ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
๕ ท่า ออกกำลังกายเสี่ยงเจ็บ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=37468 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 25 มี.ค. 2011, 18:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | ๕ ท่า ออกกำลังกายเสี่ยงเจ็บ |
๕ ท่า ออกกำลังกายเสี่ยงเจ็บ ผศ.ดร.วรรธนะ ชลายนเดชะ คณะกายภาพบำบัด และวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทุกครั้งที่ผู้เขียนรับผู้ป่วยใหม่ที่บาดเจ็บจากการกีฬาหรือการออกกำลังกาย นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายตามมาตรฐานวิชาชีพกายภาพบำบัดแล้ว ผู้เขียนมักจะถามผู้ป่วยอยู่เสมอว่าคุณเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายไปเพื่ออะไร ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เล่นกีฬาหรือออกกำลังกายต้อง การมีสุขภาพดีจากการเล่นนั้นๆ น้อยคนที่ยึดกีฬาเป็นอาชีพเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง แล้วทำไมจะต้องเล่นจนเจ็บด้วย ถ้ามีรายได้จากการเล่นกีฬาคงจะเป็นเหตุผล พอที่จะเสี่ยงเจ็บเพื่อชนะได้รางวัลใหญ่ แต่นี่เจ็บแล้ว ไม่ได้อะไรขึ้นมา เสียสุขภาพ เสียเวลามารักษา การเล่นกีฬาและออกกำลังเพื่อสุขภาพควรทำแต่พอดี ไม่ควรเน้นการแพ้ชนะ หรือพยายามเอาชนะข้อจำกัดของร่างกาย บาดเจ็บจากการออกกำลังกาย สาเหตุของการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายส่วนหนึ่งมาจากความไม่รู้ เห็นคนอื่นออกกำลังแบบนี้เขาไม่เห็นเป็นอะไร ทำไมเราจะทำกับเขาไม่ได้ เลยลองทำดู แต่ความเป็นจริงแล้วร่างกายแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน การออกกำลังแบบเดียวกันสำหรับบางคนอาจไม่เป็นอะไรเลย ขณะที่บางคนอาจบาดเจ็บได้ อาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือบาดเจ็บแบบฉับพลัน และแบบค่อยเป็นค่อยไป อาการ บาดเจ็บแบบฉับพลันที่พบได้บ่อย คือ การยกน้ำหนักเกินความสามารถของตัวเอง การเกิดอุบัติเหตุ การยกน้ำหนักในท่าที่สุดหรือเลยการเคลื่อนไหวปกติ อาการ บาดเจ็บแบบค่อยเป็นค่อยไป ได้แก่ อาการปวดข้อศอกจากการเล่นเทนนิส (tennis elbow) แรกเริ่มมักมีอาการเพียงเล็กน้อย ถ้ายังฝืนเล่นต่อ อาการจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย อาจใช้เวลาเป็นเดือนจนมีอาการปวดได้แม้ไม่ได้เล่นกีฬา อาการปวดที่เกิดขึ้นจากการออกกำลัง เป็นการเตือนของร่างกายที่จะบอกให้เรา หยุดการออกกำลังนั้น ผู้ป่วยคนหนึ่งฝึกเล่นกอล์ฟใหม่อยู่ ๒-๓ เดือน เริ่มมีอาการปวดหลังเล็กน้อยร่วมกับอาการร้าวลงขา เพื่อนร่วมก๊วนตั้งตัวเป็นผู้รู้บอกว่าอย่างนี้ต้องซ้อม ซ้ำๆ เดี๋ยวก็หาย ผู้ป่วยเชื่อเพื่อนซ้อมจนกระทั่งมีอาการปวดเพิ่มขึ้น เผอิญในช่วงนั้นผู้ป่วยต้องนั่งขับรถนาน และต้องยกของหนักในวันรุ่งขึ้น อาการผู้ป่วยมากขึ้น พบว่าเป็นหมอนรองกระดูกแตก มีอาการชาร้าวลงขามากจนต้องส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยเชื่อ ตัวเองคือเชื่อการเตือนของร่างกายด้วยอาการปวดในระยะเริ่มต้น และพัก การซ้อม คงไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลให้เสียทั้งเงินและเวลา ผู้เขียนได้ รวบรวมท่าออกกำลังที่มีความเสี่ยงที่ จะบาดเจ็บทั้งแบบฉับพลันและแบบค่อยเป็นค่อยไป มา ๕ ท่า ท่าเหล่านี้บางท่านอาจเคยทำมาแล้วแต่ไม่มี อาการบาดเจ็บ ด้วยเหตุผลของโครงสร้างและความ แข็งแรงของแต่ละบุคคลที่ไม่เท่ากัน ท่าออกกำลังเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย แต่อาจเหมาะกับนัก-กีฬาและผู้ที่มีความแข็งแรงของร่างกายมากอยู่แล้ว ![]() ท่าที่ ๑ ออกกำลังกล้ามเนื้อหลังในขณะนั่ง ด้วยเครื่องออกกำลังหลัง (รูปที่ ๑) เมื่อนั่งลงแรงกดที่หมอนรองกระดูกจะมากกว่าปกติ เพราะส่วนโค้งของหลังลดลงหรืออาจโค้งไปด้านตรงกันข้าม (reverse lordotic curve) การที่กล้ามเนื้อหลังหดตัวในท่านั่งจะเพิ่มแรงดันในหมอนรองกระดูกให้มากขึ้น ยิ่งทำซ้ำหลายครั้งอาจทำให้หมอนรองกระดูกแตกหรือปลิ้นได้ ![]() ท่าที่ ๒ ท่ากอดเข่ามีประโยชน์ในผู้ที่มีหลังแข็ง ก้มหลังไม่ลง หรือผู้ที่ยืนทำงานและต้องแอ่นหลังในการทำงาน เช่น คนทำงานติดตั้งสายไฟ คนทาสีเพดาน แต่สำหรับคนที่นั่งทำงานท่านี้ไม่มีประโยชน์ เพราะจะเป็นการยืดเอ็นด้านหลังมากเกินไป ทำให้ความมั่นคงของกระดูกสันหลังลดลง มีโอกาสปวดหลังมากขึ้น สำหรับผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น หรือเพิ่งหายจากอาการดังกล่าวไม่ควรทำท่านี้ เพราะหมอนรองกระดูกอาจปลิ้นซ้ำได้ ![]() ท่าที่ ๓ ท่านี้แต่ละคนจะรู้สึกตึงไม่เหมือนกัน บางคนจะรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อขาท่อนบนด้านหลัง บางคนจะตึงหลัง สำหรับคนที่ตึงด้านหลัง จะเป็นการยืดเอ็นกล้ามเนื้อหลังมากเกินไป เช่นเดียวกันกับในท่าที่ ๒ ต่างกันที่แรงยืดคือน้ำหนักตัว ท่านี้มีความเสี่ยงต่ออาการปวดหลังเช่นเดียวกับท่าที่ ๒ ![]() ท่าที่ ๔ ท่านี้น้ำหนักจะกดลงที่คอ ขณะเดียวกันผู้ยกจะต้องก้มคอ (forward had posture) ถ้ากล้ามเนื้อคอหรือเอ็นด้านหลังคอไม่แข็งแรงพอจะทำให้ปวดคอได้ นอกจาก นี้ ขณะที่จะต้องยกบาร์เบลข้ามศีรษะไปวางที่คอ ไหล่จะต้องหมุนไปจนสุดการเคลื่อนไหว (extreme external rotation) โอกาสบาดเจ็บที่ไหล่จะมีมาก น้ำหนักบาร์เบลที่ใช้ในการออกกำลังขา มักเกินกำลังของกล้ามเนื้อแขน ![]() ท่าที่ ๕ การทำท่านี้จะมีผลต่อไหล่ทำให้เกิดการบีบ (impingement) ของเนื้อเยื่อ ที่อยู่บริเวณหัวกระดูกต้นแขน (humerus) กับกระดูกสะบักและไหปลาร้า (รูปที่ ๖) ![]() ถ้าทำซ้ำกันหลายครั้งจะทำให้เกิดการเสียดสีกันของเนื้อเยื่อกับกระดูก เกิดอาการอักเสบของเอ็นและเนื้อเยื่อบริเวณที่ถูกบีบอัดได้ ผู้เขียนเคยพบผู้ป่วยที่ชอบเต้นแอโรบิก มีอาการเจ็บไหล่แต่ฝืนทนเต้นไปจนกระทั่งเกิดกระดูกงอกบริเวณข้อไหล่ ซึ่งถ้ามีกระดูกงอกแล้ว การรักษาจะยุ่งยากและอาจต้องผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพใครๆ ก็รู้ แต่ถ้าทำมากเกินไป ทำตามๆ กัน ไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ อาจนำมาซึ่งอาการบาดเจ็บได้ ออกกำลังเพื่อสุขภาพควรทำแต่พอดี ไม่เสี่ยง ไม่ทำเกินกำลังของตัวเอง เมื่อร่างกายเตือนด้วยอาการปวดควรหยุดพัก หวังว่าท่านคงไม่บาดเจ็บจากการออกกำลังกันอีก เอกสารอ้างอิง McGill S. Low Back Disorders: Evidence-Based and Re-habilitation. Human Kinetics, Champaign IL, 2002. Mullingan B. Self Treatment for Back, Neck and Limbs : A New Approach. Plane View Services Ltd, Wellington, 2003.อีก ที่มา... นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม :346 เดือน-ปี :02/2551 คอลัมน์ :คนกับงาน นักเขียนหมอชาวบ้าน :ผศ.ดร.วรรธนะ ชลายนเดชะ http://www.doctor.or.th/node/1173 ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |