ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วิกฤติสุขภาพจากเทคโนโลยี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=33268 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 19 ก.ค. 2010, 13:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | วิกฤติสุขภาพจากเทคโนโลยี |
![]() วิกฤติสุขภาพจากเทคโนโลยี และเกินกว่าร่างกายจะรับได้กลับเป็นการทำร้ายสุขภาพ ที่นำมาซึ่งความเจ็บป่วยนานัปการ ชีวจิตฉบับนี้ มีเรื่องราวสุขภาพอันเป็นผลพวงจากการใช้เทคโนโลยีใกล้ตัวมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ![]() การใช้โทรศัพท์พูดคุยกันตลอดเวลานั้นสามารถทำร้ายหูของเราได้ ดังกรณีของ คุณชเนษฎ์ ศรีสุโข นักศึกษาแพทย์ อายุ 23 ปี ที่เคยใช้โทรศัพท์มือถือนานกว่า 3,000 นาที (ประมาณ 50 ชั่วโมง) ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ส่งผลให้หูข้างขวาสูญเสียการได้ยินชั่วคราว “ช่วง ที่เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 ผมเป็นกรรมการสโมสรนักศึกษาแพทย์ จึงต้องจัดกิจกรรมให้รุ่นน้อง โดยเฉพาะช่วงรับน้องใหม่ ทำให้ต้องใช้โทรศัพท์ติดต่อประสานงานการจัดกิจกรรมนักศึกษามากกว่าปกติ หลายครั้งที่คุยจนโทรศัพท์ร้อนจัด “หลังตื่นนอนวันหนึ่งพบว่า หูข้างขวาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เมื่อไปพบคุณหมอ ท่านวินิจฉัยว่าเป็นอาการประสาทหูเสื่อมชนิดเฉียบพลัน (หรือหูดับเฉียบพลัน) ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจมีปัจจัยเสี่ยงคือ การใช้โทรศัพท์มือถือแนบหูเป็นเวลานานและบ่อย “ผมหูดับอยู่ประมาณสองเดือน เรียนและทำกิจกรรมไม่สะดวกจนต้องลาหยุด ทำให้รู้สึกทรมานและเป็นกังวล บางครั้งจึงต้องกินยาคลายเครียดเพื่อช่วยให้นอนหลับได้ “ต่อมาหูข้าง ขวาก็กลับมาได้ยินเหมือนเดิม แต่ไม่ชัดเจนเท่ากับหูข้างซ้าย เพราะประสาทหูบางส่วนเสื่อมไปแล้ว และยังมีอาการหูดับบ้างเป็นครั้งคราวมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็หาย “ตั้งแต่นั้นมาผมจึงดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และใช้โทรศัพท์มือถือเท่าที่จำเป็น โดยใช้หูฟังบลูทูธช่วย เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับโทรศัพท์มือถือโดยตรง” สิ่งที่เสียไปแล้วมักไม่คืนกลับมา ฉะนั้น ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ ![]() คุณณัฐณิชา สุขนาม พนักงานบริการลูกค้า อายุ 22 ปี เล่าถึงผลร้ายจากการใช้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานว่า “ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย มักใช้เวลาว่างคุยโทรศัพท์ ครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง เคยคุยสูงสุดถึง 3 ชั่วโมง “ตอนที่คุยโทรศัพท์มากๆ มักมีอาการปวดหัว วิงเวียน คล้ายคนเมารถ ตอนนั้นก็คิดว่าเป็นเพราะนอนน้อยมากกว่าจึงไม่เอะใจ จนกระทั่งช่วงที่เรียนปี 3 ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเพื่อทำรายงาน จนแทบไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมงติดต่อกัน อาการปวดหัวก็เริ่มมากขึ้นจนต้องกินยาแก้ปวดแล้วนอนหลับพักผ่อนอย่างเดียว ไม่สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้เลย “เมื่อหันกลับมาพิจารณาพฤติกรรมของตนเอง จึงคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการใช้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ จึงพยายามจำกัดเวลาการใช้โทรศัพท์ หากจำเป็นต้องคุยเป็นเวลานาน จะใช้อุปกรณ์เสริมอย่างสมอลล์ทอล์ค หรือหูฟังบลูทูธ “ถ้ารู้สึกเหงาจะพยายามคุยกับคนที่อยู่ด้วยในเวลานั้น แทนการโทรศัพท์ และพยายามใช้คอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็น หากต้องใช้เป็นเวลานานจะพักสายตา หรือลุกขึ้นเดินเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ อาการปวดหัวจึงค่อยๆ ทุเลาลง” อะไรที่มากเกินไปมักจะเป็นผลร้ายเสมอค่ะ ![]() โดยทั่วไปแล้ว ประสิทธิภาพการมองเห็นของคนเราจะเสื่อมถอยไปตามอายุ แต่เมื่อไรที่ใช้สายตามากเกิน ก็อาจทำให้สายตาเสื่อมตั้งแต่ยังเด็ก คุณ ขนิษฐา ชินพัฒนา อาชีพนักเขียนอิสระ อายุ 34 ปี เล่าถึงผลร้ายจากการที่ลูกชายวัยประถมศึกษาปีที่หนึ่งรักการดูโทรทัศน์ว่า “ลูกชายชอบดูการ์ตูนทีวีเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่เขาเรียนอยู่อนุบาลสอง หลังจากแยกห้องนอนกับลูก เขามักขอให้พี่เลี้ยงเปิดรายการการ์ตูนในทีวี หรือจากแผ่นดีวีดีให้ดูเป็นประจำ และจะขอให้พี่เลี้ยงปิดไฟและรูดม่านในห้องลงจนมืดสนิท เพราะชอบบรรยากาศมืดๆ แบบในโรงหนัง “เคยห้ามลูกไม่ให้ทำแบบนี้ เพราะจะทำให้สายตาเสีย แต่ลูกกลับแอบใช้ผ้าห่มคลุมกันแสงจากทีวี เพื่อไม่ให้เราเห็น ซึ่งอาจจะโดนดุได้ เราเลยจำกัดเวลาดูทีวีของลูกไม่ให้เกินสามทุ่มในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดจะปล่อยให้ดูตามสบาย “วันหนึ่งลูกบอกว่ารู้สึกเหมือนมองเห็น ลูกโป่งหลายลูกแตกอยู่ในตาข้างขวา ส่วนตาข้างซ้ายเห็นเป็นเงากลมๆ ลอยไปมา ทำอย่างไรก็ไม่หาย รู้สึกรำคาญ และมีอาการปวดหัว จึงรีบพาไปหาคุณหมอ “ผลการตรวจพบว่า ลูกมีอาการวุ้นตาเสื่อมที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ อาการนี้เกิดจากเจลวุ้นที่คอยหล่อเลี้ยงลูกตาเสื่อมสภาพกลายเป็นน้ำ ทำให้สารต่างๆ ในดวงตาเกาะรวมตัวกัน เลยมองเห็นคล้ายมีหยากไย่สีดำเกาะหรือลอยไปมา “คุณหมอบอกว่าเด็กๆ ไม่ค่อยมีอาการนี้ เพราะอาการวุ้นตาเสื่อมมักเกิดกับคนสูงอายุมากกว่า กรณีของลูกอาจเกิดจากการใช้สายตาอย่างหักโหม และที่รักษาไม่ได้เพราะเป็นส่วนที่เสื่อมสภาพแล้ว จึงต้องระวังไม่ให้มีอาการมากขึ้น เพราะอาจทำให้ตาบอดได้” “หลังจากนั้นจึงเข้มงวดเรื่องการดูทีวีมากขึ้น คอยถามลูกเรื่องอาการเป็นระยะๆ แล้วชวนทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ให้ช่วยเลี้ยงน้อง เล่นเกมที่ทำจากกระดาษ และให้กินอาหารบำรุงสายตา เช่น ผัดผักบุ้ง ฟักทองแกงบวด” เห็นไหมคะว่า ภัยจากโทรทัศน์ร้ายกว่าที่คิด (ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ใน นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 283 ) ![]() นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีใช้งานง่ายอื่นๆ อีก เช่น เครื่องคิดเลข โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสมองได้ แต่ความสะดวกสบายจากการใช้เทคโนโลยีที่ใช้งานง่ายทำให้คนเราคิด และลงมือทำด้วยตัวเองน้อยลง ทำให้สมองที่ควรจะพัฒนาความฉลาดได้หลากหลายด้าน กลับพัฒนาได้เพียงไม่กี่ด้าน อาจส่งผลให้ความสามารถของสมองถดถอย ตลอดจนสมองเสื่อมก่อนวัย รู้ใช้จะเป็นนายเทคโนโลยี ดีกว่าให้เทคโนโลยีทำร้ายสุขภาพค่ะ ที่มา...นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 283 ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 19 ก.ค. 2010, 16:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติสุขภาพจากเทคโนโลยี |
![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |