ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความสุขคือการให้ จากใจ...ครูลิลลี่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=41905
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  สาวิกาน้อย [ 26 เม.ย. 2012, 15:33 ]
หัวข้อกระทู้:  ความสุขคือการให้ จากใจ...ครูลิลลี่

รูปภาพ

ความสุขคือการให้ จากใจ...ครูลิลลี่


“บ้านพุฒมณฑา” สถานปฏิบัติธรรมที่ครูลิลลี่ตั้งใจสร้างเพื่อคืนกำไรแก่ประชาชนจากรายได้การเป็นครู ถ้าสร้างบ้านตากอากาศ เราก็อยู่ครอบครัวเดียวถูกไหม ปีหนึ่งจะไปสักกี่ครั้ง คงสัก 3-4 ครั้ง สู้เราสร้างแล้วก็ให้คนอื่นเขามาอยู่อาศัยแล้วปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน ทำกิจกรรมที่มันสร้างสรรค์ก็เป็นการคืนกำไรให้กับประชาชน มันแทบจะเป็นภาพจดจำไปแล้วเวลานึกถึงครูภาษาไทย ต้องเป็นคนดุ เฮียบ เจ้าระเบียบ สวมแว่นตาเชยๆ แต่รับรองว่าต้องไม่ใช่ “กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์” หรือ “ครูลิลลี่” ติวเตอร์ภาษาไทยยอดฮิตแห่งย่านสยามสแควร์

ด้วยบุคลิกที่เฮฮา จิก กัด เหน็บแนมเป็นระยะๆ แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะครืนจากสานุศิษย์จากหลายสถาบันที่แน่นเต็มทั้งห้องเรียนสด และห้องเรียนถ่ายทอดทีวี ครูลิลลี่ยังเป็นแม่พิมพ์ที่สอนให้นักเรียนได้รู้จักโลก สังคม และจริยธรรม มากกว่าสอนเพื่อให้นักเรียนไปสอบเข้าสถาบันการศึกษาที่ตั้งใจ ครูลิลลี่ยังได้แปลงบ้านพักตากอากาศให้กลายเป็น ศูนย์ปฏิบัติธรรม ที่เปิดให้ศิษย์และผู้ปกครองได้เรียนรู้กันและกัน

เริ่มแทรกธรรมะกับการสอนตั้งแต่เมื่อไหร่

จริงๆ เราก็สอนมาทั้งชีวิตนะ สอนภาษาไทยก็มีธรรมะมาสอดแทรก มันอยู่ในวรรณคดี ในศาสนา เราก็สอนแต่ทฤษฎี แต่ปฏิบัติเนี่ย เราเป็นชาวพุทธที่แค่ใส่บาตร ทำสังฆทาน แล้วไหว้พระสวดมนต์ แต่จริงๆ แล้วเราลืมไปว่าชาวพุทธที่สมบูรณ์มันต้องมี 3 ข้อไอ้ทำดีเราทำอยู่แล้ว ตั้งแต่เราเกิดจนถึงวันนี้ ละชั่วเราก็ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ไอ้ตัวสุดท้ายทำจิตใจให้บริสุทธิ์เนี่ยสำคัญที่สุด ก็คือ ปฏิบัติธรรม ทำให้รู้สึกว่าเราต้องหลบ หลีก เร้น มาอยู่กับตัวของเราเองคนเดียว อยู่กับตัวเอง อยู่กับสติ

เจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือทำใจให้มันผ่องแผ้ว นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน อันนี้คุณครูทำมาได้ซัก 5 ปี แต่เสียดายไม่ได้ทำต่อเนื่องนะ ทุกอย่างมันมีเกิดมีดับนะ ไอ้ตอนจิตใจมันฟูก็ทำบ่อยๆ พอใจมันแฟบกิเลสมันก็พาไป เราก็ต้องยอมรับ แต่เราก็รู้ตัวนะว่าทำอะไรอยู่ อะไรดีอะไรชั่ว คุณครูเริ่มเข้าสู่วงการธรรมะตั้งแต่ปี 2550 เป็นช่วง 5 ปีที่รู้สึกว่าได้รับอะไรแปลก ใหม่เยอะ

สถานปฏิบัติธรรมบ้านพุฒมณฑา ที่ปากช่อง มีความเป็นมาอย่างไร

มีหลายปัจจัยหลายส่วน ก็คือ ถ้าสร้างบ้านตากอากาศเราก็อยู่ครอบครัวเดียวถูกไหม ปีหนึ่งจะไปสักกี่ครั้ง คงสัก 3-4 ครั้ง สู้เราสร้างแล้วก็ให้คนอื่นเขามาอยู่อาศัยแล้วปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน ทำกิจกรรมที่มันสร้างสรรค์ ก็เป็นการคืนกำไรให้กับประชาชน ที่เรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะประชาชน ที่ครูเป็นคนของประชาชนทุกวันนี้ได้เพราะสื่อ สื่อทำให้ประชาชนรู้จักและยอมรับคุณครู วันหนึ่งเราต้องคืนกลับไปให้ประชาชนคนไทย คืนให้กับลูกศิษย์ คืนให้ผู้ปกครอง ถ้าเป็นนักร้องก็คืนสู่แฟนเพลงน่ะง่ายๆ ให้เขาได้มาหลับ มากิน มาอยู่ มานอน มาปฏิบัติธรรมอย่างนี้คุณครูว่ามันก็มีความสุขดีนะ แล้วมันไม่ใช่ของเรา สักวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากกันไปแล้วเราก็จำไม่ได้ว่าของอันนี้เคยเป็นของเรา บ้านเราสร้างเอาไว้ คุณครูไม่ใช่คนดีเท่าไหร่หรอกคนอื่นเขาก็ทำความดีแบบนี้กันได้ทั้งนั้น

บ้านปฏิบัติธรรมพุฒมณฑาใช้งบถึง 30 ล้าน จริง ?

แต่ไม่ใช่เงินสดนะ เอาของพ่อ ของแม่ ของตัวเองมาผสมกัน มาซื้อที่สร้างบ้าน และก็กู้ธนาคารด้วย ค่อยๆ ผ่อนทีละเดือน เดือนนึงแค่ไม่กี่หมื่น และรู้สึกว่ามันสัญญากับตัวเองไว้แล้ว เราต้องทำให้ได้ชีวิตหนึ่งอยากทำอะไรคืนแก่แผ่นดิน คืนให้แก่สังคม คุณครูเคยถูกตราหน้าว่าเสียชาติเกิด คุณครูรู้สึกว่ามันเป็นปมอย่างนึง เราต้องลบปมอันนี้ให้ได้ ทุกวันนี้ฉันจะทำสิ่งนี้เพื่อลบปมคำว่าเสียชาติเกิด ก็เลยรู้สึกว่าต้องทำความดี ต้องเอาความดีตบหน้าคนที่มันด่าเรา ดูถูกเรา นี่แหละเลยต้องเอาความดีสู้กับความชั่ว สอนหนังสือก็สอนให้ดี เมื่อดีแล้วก็คืนกลับสู่ประชาชนและสังคม แต่ก็ไม่รู้ว่า ณ วันนี้ลบได้แล้วรึยัง ต้องให้คุณผู้ชมตัดสินเอง

คุ้มค่าไหมกับเงิน 30 ล้าน และทำให้คนหันมาปฏิบัติธรรม

30 ล้านน้อยไปสำหรับพระพุทธศาสนาค่ะ คำเดียวจบ สมมติเราปั้นคนดีได้ 1 คน มันมีค่ามากกว่า 30 ล้านนะ เด็กที่มานั่งสมาธิแล้วเกิดปัญญา พูดแล้วก็ขนลุกนะ หรือคนที่มานั่งแล้วเกิดสิ่งดีๆ แก่ชีวิตเขา แล้วมันไม่ใช่มาคนเดียว คุณครูมีทุกอาทิตย์ ทุกสัปดาห์ ทุกวันที่มาปฏิบัติธรรม ถ้ามันเกิดสิ่งดีๆ กับเขา คุณครูว่ามันคุ้ม และ 30 ล้านอย่าไปมองที่ตัววัตถุ สนใจในสิ่งที่คนจะได้คืออะไร

คาดหวังอะไรจากการทำบุญ

ไม่คาดค่ะ แต่หวังว่าสร้างบ้านปฏิบัติธรรมไปแล้วคนจะมาปฏิบัติธรรม แต่ถ้าสร้างแล้วคนไม่มาอันนี้ผิดหวัง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าทำอย่างนี้เพื่อจะโด่งดัง มีชื่อเสียง ขึ้นสวรรค์ อันนี้ไม่ได้คาด เพราะทุกวันนี้มันพอแล้ว มันพอจริงๆ ถือว่าได้มาเยอะแล้ว ไม่ใช่ว่าได้เงินทองมาเยอะนะ มันคือความภาคภูมิใจ การยอมรับในสังคม ลูกศิษย์ลูกหาได้ดี หรือว่า พ่อแม่ พี่น้อง คือทุกคนกินดีอยู่ดีแล้ว เราก็ถือว่าคนรอบข้างได้มีความสุข มันก็รู้สึกว่าพอแล้วชีวิตนี้ สมแล้วค่ะที่เขาตราหน้าว่าเสียชาติเกิด วันนี้เราก็คิดว่ามันก็น่าจะลบล้างกันได้แล้ว แล้วก็สร้างตรงนี้เอาไว้ คุณครูเคยเห็นตัวอย่างคนในอดีต เช่น กษัตริย์ที่อินเดียพระเจ้าชาห์ ชหานที่สร้างทัชมาฮาลให้กับมเหสีมุมตัซ มาฮาลอันเป็นที่รักของพระองค์ คุณครูอาจไม่มีเงินเหมือนพระองค์ แต่อาจจะสร้างสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนไทย ลูกศิษย์ลูกหาหรือผู้ปกครอง ให้เขาได้มาอยู่ มาพัก และได้เกิดปัญญาขึ้นที่นี่

แบ่งเวลาการสอนและการดูแลบ้านพุฒมณฑาอย่างไร

ก็ถือว่าเวลาที่เราไม่ได้สอนเป็นเวลาพักผ่อน ถือว่าการทำงานบ้านพุฒมณฑาเนี่ยเป็นงานที่มีความสุข เป็นงานอดิเรก บางคนอาจชอบปลูกต้นไม้ ชอบฟังเพลง คุณครูก็เอาเวลาตรงนั้นน่ะไปทำ ซึ่งมันแปลกตรงที่มันทำแล้วไม่ได้เงินแต่ก็ยังมีความสุข มีความสุขกว่าสอนหนังสืออีก แปลกเพราะเงินก็ไม่ได้เพราะเราก็ไม่ได้เก็บเงินอะไรใคร คุณครูสามารถเดินในบ้านพุฒมณฑาได้เป็นวันๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็นได้ เดินแล้วมันก็อิ่มอกอิ่มใจ มีคนมาปฏิบัติเราก็มีความสุข มีคนบอกความเป็นผู้ให้มันมีความสุข มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ใน 1 อาทิตย์จะต้องไปบ้านพุฒมณฑาอย่างน้อย 1 ครั้ง สอนเหนื่อยนะแต่อาศัยลักไก่ ขับรถไม่ไหว ก็นั่ง บขส. นั่งรถตู้วินเอา มันก็สอนเราหลายๆ อย่างนะ

เชื่อเรื่องบาปกรรม เวรกรรม แค่ไหน

เชื่อค่ะ ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เพราะบางอย่างกรรมเวรที่เราเคยทำไว้ในอดีต มันก็สะท้อนกลับมา เคยทำอะไรกับครูบาอาจารย์เอาไว้ วันนี้ลูกศิษย์ก็สนองคุณแบบเดียวกัน มันเห็นชัดเจนเลย อย่าง เราเคยก้าวร้าว เราเคยดุดันกับครูบาอาจารย์ ไม่แสดงอาการเคารพ ทุกวันนี้ก็โดนกลับ ง่ายๆ เราเคยกดขี่กดดัน ข่มเหง พูดจาเสียดสี เสียดแทง ประชดประชัน เหน็บแนม ทุกวันนี้โดนหมด คงคิดว่าระดับครูลิลลี่ ใครจะไปกล้าคงไม่โดน แต่โดนหมดแหละ ทุกอย่างที่เล่ามาบอกตามตรงว่าเชื่อจริงๆ

บ้านพุฒมณฑาเปิดบริการสำหรับคนกลุ่มไหนบ้าง

ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกภาษา ฝรั่งก็มีมาใช้บริการนะคะ ใครก็สามารถมาใช้บริการได้ คือคุณครูอยากจะเน้นเยาวชนเป็นหลัก เพราะวันนี้ผ้าขาวยังไงเราแต้มสีอะไรไป มันก็ออกมาเป็นสีที่เราแต้ม แต่อย่างพวกเราผู้ใหญ่เป็นดั่งผ้าขาวม้ามีหลายสีเหลือเกินมันแต้มไม่ไหว เอาเป็นที่พักกาย พักใจในช่วงสุดท้ายของครึ่งชีวิตที่เหลือ ครูอยากจะปั้นเด็กๆ ครูก็จะมีคอร์สสำหรับเด็กอย่างคอร์สอภิชาตบุตร คอร์สประตูสู่ธรรมสำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเพื่อสอนให้เขาเริ่มต้นสู่ทางธรรมว่าชีวิตที่เหลือเขาจะต้องทำตัวยังไง คุณครูเชื่อว่าถ้าเราใส่สิ่งดีๆ ป้อนข้อมูลเข้าไปดีๆ ผลลัพธ์มันก็จะออกมาดี

คอร์สอภิชาตบุตรสอนอะไรบ้าง

ให้เด็กลงมือปฏิบัติเอง เช่นคุณครูสอนเรื่องจิตของคนเราเนี่ยมันไม่นิ่ง ไม่เที่ยง ก็เล่นเกมง่ายๆ โดยให้เด็กลองนั่งนิ่งห้ามคิดถึงอะไรเลย ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร ก็ห้ามคิดถึง ลองซัก 2 นาที ดูซิลูกทำได้มั้ย ไม่ใช่นั่งสมาธินะลูก แค่นั่งเฉยแล้วห้ามคิดอะไรเลย ทำได้มั้ย พอมาทำจริงเด็กก็ลองทดสอบตัวเองนั่ง 2 นาทีมันเป็นไปไม่ได้หรอก คิดถึงแม่มั่ง คิดถึงครูลิลลี่มั่งล่ะว่าเมื่อไหร่จะกริ๊ง 2 นาทีเสียที ก็ให้เขาพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า เห็นไหมลูก จิตของหนูมันบังคับไม่ได้

นี่ไงที่เขาบอกอนิจจังมันเป็นอย่างนี้ มันไม่เที่ยงหนอ มันบังคับไม่ได้ ให้เขารู้ว่าที่เขาเรียนรู้ในวิชาพระพุทธศาสนา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตามันเป็นแบบนี้ นี่แหละตัวจริง มันเหมือนเราทดสอบทางวิทยาศาสตร์ให้เด็กเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันบังคับไม่ได้หนอ มันไม่เที่ยงหนอ มันแปรเปลี่ยนหนอ อย่างนี้ เป็นต้น ก็สอนทุกอย่างทั้งมารยาท วัฒนธรรมไทย ธรรมะ สอนให้กตัญญูต่อพ่อแม่ เราถึงใช้ชื่อคอร์สว่า อภิชาตบุตร เป็นลูกที่ยิ่งใหญ่

มีเทคนิคอะไรให้เด็กรักคุณพ่อคุณแม่

ใช้วิธีง่ายๆ คือให้เด็กๆ เขียนชื่อบุคคลที่รักที่สุดในชีวิตใส่กระดาษมา แน่นอนต้องมี พ่อ แม่ สองแผ่น แล้วครูก็สมมติเหตุการณ์ขึ้นมาเป็นเรื่องภัยพิบัติ การโจรกรรม ฆาตกรรม หรือว่าการสูญเสีย แล้วก็ให้เด็กเลือกเองว่าจะดึงแผ่นไหนออกในแต่ละเหตุการณ์ มันกระชากใจนะ คือเกมนี้มันต้องดึงทีละแผ่นว่าจะเอาใครออก เอาใครตายก่อน มันโหดร้ายนะ มันแค่เกมเด็กยังร้องไห้เลย มันเป็นเกมแต่ความรู้สึกมันติดในใจไง ว่าถ้าต้องดึงพ่อ ดึงแม่ออก จะดึงพี่หรือดึงน้องออกให้ใครตายก่อนหากเกิดเหตุการณ์ ทำให้เด็กรู้สึกว่าถ้าวันนึงต้องสูญเสียพ่อแม่ ถ้าท่านไม่อยู่แล้วจะทำยังไง ก็บอกเด็กไปว่า ไม่ต้องตกใจลูกนี่คือเกม

เด็กบางทียังคิดอยู่ก็ร้องไห้ ตกใจ เพราะเขาเองไม่เคยคิดอย่างนี้ สุดท้ายเราจะให้พี่เลี้ยงเป็นคนดึงเอง คือเด็กจะไม่มีสิทธิ์เลือก โดยธรรมชาติเราไม่รู้ว่าพ่อหรือแม่ไปก่อน ถูกดึงไปบางทีถูกกระชากไป 2 ใบเลย คืออาจสูญเสียทั้งพ่อทั้งแม่ไปในเวลาเดียวกันเลย ซึ่งนี่คือเกม แต่เด็กตกใจมาก ให้เด็กได้เจอสภาวะจิตจริงว่าถ้าคุณโดนกระชากแบบนี้เนี่ย คุณต้องสูญเสียทันที ลูกจะเสียดายเวลาไหมถ้าเกิดวันนี้ลูกไม่ทำดีต่อพ่อแม่ เท่านั้นแหละแล้วให้เด็กนั่งสมาธิให้จิตมันนิ่งแล้วนึกถึงพ่อแม่ แล้วให้เขาระบายความรู้สึก เรามีขั้นตอนหลายวิธีที่จะให้รู้สึกว่าพ่อแม่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

ผู้ปกครองมีบทบาทอย่างไร

คุณพ่อคุณแม่เขาจะพาเด็กๆ มาปล่อยกับเราไว้ 3 วัน บ่าย 2 ของวันสุดท้ายก็จะให้มารับกลับเราก็ให้พ่อแม่รออยู่ข้างล่าง พอเล่นเกมนี้ถึงไคลแมกซ์ปุ๊บเราก็จะให้คุณพ่อคุณแม่เข้ามาหา โหพอเข้ามาหานะ มากอดกันแล้วร้องไห้ทั้งพ่อทั้งแม่ คุณครูก็จะให้ลูกขอโทษพ่อแม่ ขอขมากราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ว่าสิ่งที่ไม่ดีในอดีตที่ทำให้พ่อแม่ร้องไห้เสียใจให้พ่อแม่อโหสิให้ลูก

เด็กๆ กล้ากราบเท้าขอขมาคุณพ่อคุณแม่รึเปล่า

กล้าสิ เขาก็รู้สึกว่าเมื่อกี้เพิ่งใจหาย ใจเสียไป แล้วพอมาเจอพ่อแม่ตัวจริงตัวเป็นๆ เลยดีใจที่พ่อแม่เรายังอยู่ แต่ก็มีบ้างนะที่เขินๆ ห้ามครูมองด้วยนะเพราะยิ่งมองยิ่งเขิน ครูก็แยกเป็นมุมๆ ไป ให้เป็นส่วนตัว คือไม่ใช่เป็นห้องเรียนละ แยกเป็นมุมของห้องประชุมเลยที่เราจัดไว้ให้

สำหรับคุณครูถือว่าเป็นคอร์สที่ประสบความสำเร็จมั้ย

สำเร็จไม่สำเร็จไม่รู้ แต่เด็กมาทุกคอร์สค่ะ เด็กมาซ้ำขอมาอีก เราก็คิดว่ามันน่าจะใช้ได้นะ จนเด็กใหม่เข้าไม่ได้เพราะมันเต็ม เรารับได้แค่ 100-150 คนเท่านั้น ฉะนั้นเด็กใหม่ก็จะรอคิว คุณครูก็ถือว่าคอร์สนี้เป็นคอร์สที่ขายดีค่ะ เพราะเด็กเก่าเธอก็จะจองทุกครั้งที่มา มันเหมือนกับว่าคอร์สนี้มันมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเด็กๆ อาจเพราะเราทำให้มันสนุกด้วย คือเราไม่ได้ให้เด็กนั่งสมาธิทั้งวันแบบนั้นเพราะเด็กยังไม่รู้ว่านั่งสมาธิทั้งวันมันเกิดอะไรเพื่ออะไร ก็แบ่งเป็นช่วงๆ จังหวะของกิจกรรมต่างๆ มีสอดแทรกบรรยายธรรมะ เล่นเกมบ้าง

ความสุขในชีวิตวันนี้ของคุณครูลิลลี่คืออะไร

มารู้สึกสุขจริงๆ ก็ตอนเป็นผู้ให้ตอนที่ทำบ้านปฏิบัติธรรม คือทำงานเราหวังเงินมันก็สุขอีกแบบนึง แต่พอทำงานที่ไม่ได้เงินเนี่ยมันก็แปลกนะมันเป็นสุขที่ปีติที่เขามองเรา พูดกับเราแล้วเขารู้สึกดีกับเรา ความสุขมันมีหลายแบบนะ สอบติด เรียนจบ ทำงาน มีเงิน มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รางวัล มันก็สุขอีกแบบนึง แต่ความสุขแบบให้แล้วไม่ได้หวังอย่างนี้เป็นความสุขที่สุด ณ ชั่วโมงนี้นะคะ

เป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่อยากจะทำ

ก็ทำบ้านพุฒมณฑาให้ดีที่สุด นี่แค่พึ่งเริ่มต้น เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมาครึ่งชีวิต 40 กว่าปี มันทำเพื่อตัวเองและครอบครัวแค่นั้นเราก็รู้สึกว่าพอแล้ว คือเราถึงจุดที่เรามีงานทำ มีบ้าน และมีข้าวกิน มีรถยนต์ขับ มีโน่นนี่นั่น ไม่เป็นหนี้ใคร และที่เหลือเนี่ย เรารู้สึกว่าเราเผื่อแผ่ให้กับสังคมได้ เราจะทำตรงนี้ให้กับสังคม อาจจะรู้สึกว่าคุณครูตอบเหมือนนางงามนะคะ แต่มันใช่มันเป็นความสุขจริงๆ ไม่เชื่อลองทำดู เรียนรู้ว่าการให้มันเป็นยังไง แล้วจะเข้าใจค่ะ


:b8: ขอขอบพระคุณที่มาของบทความ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B9%88.html

:b46: “ครูลิลลี่” สละ 30 ล้านสร้างสถานปฏิบัติธรรม
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=40525

:b46: “ครูลิลลี่” เตรียมละทางโลก ขายบ้าน ใช้หนี้แบงก์ ลาบวช !?
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45935

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/