถึง ๔ อย่างคือ กาย ได้แก่การที่ตาเห็นรูป เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกในรูปที่ถูกใจหรือผลผัสสะนั้น(การมองเห็น) จิต ได้แก่การคิดรักปรุงแต่งไปกับรูป ธรรม ได้แก่กามราคะในรูป แม้จะไม่เป็นอกุศล เช่นรูปของพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็จัดว่าเป็นกามฉันทะ แต่กามฉันทะชนิดที่ไม่นำพาสู่อบาย การหมายเอาที่เวทนาอย่างเดียว อาจได้ประโยชน์สูง แต่ทั้งนี้บางอย่างอาจหลั่งไหลเข้ามาได้ง่ายกว่า การดักที่กาย เช่น การเห็นรูป เมื่อเห็น สักว่าเห็น ถ้าทำได้ ก็ดับตรงนี้เลย เกิดตรงตากระทบรูปที่เห็น ก็ดับตรงนี้ เวทนายังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำ คห. ผม ถ้าเราสามารถห้ามการเกิดขึ้นของจิตที่วิ่งไปสู่อารมณ์ได้ไว กิเลสก็จะตามมาน้อย บางครั้ง เวทนาจัดเป็นปลายเหตุของรูปนามที่มี เพราะรูปนามที่มีนั้น เมื่อกระทบกัน ก็เป็นผัสสะ เมื่อผัสสะ มี เวทนาก็เกิด ในกรณีที่เราจะห้ามกิเลสได้ไว เรามีอุเบกขาตั้งแต่ตอนที่กระทบกัน ตัดสายของเหตุ ปัจจัยเสียตรงนั้น เวทนาก็ไม่มีมาให้เราต้องไปนั่งดู เวทนา ความหมาย เช่น ลมเย็นมากระทบตัว การที่ลมเย็นกระทบจัดเป็นกาย การชอบ หรือพอใจในความรู้สึกเย็นสบาย จัดเป็นเวทนา อย่าเข้าใจว่าการกระทบกันหรือความเย็นเป็นเวทนานะครับ แม้เวทนาจะแปลว่าความรู้สึก แต่ต้อง ๓ ลักษณะคือ สุข ทุกข์ กลาง ไม่ไช่รู้สึกลมมากระทบแล้วกล่าว ว่ากรากระทบนั้นเป็นเวทนา อนึ่ง อุเบกขาหรือการวางเฉยนั้น ไม่ไช่จากการฟังหรือจากการเข้าใจเพียงชั่วแล่น แต่เป็นอุเบกขาที่ เกิดมาจากการอบรมทางปัญญา หรือการเจริญสติจนไปเห็นความจริงของทั้งปวงที่มีปรากฏ อุเบกขา ชนิดนี้ จะเกิดต่อเมื่อเห็นความจริงบางอย่างปรากฏแจ้งแล้ว อุเบกขาที่เกิดในคนเราทั่วไป ยังเจือด้วย ความชอบไม่สามารถได้มาก็เฉย ไม่ชอบก็เฉย หรือ ครูอาจารย์แนะให้วางเฉย จึงมาเฉยเสีย อย่างนี้ เป็นอุเบกขาที่ยังกำเริบได้ ถือได้ว่ามาถูกที่ถูกทางแล้ว อนุโมทนาด้วยครับ ถ้าจะให้ดีเยี่ยม อย่าปล่อยโอกาสที่จะดูสภาวะที่เกิด ทางกาย ทางจิต และธรรมมารมณ์ด้วย กิเลสจะได้ไม่หลุดเข้ามาง่ายๆ เพราะพระองค์ตรัสไว้ถึง ๔ แบบ และเมื่อเวลาใดควรใช้อะไร ก็หยิบมาใช้ตามที่เหมาะที่ควรครับ เข้าใจว่า วิธีที่ท่านทำอยู่นี้เป็นของท่าน อ.โกเอ็นก้า ท่านเน้นที่การดูเวทนาก่อน แล้วจึงเริ่มดักกิเลสทางอื่นๆตาม |
เจ้าของ: | ภัทร์ไพบูลย์ [ 21 ก.ค. 2009, 10:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผมเลือกปฎิปทาในการปฎบัติเพื่อลดกิเลสได้จริงมาฝากครับ |
สาธุกับท่านกัลยาณมิตรที่นำความรู้มาเผยแพร่ครับขออนุโมทนาสาธุ เทพบุตร ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | dhama [ 21 ก.ค. 2009, 12:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผมเลือกปฎิปทาในการปฎบัติเพื่อลดกิเลสได้จริงมาฝากครับ |
สาธุๆ แจ่ม |
เจ้าของ: | dhama [ 21 ก.ค. 2009, 12:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผมเลือกปฎิปทาในการปฎบัติเพื่อลดกิเลสได้จริงมาฝากครับ |
กามโภคี เขียน: ขออนุโมทนาด้วยที่สามารถเข้าใจได้ในบางส่วนของสติปัฏฐาน ![]() .... เข้าใจว่า วิธีที่ท่านทำอยู่นี้เป็นของท่าน อ.โกเอ็นก้า ท่านเน้นที่การดูเวทนาก่อน แล้วจึงเริ่มดักกิเลสทางอื่นๆตาม ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |