ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ทำอย่างไรให้ใบหน้าไร้ฝ้า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=48560 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 27 ต.ค. 2014, 23:15 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ทำอย่างไรให้ใบหน้าไร้ฝ้า | ||
![]() ![]() ![]() เรื่อง ทำอย่างไรให้ใบหน้าไร้ฝ้า คุณผู้หญิงหลายคนคงรู้สึกกังวลกับปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้ามากเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องสิว กระ รอยดำ รวม ถึงปัญหาฝ้าบนใบหน้าฝ้ามีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลดำที่มักเกิดบนใบหน้า บริเวณแก้ม หน้าผาก จมูก บริเวณเหนือริมฝีปาก และคาง บางครั้งอาจลามมาบริเวณคอและปลายแขนด้านนอกที่ถูกแสงแดด ปัญหาฝ้ามักพบบ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมักพบมากในหญิงสาววัยกลางคน สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้านั้นมาจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์ที่สร้างเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มจำนวนแล้ว เซลล์เหล่านี้ยังขยันทำงานสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากกว่าปกติ จึงก่อให้เกิดปื้นน้ำตาล-ดำขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการลุกลามของฝ้า ได้แก่ 1. แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเกิดฝ้า โดยแสงอัลตร้าไวโอเลต ชนิด เอ ชนิด บีและแสงที่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะสามารถกระตุ้นให้ฝ้าดำคล้ำขึ้นหรือกลับเป็นซ้ำได้บ่อย ๆ 2. ฮอร์โมน เช่น ในผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดจะมีโอกาสเกิดฝ้าได้มาก โดยผู้ที่เป็นฝ้าอาจสังเกตว่าหน้าคล้ำลงในระยะใกล้มีประจำเดือนซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนนั่นเอง 3. สารเคมีบางอย่าง เช่น สี หรือน้ำหอมในเครื่องสำอาง 4. ความเครียดรวมทั้งการอดนอน วิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นฝ้า ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดฝ้า เช่น เลี่ยงการรับประทานยาคุมกำเนิด และเครื่องสำอางที่สงสัย ที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 – 15.00 น. และหากจำเป็นต้องสัมผัสกับแดดควรป้องกันผิวด้วยหมวกปีกกว้าง กางร่มร่วมกับการใช้ครีมกันแดดช่วย ในด้านการรักษาฝ้า ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการรักษาฝ้าให้หายขาดเป็นเรื่องยากและเมื่อเป็นแล้วก็มักเป็น ๆ หาย ๆ ยารักษาฝ้าเท่าที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันก็ยังไม่มีที่ได้ผล 100% หรือทำให้หายขาด และมักต้องใช้ยาหลาย ๆ ชนิดร่วมกัน ตัวยาที่ใช้รักษา 1. ยาที่มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีโดยไม่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ ยาทา สเตียรอยด์ ซึ่งยาที่กล่าวมานั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่อนุญาตให้ผสมและจำหน่ายอยู่ในเครื่องสำอางทั่วไปเพราะถือว่าเป็นยาที่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงสูง เช่น เกิดอาการระคายผิว หน้าแดง ไวต่อแสงแดด หน้าบาง สิวขึ้น ขนขึ้น หรือเส้นเลือดฝอยขึ้น จึงควรใช้ยาดังกล่าว ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น 2. สารที่มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีในหลอดทดลองที่มีฤทธิ์อ่อนกว่ายาในกลุ่มแรกแต่ผลข้างเคียงน้อยกว่า ซึ่งผสมอยู่ในเครื่องสำอางต่างๆ เช่น สารกรดโคจิค ไลโคไรซ์ อาร์บูตินและวิตามินซี เป็นต้น 3. สารอื่นๆ เช่น กรดอซีเลอิก กลุ่มกรดไฮดรอกซี่ ทั้งเอเอชเอและบีเอชเอ การทำทรีตเมนต์ใช้ร่วมในการรักษาฝ้าได้แต่ต้องระวังเพราะมีความเป็นกรดจึงอาจระคายผิวและอาจทำให้แสบคันเมื่อใช้ความเข้มข้นสูงได้ คำแนะนำและรักษา คำแนะนำในการรักษาฝ้า ไม่ควรซื้อยาทาฝ้าใช้เอง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงสูง หากใช้ไม่ระมัดระวัง และในระหว่างรักษาฝ้า ควรพบแพทย์เป็นระยะตามคำแนะนำเพื่อปรับยาให้เหมาะสม นอกจากนี้ไม่ควรหยุดทายาฝ้าทันทีเมื่อฝ้าจางลง เพราะฝ้าอาจกลับคล้ำขึ้นอีกได้ ควรให้แพทย์แนะนำการปรับใช้ยาหรือลดยาให้เหมาะสม แนวทางการรักษาดีที่สุดคือการมาพบแพทย์ผิวหนังและควรมาพบแพทย์ผิวหนังตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการรักษาต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่องไม่ผิดกับคำสุภาษิตที่กล่าวไว้ว่า "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง" หากเกิดปัญหาขึ้นบนใบหน้า จะแต่ง จะกลบอย่างไรก็ไม่สวย ฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหาและมีอาการผิดสังเกตเกิดขึ้นบนใบหน้าต้องรีบพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้ไม่ลุกลาม และรักษาให้หาย โดยการควบคุมของแพทย์เฉพาะทางจะเป็นสิ่งที่ดีและเห็นผล มากที่สุดค่ะ ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ โดย รศ.พญ.เพ็ญพรรณ วัฒนไกร คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต ![]() ![]() ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |