ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
"เก็บมาเล่า.....ให้ฟัง" http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=30946 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | บอระเพ็ด. [ 20 เม.ย. 2010, 08:05 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | "เก็บมาเล่า.....ให้ฟัง" | ||
"เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง" อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ" ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ" อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า " คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง " แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดู ด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า" เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้ ที่มา :เว็บไซต์ กรมประชาสัมพันธ์
|
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 20 เม.ย. 2010, 08:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "เก็บมาเล่า.....นะนาย" |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | บอระเพ็ด. [ 21 เม.ย. 2010, 22:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "เก็บมาเล่า.....นะนาย" |
![]() อย่าลืมปิดฝาขวดน้ำตาล Posted by กฤตบวรวิชญ์ พอเบิกตาตื่น สิ่งแรกที่เห็นก็คือความหมองมัว ในขณะที่สมองของเธอกำลังจัดแจงข้อมูลต่างๆให้เข้าที่เข้าทางอยู่นั้น ร่างของเธอจึงยังคงแผ่ร่าอยู่บนเบาะนุ่มๆของเตียงนอน ในโลกแห่งความฝัน ซึ่งบัดนี้มันได้กลับกลายไปเป็นอดีตแล้วนั้น ช่างสะดุดใจให้เธอต้องทบทวนเรื่องราวกลับมาคิดอีกครั้ง กล่าวกันว่า ความฝันที่เกิดมักมีอิทธิพลจากการนึกคิดเมื่อตอนก่อนหลับ ซึ่งก็จริงอยู่ เพราะก่อนที่เธอจะย่างก้าวสู่นิททราฝัน ความรู้สึกนึกคิดของเธอในขณะนั้นก็กำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องความรักที่เพิ่งพลัดพรากจากไป เป็นภาพใบหน้าของชายคู่รัก ซึ่งบัดนี้ได้เป็นอดีต ผสมกับเหตุการณ์ต่างๆที่เคยสัมผัสผ่านมาร่วมกัน คลุกเคล้าว่ายเวียนราววิญญาณที่ยังเฝ้าหลอกหลอน เพราะยังไม่ได้รับการสวดส่งให้ไปผุดไปเกิด สิ่งดังกล่าวคงไม่สำคัญเท่าไหร่นัก หากความรักของเธอนั้นเป็นรักที่ด้านชา แต่นี่ไม่ใช่ เพราะนี่เป็นรักแรกและรักเดียวที่เธอให้ความทุ่มเท เป็นรักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความวาดหวังถึงอนาคตอันสดใส เป็นรักที่สอดคล้องกับจินตนาการแห่งความเพ้อฝัน เป็นรักที่ไตร่ตรองหลายเที่ยวก่อนจะเปิดใจ เป็นรักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสารพัดเหตุผลที่เด็กสาวผู้หนึ่งมี แต่เหตุผลที่เธอคิดนั้นจะผิดหรือถูก ก็คงจะขึ้นอยู่กับตัวเธอเองเป็นผู้ตัดสิน เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ผลแห่งการกระทำก็ย่อมที่จะตกมาที่เธอ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลกผู้มีรัก โลภ โกรธ หลง ที่เมื่อทำอะไร โดยมอบใจและความทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นอย่างเหลือล้น แต่เผอิญสิ่งที่คาดไว้กลับไม่เป็นดังคิด ก็ย่อมจะก่อเกิดความผิดหวังจนสุดแสนจะทำใจ และเมื่อยิ่งปล่อยให้มันลุกลามจนไม่ยอมยับยั้ง สิ่งที่ว่านั้นก็ชักจะเริ่มเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น หมายมั่นที่จะหาหนทางตอบสนองความบาดเจ็บคืนกลับให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่มีว่างเว้น ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูภาพเหตุการณ์เมื่อคราวแรกรักแรกเจอแล้ว มันช่างต่างกันราวขาวกับดำไม่มีผิด แต่เธอก็หารู้ตัวไม่ว่า.... กำลังล่วงล้ำเข้าสู่ดินแดนแห่งมายากรรมโดยถลำลึกเข้าไปทุกที “ช่างมันเถอะ” บทปลอบใจตัวเองที่พอกระทำได้ เกิดขึ้นพร้อมๆกับการยันร่างจากท่านอนเป็นท่านั่ง สมองก็กระทำการเหวี่ยงเรื่องราวที่เกาะติดอยู่ให้หลุดออกไปไกลแสนไกล มุ่งหวังที่จะให้ดินแดนแห่งปัจจุบันก่อเกิดเป็นพื้นที่ว่าง แต่กว้างพอที่จะให้ต้นกล้าใหม่ๆในมีโอกาสงอกงามขึ้นมา แต่แล้วก็กระทำได้เพียงประเดี๋ยวเดียว เพราะไม่ว่าเธอจะเหลียวตาไปทางไหน ก็ดูเหมือนว่าคราบเก่าๆ แห่งเรื่องราวของชายผู้ที่เธออยากลืม จะยิ่งแจ่มชัดขึ้นเป็นเท่าตัว บนหัวเตียง มีสิ่งละเล็กสิ่งละน้อยวางอยู่มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นของจำพวกสื่อแทนใจจำพวกของที่ระลึก ตุ๊กตา รูปถ่าย ฯลฯ และในวันนี้ดูเหมือนว่าของที่ระลึกชิ้นหนึ่งจะกระชากอารมณ์ของเธอได้ยิ่งนัก มันเป็นนาฬิกาทราย ของขวัญที่อดีตคู่ใจเคยมอบให้เมื่อคราความรักยังเอิบอิ่ม เป็นตัวแทนแห่งนัยยะที่บัดนี้ได้กลายเป็นคำลวง ซึ่งเมื่อครานั้น เขาเคยฝังนิยามไว้กับของที่ระลึกชิ้นนั้นว่า ความรักจะถูกเติมเต็มพร้อมๆกับกาลเวลา ดวงใจของเขาจะพร่องลงเรื่อยๆ เพื่อจะลงไปเติมเต็มและหล่อรวมกับดวงใจของเธอให้กลายเป็นเนื้อเดียว ประดุจดั่งนาฬิกาทรายที่ท้ายที่สุดแล้ว จุดสิ้นสุดคือความเป็นหนึ่งเดียว ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งอยากจะสำลัก เพื่อขยอกเอาความน้ำเน่าที่เขาได้มอบให้ออกมาให้หมดไส้หมดพุง อย่าให้หลงเหลือไว้เป็นเชื้อแห่งความคำนึงอีกต่อไป คำหวานในครานั้น บัดนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นของปรุงแต่งสังเคราะห์ที่แฝงไว้ด้วยสารเคมี ซึ่งตัวเธอเองไม่อยากแม้แต่จะแตะต้องมันอีก ขยับสายตาไล่ไปอีกนิด เป็นกรอบรูปถ่ายใบเล็ก ที่มีรูปใบหน้าของเธออิ่มยิ้ม แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแปลกไป ทำให้รูปนั้นดูไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น คงอยู่ที่ตรงส่วนกึ่งกลางของขนาดรูปถ่ายโดยรวม ที่ได้ถูกตัดออกเป็นรอยยิกยักเลี้ยวไล้ไปอย่างไม่มีที่ทางอันแน่นอน ที่มาที่ไปของการกระทำนั้น เกี่ยวเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะหักห้ามใจ โดยส่วนที่ถูกตัดออกไปนั้น ก็คือส่วนที่เป็นร่างของชายคู่ใจ ในเมื่ออยากจะลืม เหตุใดเล่าเธอถึงยังเก็บสิ่งของต่างๆไว้อยู่? นั่นเพราะเธอกำลังยืนอยู่ระหว่างรอยต่อแห่งความรู้สึก โดยเท้าหนึ่งยังย่างอยู่บนฝั่งแห่งความห่วงหา ส่วนอีกเท้านั้นได้ทอดผ่านไปยังฝั่งแห่งการทำใจ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสับสน เปรียบเสมือนน้ำขุ่นที่ยังไม่ได้ผ่านการตกตะกอนลงสู่ก้นบึ้ง อารมณ์สามารถลู่ไหวไปตามแรงลมได้อย่างไม่อาจยุดยั้ง เป็นฤดูกาลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เช่นเดียวกับความรู้สึกภายในที่เธอเป็นอยู่ ดวงตาแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง เมื่อความอ่อนไหวกับความเข้มแข็งขัดคอกันคราวใด ท่อน้ำตาของเธอก็ชักจะได้รับการใช้งานอยู่ทุกทีไป ผู้หญิงก็เป็นเสียเช่นนี้ ทุ่มเท อ่อนไหว พร้อมที่จะให้อภัยทุกเมื่อกับเหตุการณ์ที่แม้จะเพิ่งเจ็บมา แต่เมื่อมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ดังใจคิด อารมณ์เหล่านั้นก็ชักจะอัดอั้นยิ่งขึ้นทุกที เปรียบเสมือนก้อนเมฆ ที่สั่งสมขึ้นจากไอน้ำ เกาะรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ยิ่งนานแรงดันภายในก็ยิ่งทวีมากตาม สุดท้ายมันก็แปรสภาพเป็นความชุ่มฉ่ำ ไหลผ่านร่องแก้มสู่หน้าผาชันตรงบริเวณปลายคาง แล้วจึงหยดลงสู่หน้าขาเบื้องล่างที่ห่อหุ้มไว้ด้วยกางเกงนอน ต่างบ้างก็ตรงที่ความชุ่มฉ่ำซึ่งเกิดขึ้นนี้ มันได้กำเนิดขึ้นจากความอ่อนแอ เธอเอามือป้ายเช็ดน้ำตา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กขี้แงที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง นานเท่าไหร่แล้วที่เธอได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นอยู่เช่นนี้ ตัวตนที่แท้จริงแต่ดั้งเดิมหายไปไหนหมด ไม่น่าเชื่อว่าแค่ผู้ชายคนเดียว จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของเธอไปได้ถึงเพียงนี้ เธอหยุดลงตรงมุมเล็กๆอันเป็นที่วางของส่วนผสมชงชากาแฟ จากนั้นหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา ตักกาแฟดำใส่ลงไปในก้นถ้วยหนึ่งช้อนชา ตามด้วยครีมเทียมสองช้อนชา สุดท้ายคือน้ำตาลทรายไร้คลอเรสตรอรอล(รักษาหุ่น) แต่พอเอื้อมมือไปหยิบขวดโหลน้ำตาลทรายขึ้นมา ไม่ทันเปิดฝาออกก็สังเกตว่ามีมดเข้าไปอยู่ในนั้นมากมาย ทั้งที่อยู่บนผิวหน้าและฝังร่างเข้าไปด้านใน ชวนให้คิดสงสัยว่ามันเข้าไปได้อย่างไรกัน จนเมื่อขยับมือไปแตะฝาปิดดู จึ่งได้รู้ว่าที่แท้ฝานั้นปิดไม่สนิท เปิดช่องทางให้พวกมดได้เข้าไปดูดกินความหวานภายในได้อย่างง่ายได้ คิดแล้วก็ช่างไม่ต่างไปจากตัวเธอเอง ที่เปิดช่องให้ชายผู้นั้นเข้าลิ้มรสหวานภายในเสียจนเต็มอิ่ม เมื่อสมใจอยากแล้วชายผู้นั้นก็ได้จากไปอย่างที่มดพวกนี้จะกระทำ สุดท้ายสิ่งที่ทิ้งเหลือไว้ในขวดโหลก็คงหนีไม่พ้น ร่องรอยแห่งการกิน ซึ่งทำให้คุณค่าโดยรวมของน้ำตาลลดน้อยตามไปด้วย และแล้วคำเตือนบางอย่างที่เธอได้รับจากแม่อยู่บ่อยๆ ก็แจ่มชัดขึ้น “อย่าลืมปิดฝาขวดน้ำตาลให้ดีละ เดี๋ยวมดมันจะเข้าไปกิน” |
เจ้าของ: | บอระเพ็ด. [ 23 เม.ย. 2010, 15:29 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: "เก็บมาเล่า.....นะนาย" | ||
คนเผาขยะ Posted by กฤตบวรวิชญ์ เสียง มโหรีปี่พาทย์ ยังคงบรรเลงเพลงพระธรณีกรรแสงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน ตราบใดที่ความตายยังเกิดขึ้นอยู่คู่กับมวลมนุษย์ บทเพลงบทนี้ก็คงจะไม่ล้าหลังไปจากยุคสมัยแน่นอน เสียง โหยหวนจากการดีด สี ตี เป่า ที่แว่วเวียนอยู่ในอากาศ สามารถยุเย้าอารมณ์เศร้าให้กับผู้ฟังที่อยู่ในงานศพได้เป็นอย่างดี แม้บางคราวจะมีเสียงสอดแทรกจากพวกขี้เมาบ้างแต่นั้นก็แค่ส่วนหนึ่งของพวก ด้อยมารยาท โลงศพยังคงตั้งแน่นิ่งอยู่ใกล้กับลานอภิธรรม ดอกไม้ที่ล้อมรอบโลงแอร์เริ่มแห้งเหี่ยว กลิ่นและรูปลักษณ์ที่เคยงดงามก็เริ่มโรยรา แต่ก็น่าแปลกที่มนุษย์ยังถือความเชื่อ ใช้ความสวยงามมาประดับเคียงคู่อยู่กับความตาย และหากความตายคือสิ่งที่สวยงาม เหตุไฉนเล่ามนุษย์บางคนยังพยายามที่จะหลีกหนีความตาย กลิ่นควันธูปเทียนยังคงคละคลุ้งเคียงคู่อยู่กับดวงวิญญาณของผู้ตาย ปี่พาทย์ยังคงโลมเล้าบรรเลงอยู่อย่างอึกทึก ป้าย ชื่อผู้มีเกียรติบนพวงหรีดยังคงอวดศักดาอยู่คู่กับโลงศพ นานมาแล้วที่มนุษย์ใช้ลายปากกา เพื่อสื่อความอาลัย ซึ่งก็คงนานพอที่จะทำให้พวกเขาเริ่มเอือมระอาต่อความตาย รูปถ่ายครึ่งท่อนในฉากแก้วข้างโลงศพ ยังคงมีสีหน้าและแววตาเช่นเดิม ไม่มีความเศร้า ไม่มีความสุข เป็นสีหน้าที่เงียบเชียบและเดียวดาย เบื้องล่างรูปถ่ายบอกถึงวันที่ ชาตะ มรณะ และ อายุรวมถึงวันตาย ไว้อย่างลงตัว ซึ่งเมื่อคิดดูให้ลึกซึ่งมนุษย์ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากสินค้าที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด มีวันผลิต และ วันหมดอายุ ตามกาลเวลาอันสมควร ปี่พาทย์หยุดบรรเลงชั่วขณะ พระสงฆ์สี่รูปเดินเรียงหน้าเข้าประจำที่ตรงลานสวดอภิธรรม น้ำดื่มถูกยกมาถวายต่อหน้าพระสงฆ์ ตาลปัตรทั้งสี่ถูกยกขึ้นมาบังหน้าพระสงฆ์ทั้งสี่รูป “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” คำ กลอนบน ตาลปัตร เรียงแถวต่อคำกลอนกันอย่างลงตัวด้วยความหมายที่กินใจ ร่างผู้ตายภายในโลงศพถูกเชื่อมต่อเข้ากับพระสงฆ์ทั้งสี่รูปโดยมีสายสิญย์ เป็นสื่อ เสียงสวดคาถาภาษาบาลี เริ่มเปล่งเสียงสำเนียงสอดประสานอย่างมีมนต์ขลัง ชาย วัยกลางคนในชุดแต่งกายที่ดูซ่อมซอยกมือขึ้นพนมไหว้พระสงฆ์ทั้งหมด ก่อนที่จะลุกขึ้นออกไปจากที่สวดอภิธรรม เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ และเขาก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับคนทั่วๆไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การกระทำใดของเขาจึงไม่ตกเป็นที่สนใจของบุคคลรายรอบ ชายผู้นี้มาพร้อมกับพระสงฆ์ทั้งสี่ เขามีวัดเป็นบ้าน และอาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีพ เขามาจากไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ไม่มีใครรู้ แต่แกอาศัยวัดที่นี่มานานหลายปี และดูทีท่าว่าจะไม่ไปอยู่ที่อื่นเสียด้วยซ้ำ เขา เดินมาข้างเมรุ เงยหน้าขึ้นมองตรงจุดสูงสุดของปล่องควัน ไม่มีคำพูดและอารมณ์ใดๆแฝงอยู่บนใบหน้า เงียบขรึมและมั่นคง อาจจะดูแข็งกระด้าง แต่จริงๆแล้วมันคือความเข็งแกร่ง เขา เบือนสายตาไปที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆเมรุ ต้นไม้ต้นนี้มีอายุที่ยาวนานพอสมควร ลำต้นของมันเติบใหญ่ขึ้นตามกาลเวลา แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินมาที่โคนของต้นไม้ต้นนั้น แอบอิงเงาของมันเป็นที่ร่ม แล้วนั่งกอดเข่าหลังพิงโคนต้น ดั่งเฝ้าคอยถ้าอะไรสักอย่าง ลม ยามบ่ายยังพัดอย่างต่อเนื่อง แม้พลังของลมจะไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็สามารถกระชากเอาใบไม้ที่อ่อนแอและไร้พลังให้ร่วงหล่นลงมาแนบอกแม่พระธรณี ใบแล้ว ใบเล่า ให้มากองทับถมกับใบไม้เหี่ยวๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้ ลมหายใจของเขาเริ่มแผ่วเบาลง แต่สมองของเขากลับทำงานหนักขึ้น เขาไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ ความหมายของใบไม้ที่ร่วงหล่นถึงมีคุณค่า แตกต่างไป จากที่เขาเคยมองเมื่อครั้งก่อนๆ ธรรมชาติ กำลังสอนให้เขาคิด เขาเงยหน้าขึ้นไปมองจุดสูงสุดของต้นไม้ ที่ตรงนั้นมันช่างดูสง่างามเสียเหลือเกิน มันคือยอดที่ไม่มีมีส่วนไหนสูงเทียบเท่า แต่มันก็ดูเหนื่อยล้าเมื่อเทียบกับใบไม้ที่อยู่ในชั้นต่ำกว่า ทุกครั้งที่กระแสลมปะทะร่างของมันจนโยกไหวสั่นคลอน ดูมันช่างวุ่นวายและไม่มีความสุขเอาเสียเลย ในขณะเดียวกัน พวกใบไม้เบื้องล่างที่ดูด้อยศักดิ์กว่ากลับมีชีวิตที่สงบร่ม เย็น มันคือความแตกต่างที่ธรรมชาติได้ชดเชยให้เกิดความสมดุล “และถ้าเป็นตัวฉัน ในตอนนี้ฉันจะอยู่ตรงส่วนไหนของต้นหนอ” เขาแอบคิดอยู่ในใจ เงย หน้าขึ้นไปมองตรงยอดสุดของต้นไม้ ก่อนจะละสายตามองมาเป็นชั้นๆ จนถึงใบที่อยู่ชั้นต่ำสุด สีหน้าของเขาเริ่มเผยรอยยิ้ม แม้มันจะเป็นยิ้มแห้งๆแต่มันก็เป็นยิ้มที่หาดูได้ยาก เขามองตรงส่วนนั้นอยู่เนิ่นนาน ดูภาคภูมิใจกับมัน เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด ถึงบังเกิดอารมณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ ปกติเขาเป็นคนด้านชากับความรู้สึกมานาน จนเกือบลืมไปว่า ตัวเขาเองก็มีความรู้สึกเหมือนเช่นคนอื่นๆ ใบ หน้าเขาดูมีความสุขขึ้น เขาได้พบธาตุแท้ของตัวเองเป็นครั้งแรก เขาชอบในความต่ำต้อยที่สงบสุข เขาภูมิใจที่ได้คลุกคลีกับคำเหยียดหยาม มากกว่าที่จะได้คลุกคลีกับคำเยินยอที่เสแสร้ง มันคือความรู้สึกที่เกิดมาจากจิตใต้สำนึกอันใสซื่อบริสุทธิ์ ใบไม้ เหี่ยวยังคงร่วงโรยอยู่เรื่อยๆ เขาพบสัจธรรมอีกอย่างที่ตัวเขาเองได้เคยมองผ่านมาโดยตลอด เขามองไปที่ใบไม้หนาทึบ มันมีสีเขียวอ่อน เขียวเข้ม และเหลือง สลับซับซ้อนกันไป บางใบกำลังผลิแย้มต้อนรับโลกใหม่ บางใบก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วหลาย ฤดูกาลจนสีใบแก่จัด และบางใบก็เริ่มเหี่ยวแห้งโรยรา ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตมนุษย์เลย เราเริ่มที่จุดกำเนิด ผ่านการเจริญวัย แล้วก็มาสิ้นสุดลงที่ความตาย ความคิดของเขา ชะงัก เมื่อ เสียงสวดของพระสงฆ์เงียบลง เขารู้ดีถึงสัญญาณเตือนด้วยความเคยชิน ปี่พาทย์เริ่มบรรเลงอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะปลุกระดมความเศร้าโศกได้มากกว่าครั้งก่อนเสียอีก เขาเดินไปบนเชิงเทินของเมรุ เพื่อรอที่จะทำหน้าที่ของตนต่อไป พระสงฆ์ชักสายสิญย์ขึ้นสู่เชิงเทินหน้าเมรุ โดยมีขบวนญาติๆตามหลังและผู้ทำหน้าที่หามโลงศพของผู้ตายขึ้นตามไป ภรรยา และลูกๆของผู้ตายร่ำไห้ปานว่าจะขาดใจ หลายคนพลอยร่ำไห้ตามไปด้วยจนหน้าแดงก่ำ รูปถ่ายที่ไร้อารมณ์ยังแนบอยู่กับอกเสื้อของภรรยาผู้ตาย แม้ว่าการโอบกอดครั้งนี้ จะไม่เหมือนการโอบกอดเมื่อครั้งที่สามียังมี ชีวิตอยู่ก็ตาม คน มากหน้าหลายตาอัดแน่นอยู่บนเชิงเทิน เช่นเดียวกับลานดินด่านล่างที่มีจำนวนไม่น้อยกว่ากัน พิธีการสำคัญใกล้เริ่มขึ้น เด็กๆบนลานดินต่างจับจองสมรภูมิที่เหมาะและตนถนัดที่สุด แม้มันจะไม่ใช่การรบ แต่มันก็เป็นการวัดความสามารถที่อาศัยความเชี่ยวชาญใน เชิงยุทธ์อยู่พอควร ฝาโลงเปิดออกให้บุคคลใกล้ชิดได้ดูหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย สีหน้าหมองคล้ำของร่างแน่นิ่งในกล่องไม้ ดูเหมือนจะไม่รับทราบเรื่องราวใดๆที่เป็นอยู่ภายนอก เวลาเดียวกันเสียงร่ำไห้ก็ดังอยู่เป็นระยะๆ แทนคำอำลาที่ไม่มีความหมายใดซ่อนเร้น นอกจากความเศร้าและอาลัยอาวรณ์ ประตูตู้เผาถูกเปิดออกด้วยมือของชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระ โลงไม้สี่เหลี่ยมถูกใส่เข้าไปในช่องไฟทันทีที่ได้เวลาอันสมควร ดอกไม้จันทน์ พวงหรีด ถูกบรรจุและเผาไปพร้อมกับร่างของผู้ตาย ภรรยา และลูกๆยังคงร่ำร้อง เช่นเดียวกับญาติสนิท และผู้มาร่วมพิธีบางคนที่ยืนน้ำตาคลอเบ้า กัลปพฤกษ์ ถูกหว่านไปหน้าลานดิน เด็กๆแย่งชิงกันอย่างสนุกสนานผู้ใหญ่บางคนเข้าร่วมวงด้วยเพื่อต้องการเก็บ เหรียญห่อกระดาษแก้วไว้เป็นที่ระลึก มันช่างดูวุ่นวายในช่วงเวลาที่น่าจะโศกเศร้า ควันสีดำพุ่งฟุ้งกระจายออกจากยอดเมรุไปตามแรงลม แขก เหลื่อหลายคนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน ญาติๆเริ่มพากันมานั่งที่เต๊นข้างล่างหน้าเมรุ บนเชิงเทินเมรุแลโล่งขึ้น เหลือก็แต่พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตาย ที่ยังคงยืนอาลัยอาวรณ์อยู่หน้าเตาเผา พระสงฆ์ชักแถวเดินกลับวัด แต่ชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระยังกลับไม่ได้ เพระภาระหน้าที่ของเขายังไม่จบสิ้น คนเริ่มบางตาจนนับจำนวนถูก ความตายเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่เคยถวิลหา แต่ก็ได้มาทุกคนขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะเร็วหรือช้าต่างกัน ควัน ที่พุ่งผ่านยอดเมรุเปลี่ยนเป็นสีเทาและค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตายลงมานั่งอยู่ในเต๊น ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยยังคงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ชายแต่งตัวซ่อมซอกลับมานั่งที่โคนต้นไม้ใหญ่ข้างเมรุ เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะผู้ตายไม่ใช่ญาติโกโหติกากับเขา หาก แต่ภาพความเศร้าที่เขาได้เห็นมันกลายเป็นสิ่งชินตาที่เขาได้สัมผัสมาอย่าง โชกโชน เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตรงยอดเมรุอีกครั้ง กลุ่มควันเริ่มเบาบางลงทุกขณะ ใบไม้เหี่ยวใบหนึ่งร่วงลงมาผ่านหน้าเขาไป มัน ลงซบแน่นิ่งกับอกแม่พระธรณี เช่นเดียวกับใบอื่นๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้ เขาหยิบมันขึ้นมามองดู เหี่ยวแห้งและไร้ความหมาย เขาถือมันไปรวมวางกับใบอื่นๆ ที่กองรวมกันอยู่ก่อนหน้านั้น เขาหยิบไฟแช๊คขึ้นมาและรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ไฟติดขึ้นแล้วมันลามเลียใบไม้แห้งอย่างรวดเร็ว กลุ่มควันโขมง พวยพุ่งขึ้น เขานั่งมองมันย่อย สลายไปกับเปลวไฟ ลมยังคงพัด เชื่อแน่ว่าใบไม้จะต้องทยอยกันร่วงหล่นต่อไปเรื่อยๆไม่มีอันจบสิ้น เขาหยิบไม้กวาดขึ้นมาดู ใช้จิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้ เหมือนมีพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายใน มันล้ำลึกเกินจะบรรยายออกมาจากสีหน้า คล้ายกับว่าเขาได้พบสิ่งที่ปรารถนา และไม่อาจจะละทิ้งมันได้อีกต่อไป “ใครเคยคึดถึงบ้างว่าถ้าไม่มีไม้กวาด โลกนี้จะสกปรกสักเพียงใด” ชายผู้นั้นแอบพร่ำรำพันกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มแห้งๆที่ยากจะบรรยายความรู้สึก กองไฟเริ่มมอด ควันไฟก็เริ่มจางลง เศษใบไม้เริ่มเป็นผงเถ้า เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ เมื่อผ่านการเผาก็หลงเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน หากจะต่างกันบ้างก็ตรงที่ชื่อเรียก แม้นไม่มีสรรพนามคำว่ามนุษย์และขยะมากั้นกลาง สุดท้ายจุดจบของของสองสิ่งก็คงคล้ายกัน หากนำผงเถ้าขยะและผงเถ้ามนุษย์มาคลุกเคล้ารวมกัน คงไม่มีใครสามารถที่จะแยกแยะได้อย่างหมดจด เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเมรุอีกครั้ง มันสงบลงแล้ว แต่หน้าที่คนเผาขยะอย่างเขายังไม่จบสิ้น ดวงตะวันอ่อนแสงโรยรา เขากำไม้กวาดแน่นและพร้อมที่จะเผชิญอนาคตอย่างทรนงตน
|
เจ้าของ: | บอระเพ็ด. [ 25 เม.ย. 2010, 09:43 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: "เก็บมาเล่า.....ให้ฟัง" | ||
มาจาก…..โลตัส โดย สรรพเดช ในสังคมเมืองที่แออัดยัดเยียดไปด้วยการแข่งขัน ส่งผลให้จิตใจคนเมืองหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาผลประโยชน์เสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนั้น สถาบันครอบครัวของหลายๆคนจึงเกิดช่องว่างให้เห็น การที่เวลาชีวิตส่วนมากถูกนำไปทุ่มเทให้กับงานและธุรกิจจนหมด ความผูกพันและความสัมพันธ์ภายในครอบครัวก็เลยลดน้อยตามอย่างอัตโนมัติ ในยุคที่ศักดิ์ศรีของช้างเท้าหน้าและช้างเท้าหลังไม่มีมนต์ขลัง การร่วมมือกันกอบโกยเงินทองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของพวกคนเมือง ภาระ หน้าที่ของฝ่ายหญิงที่ต้องเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี คอยทำกับข้าวให้สามี คอยเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน ดูจะเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในยุคปัจจุบัน การจ้างพี่เลี้ยงเด็กจึงเป็นทางออกสำหรับหลายๆครอบครัว “ สุรสีห์ “ หัว หน้าครอบครัวของครอบครัวหนึ่งซึ่งมีปัญหานี้เช่นกัน เนื่องจากเขาและครอบครัวต้องเอาเวลาส่วนมากไปทุ่มเทให้กับการงาน เพื่อที่จะได้มีเงินรองรับอนาคตของบุตรชายในภายหน้า บุตรชายของ สุรสีห์ ตอนนี้พึ่งมีอายุ ๔ ขวบ และกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมชื่อดังของจังหวัดที่เขาอยู่ ทุกเย็นพอเลิกงาน สุรสีห์ จะต้องมารับบุตรชายกลับบ้านเป็นกิจวัตร วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อฟอร์ด เรนเจอร์ จอดลงหน้าโรงเรียน เด็กน้อยผิวขาว รางจ้ำม้ำ ก็เงื้อมมือเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถทันที เมื่อประตูรถปิดรถคันนั้นก็แล่นฉิวออกไป….. “ แม่ล่ะครับ “ เสียงไสๆบริสุทธิ์จากเด็กน้อยถาม พ่อ ซึ่งกำลังขับรถอยู่ “ แม่ยังเคลียงานไม่เสร็จเลยลูก แม่ก็เลยให้พ่อกลับมาก่อน “ “ แล้วแม่จะกลับกับใครล่ะครับ “ เด็กน้อยถามต่อทันที “ แม่ของลูกเขาเอาตัวรอดเก่ง…ลูกไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวเพื่อนที่ทำงานก็มาส่งเองแหละ” “ แล้วแม่ไม่หิวเหรอพ่อ” “ เดี๋ยวแม่หนูก็คงแวะกินข้าวตรงร้านแถวนั้นเองแหละ” “ พ่อไม่เป็นห่วงแม่เหรอครับ…..ไหนพ่อบอกว่ารักแม่ไง” “ เออ……” สุรสีห์อุทานเบาๆ แล้วนึกถึงคำพูดของเด็กน้อย “ ใช่…เรายุ่งกับงานมากจนเกินไปจนลีมใส่ใจซึ่งกันและกันเชียวหรือนี่” “ พ่อพูดอะไรครับเมื่อกี้ผมไม่ได้ยิน” “ อ๋อ…พ่อบอกว่าพ่อยังรักและเป็นห่วงแม่ของลูกเหมือนเดิมครับ” ฟอร์ด เรนเจอร์หยุดร่างลงตรงหน้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารธรรมดาไม่หรูหรามากนัก สองพ่อลูกเดินเข้าไปในร้าน เลือกนั่งลงที่โต๊ะๆหนึ่ง เด็กเสริฟเดินเข้ามาบริการทันทีเมื่อลูกค้าผู้มาใหม่จัดแจงที่นั่งกันเสร็จ “ จะรับอะไรดีค่ะ” เสียงใสๆจาก สาวเสริฟ คนสวยถาม “ ขอเป็นผัดผักแอบรัก แล้วก็ข้าวผัดคนถัดไปก็แล้วกันครับ” เด็กเสริฟสาวถึงกับหน้าแดงเมื่อสุรสีห์พูดจบ “ ไม่มีหรอกค่ะพี่เมนูที่ว่า” เด็กเสริฟตอบอย่างขัดๆเขินๆ “ งั้นก็ขอเป็น…ยำรวมมิตรจิตเสน่ห์หา กับ ข้าวเปล่าเคล้าสัมพันธ์ก็แล้วกันนะครับ” “ ก็ไม่มีอีกนั้นแหละพี่” สีมะเขือเทศกำลังลุกลามบนใบหน้าของสาวเสริฟมากขึ้นทุกที “ ไหนบอกว่าจะมากินข้าวมันไก่ยังไงล่ะพ่อ แล้วนี่มาสั่งอะไรก็ไม่รู้ … ตอนแม่มาด้วยพ่อไม่เคยสั่งอะไรมากมายอย่างนี้เลยนี่” ลูกชายสุรสีห์เอ๋ยขึ้น “ อ๋อ…พ่อก็แค่อยากให้ลูกได้ลองกินอาหารแปลกๆดูบ้าง แต่พี่คนสวยเขาบอกว่าไม่มีเสียอีก.. ถ้างั้นก็สั่งข้าวมันไก่ดีกว่า…ขอข้าวมันไก่สองจานนะครับน้อง” เมื่อแก้ตัวกับลูกชายเสร็จ สุรสีห์ก็บอกเมนูที่ต้องการกับสาวเสริฟ “ ค่ะ…เดี๋ยวรอสักครู่นะค๊ะ” เด็กเสริฟสาวยิ้มชื้นๆก่อนเดินจากไป “ วันนี้มีการบ้านมั้ยลูก” สุรสีห์ถามขึ้นแล้วยกเก้วน้ำเปล่าขึ้นดี่มดับกระหาย “ มีครับ…ครูบอกว่าให้กลับมาถามผู้ปกครองว่า ข้าวที่เรากินได้มาจากไหน แล้วกลับไปบอกให้ครูฟังในวันพรุ่งนี้ครับ “ “ อ๋อ…เป็นคำถามที่ง่ายมากลูก ข้าวทีเรากินอยู่ทุกเม็ดได้มาจากการปลูกของชาวนาทั้งนั้นแหละลูก” “ชาวนาคือใครกันล่ะพ่อ คล้ายๆกับชาวประมงหรือเปล่า” เด็กน้อยทำหน้าสงสัย สุรสีห็ค่อนข้างอึ้งกับคำถามของลูกชาย เขาไม่นึกเลยว่าลูกชายของเขา ซึ่งสอบไล่ได้อันดับต้นๆเสมอจะไม่รู้จักชาวนา หรือเป็นเพราะความสะเพร่าของเขาเอง ที่ไม่เคยปลูกฝังให้ลูกได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชาวนา สุรสีห์ฉุกคิดขึ้นมาทันที “ แล้วไอ้คอมพิวเตอร์ที่ลูกคลุกคลีกับมันอยู่ทุกวัน มันไม่เคยบอกลูกเลยเหรอว่า ชาวนาเป็นใคร มีหน้าตาอย่างไร และสำคัญอย่างไร” สุรสีห์ถามลูกชายขึ้นบ้าง “ ครับ มันไม่เคยบอก “ ความไร้เดียงสายังคงปกคลุมอยู่บนใบหน้าของเด็กน้อย “ ก็วันๆลูกเอาแต่เล่นเกมส์ไม่ใช่เหรอ ?” “ ครับ…แต่มันสนุกมากนะครับ “ เด็กชายยิ้มพร้อมกระดิกคิ้วทั้งสองข้าง “ ได้แล้วจ๊ะ …ข้าวมันไก่ “ เด็กเสริฟสาวคนเดิมกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับจัดแจงข้าวมันไก่ให้สองพ่อลูก สุรสีห์ ส่งยิ้มหวานๆให้เด็กเสริฟสาวอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเดินไปบริการโต๊ะอื่นต่อ “ พ่อยังไม่ตอบผมเลยว่าชาวนาเป็นใคร “ เด็กน้อยท้วงขึ้นอีกครั้ง “ ทานข้าวให้หมดก่อน แล้วเดี๋ยวตอนขับรถกลับบ้านพ่อจะเล่าให้ลูกฟังอย่างละเอียด “ สุรสีห์ก้มหน้าทานข้าวต่อ เมื่อเด็กน้อยเห็นเช่นนั้นก็ลงมือทานข้าวด้วย “ ใครกินหมดก่อนชนะ“ วิธีหลอกเด็กซึ่งดูจะเป็นวิธียอดนิยมถูกสุรสีห์งัดมาใช้อีกครั้ง เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทานข้าวอย่างขมักเขเม้น สำหรับเด็กในวัยนี้ หากสามารถทำอะไรที่ชนะผู้ใหญ่ได้ ดูจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และอลังการที่สุดภายใต้ความคิดที่ไร้เดียงสา ฟอร์ด เรนเจอร์ คันเดิมเคลื่อนที่ออกจากร้านอาหาร เมื่อเสร็จภาระกิจการปรนนิบัติกระเพาะอาหาร “ บอกได้แล้วยังครับพ่อ…ว่าชาวนาเป็นใคร “เด็กน้อยถามขึ้นอีกครั้ง “นี่ถ้าหากไม่ค่ำเสียก่อน พ่อจะพาลูกไปดูไห้เห็นกับตาเลยว่าข้าวมันมาจากไหน และชาวนาคือใคร แต่วันนี้คงหมดสิทธิ์แล้วละ..เพราะมันใกล้จะมืดเสียแล้ว” “ อยู่ไกลมั้ยพ่อ” “ ไม่ไกลหรอกลูก…เดี๋ยววันหลังพ่อจะพาไปดู” “ แล้วผมจะตอบคุณครูว่ายังไงดีครับพรุ่งนี้ “ เด็กน้อยท้วงขึ้นอีกครั้ง “ ลูกก็..ตอบ คุณครูไปว่า ข้าวที่เรากินได้มาจากการเพาะปลูกของชาวนา และชาวนาที่ลูกสงสัยว่าเป็นใครนั้น อันที่จริงเขาก็เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเรา นี่แหละเพียงแต่ว่า ชาวนาเขาต้องอยู่กับตมกับโคลน เนื้อตัวผิวพรรณของเขาจะไม่ขาวสดใสเหมือนกับเรา “ “ ดูต่ำต้อยน่ะพ่อ “ “ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ และคราวหลังอย่าพูดแบบนี้อีก… เพราะนั่นคือการดูถูกผู้มีพระคุณต่อเรา “ เด็กน้อยทำตามที่พ่อสั่งทันที “ ลูก รู้มั้ยว่าข้าวที่ลูกกินอยู่ทุกวัน มันได้มาด้วยความเหนื่อยยากลำบากขนาดไหน กว่าที่จะออกมาเป็นข้าวสวยให้เราได้แทะกินอย่างอร่อยปากนั้น มันต้องผ่านกรรมวิธีมากมาย ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ปลูก คือการไถและคราด แล้วยังมีการเตรียมเมล็ดพันธ์เพื่อใช้ในการปักดำหรือหว่าน ซึ่งแต่ละขั้นตอนผู้เป็นชาวนาเขาต้องเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ทนหลังขดหลังแข็ง อาบเหงื่อต่างน้ำ เผชิญหน้ากับแดดกล้าจนผิวตัวดำด้าง เท้าก็ต้องผุพังเพราะต้องลุยน้ำลุยโคลนอยู่เป็นวันวัน แล้วเมื่อต้นกล้าเริ่มหยั่งรากแตกกองอกงามขึ้น ชาวนาก็ต้องหมั่นตรวจตราระดับน้ำในนาอย่าให้ขาดตกบกพร่อง และยังต้องคอยถากถางพวกวัชพืชที่อาจจะรุกรานตามริมคันนา มิฉะนั้นมันจะไปแย่งปุ๋ยแย่งอาหารของต้นข้าวได้ เมื่อต้นกล้าเริ่มเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย ชาวนาก็ต้องใส่ปุ๋ยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ เพื่อผลผลิตที่ตามมาจะได้มีคุณภาพที่ดี และ เมื่อต้นข้าวเริ่มตั้งท้องออกรวง พวกแมลงศัตรูพืช หนู นก ก็ยังมาคอยรังควาญ บั่นทอนผลผลิตให้ลดน้อยลงไปอีก หากจะคิดทำนาเป็นธุรกิจในสมัยปัจจุบันดูจะเป็นการเสี่ยงต่อการขาดทุนมากๆ เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆมันยิ่งทวีสูงขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ราคาข้าวยังคงมีราคา ถูก แถมเวลาไปขายยังถูกพ่อค้าคนกลางขูดเลือดปูเอาอีก “ “ ฟังดูน่าสงสารนะครับพ่อ “ “ ใช่…ชาวนาคืออาชีพที่น่าสงสาร แต่ยังน่ายกย่องนับถือที่สุด เพราะพวกเขาคือผู้สร้างที่ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น และ นั่นคือบรรพบุรุษโดยแท้ของเรานะลูก เพราะตอนที่วัฒนธรรมต่างๆของพวกตะวันตกยังไม่ลุกลามเข้ามา โคตรเง้าของพวกเราเขาก็ทำนากันทั้งนั้นแหละ “ “ แสดงว่าผมก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากชาวนาด้วย ใช่มั้ยพ่อ “ “ ถูกต้องนะครับ… ลูกมีสายเลือดของชาวนาผสมอยู่ด้วย เพราะปู่ของลูกเป็นชาวนา “ “ แล้วทำไมพ่อไม่ทำนาเหมือนปู่ล่ะครับ “ เด็กน้อยถามด้วยความไร้เดียงสา แต่คำถามนั้นกับแทงใจดำ สุรสีห์เอาเต็มๆ เขาหวนคิดถึงตอนวัยเด็ก ที่เคยอยู่กับทุ่งกับนา เคยเก็บผักเก็บหญ้าหาปูหาปลาตามลำห้วยลำคลอง เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ท้องทุ่งที่บ้านก็จะมีคนในหมู่บ้านมากมายมาช่วยกันลงแขกเก็บเกี่ยวข้าว และเขาก็มักจะเข้าไปร่วมขวางแข้งขวางขาอยู่ด้วย เขาชอบทำปี่ซังข้าวมาเป่าเล่น และเสียงของมันก็ยังก้องอยู่ในความรู้สึกคล้ายกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน มันคือความอิสระที่ไร้กฎเกณฑ์ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมสุดท้ายแล้ว เขากลับเลือกที่จะดำเนินชีวิตภายใต้กฎเกณฑ์ของสังคมเมืองแทน มันอาจเป็นความคิดที่มักง่ายและเห็นแก่ตัว แต่เขาก็ตัดสินใจทำไปแล้ว เขายอมขายมรดกที่นาซึ่งพ่ออุตส่าห์บุกบั่นถากถางมาด้วยความยากลำบาก เขาขายดินที่เคยเหยียบย่ำ เคยหล่อเลี้ยงชีวิตเพียงเพื่อแลกกับดินผืนน้อยในสังคมเมือง เขาไม่แน่ใจว่าความสะดวกสบายที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้จะเป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิตหรือเปล่า “ พ่อครับ! ทำไมถึงเงียบไปล่ะครับ” เด็กน้อยเขย่าขาสุรสีห์ เมื่อเห็นอาการผิดสังเกต “ อ๋อ!....ไม่มีอะไรหรอกครับ แล้วเมื่อตะกี้ลูกถามพ่อว่าอะไรหรือครับ ไหนลองถามใหม่อีกครั้งซิ” “ ผมถามว่าทำไมพ่อถึงไม่ทำนาเหมือนกับปู่” “ สาเหตุที่พ่อไม่ทำนามีอยู่ 3 ข้อ ด้วยกันก็คือ หนึ่งพ่อขี้เกียจ สอง พ่อขี้คร้าน ส่วนข้อสามก็คือ พ่อไม่ขยัน เป็นไงเหตุผลฟังขึ้นไม่ลูก “ เด็กน้อยทำหน้างงๆกับคำพูดของพ่ออยู่พักหนึ่ง ..แล้วก็หัวเราะออกมาทันทีเมื่อเริ่มเข้าใจ “ พ่อครับ...แล้วถ้าเกิดประเทศของเราไม่มีชาวนาเหลืออยู่ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างมั้ยครับ” “ มีผลกระทบแน่นอนครับ เพราะชาวนาเป็นผู้สร้างอาหารให้กับเรา ถ้าเกิดผู้สร้างมีน้อยหรือไม่มีเลยในขณะที่ผู้บริโภคกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ ก็จะนำมาซึ่งความไม่สมดุลและเมื่อถึงเวลานั้นข้าวที่เรารับประทาน อยู่ทุกวันก็จะมีราคาสูงขึ้น” “ มีอะไรข้องใจอีกไม่ลูก “ “ มีครับ…เมล็ดข้าวที่เรากินอยู่ทุกวันมันมาจากส่วนไหนของต้นข้าวหรือครับ และต้นข้าวมันมีหน้าตาอย่างไร เหมือนกับต้นมะม่วงหรือเปล่า “ “ ลูกรู้จักต้นหญ้าเจ้าชู้หรือเปล่าครับ” “ ที่เมล็ดของมันชอบติดเสื้อผ้าใช่มั้ยพ่อ “ “ นั่นแหละใช่…..ส่วน ต้นข้าวมันก็พวกพืชตระกูลเดียวกับพวกหญ้าเจ้าชู้นี่แหละ แต่ต้นข้าวมันวิเศษกว่าเพื่อนก็ตรงเมล็ดของมัน สามารถเป็นอาหารให้กับสรรพสัตว์มากมาย มันจึงกลายเป็นหญ้าที่สูงค่ากว่าหญ้าธรรมดาไงล่ะ …ส่วนที่ลูกสงสัยว่าเมล็ดข้าวมาจากส่วนไหนของต้นข้าวนั้น คำตอบก็คือ เมื่อต้นข้าวถึงวัยเจริญพันธ์มันก็จะออกรวงมากจากกลางลำต้น ซึ่งแต่ละรวงก็จะมีเมล็ดข้าวมากมายเกาะติดอยู่ เมื่อเมล็ดข้าวแก่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวเมล็ดของมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทอง ซึ่งคนส่วนมากนิยมเรียกว่า ข้าวเปลือก เมื่อนำข้าวเปลือกไปเข้าโรงสี เราก็จะได้เมล็ดข้าวสวยอย่างที่เราหุงกินนั่นเอง” “ แล้วเปลือกข้าวมันหายไปไหนหมดล่ะพ่อ “ “ มันกันถูกแยกให้ไปรวมกันที่อื่น เพื่อรอนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อ เช่น นำไปเป็นเชื้อเพลิงในการเผาถ่าน นำไปทำปุ๋ย ฯลฯ …แต่ตอนนี้ชื่อของมันเปลี่ยนแล้วนะลูก มันถูกเรียกว่า แกลบ แทน “ “ฟังดูชีวิตของข้าว มันมั่วมากเลยนะพ่อแล้วทำไมเวลากินมันง่ายนิดเดียวล่ะพ่อ “ “ เรื่องกินมันง่ายทั้งนั้นแหละลูกเอ๊ย มนุษย์ส่วนมากเขาชอบการบริโภค มากกว่าการสร้างทั้งนั้นแหละลูก… ถึงบ้านแล้ว มีอะไรจะถามพ่ออีกมั้ยลูก “ “ ไม่มีแล้วครับ “ “ งั้นเราเข้าบ้านไปดูทีวีกันดีกว่าน๊ะ” สุรสีห์ชวนลูกชาย บ้านยังคงมืดสนิท สุรสีหืรู้ดีว่าภรรยายังไม่ได้กลับมาถึงบ้านอย่างแน่นอน เขาจึงไขประตูบ้านเข้าไปข้างใน ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังดูทีวีอยู่ในบ้านอย่างสนุกสนาน ก็ได้มีรถยนต์คันหนึ่งมา จอดอยู่หน้าบ้าน แล้วภรรยาสุรสีห์ก็ออกมาจากรถ พร้อมกับข้าวของถือหิ้วอยู่ในมือมากมาย รถยนต์ของเพื่อนภรรยาสุรสีห์ขับออกไปทันทีเมื่อเสร็จภารกิจ “ แม่มาแล้ว “ เด็กชายรีบวิ่งออกไปรับแม่ที่หน้าบ้านอย่างดีใจ “ ทำไมแม่มาช้าครับ “ “ วันนี้งานเยอะจ๊ะลูก แล้วเมื่อกี้แม่ก็ไปซื้อของที่โลตัสกับเพื่อนมาด้วย “ “มีขนมมั้ยครับ “ “ ไม่มีหรอกจ๊ะ แม่รีบก็เลยซื้อมาแต่เฉพาะข้าวสารกับเครื่องใช้จำเป็นเท่านั้นเอง แล้วขนมในตู้เย็นลูกทานหมดแล้วเหรอจ๊ะ “ “ ยังไม่หมดครับ “ “ ถ้างั้นก็ทานไปก่อนน่ะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ค่อยซื้อมาให้ใหม่…เข้าบ้านกันเถอะ ลูก” “ แม่ครับ…แม่ไม่เคยโกหกผมใช่มั้ยครับ “ “ จ๊ะ…ทำไมล่ะลูก “ “ คือ…ผมจะถามอะไรแม่ซักหน่อย ว่าข้าวในถุงที่แม่ถืออยู่นั้นได้มาจากไหน “ “ ก็แม่ซื้อมาจากโลตัสซิครับ ทำไมลูกถึงถามแปลกๆล่ะ “ “ไม่มีอะไรครับผมแค่อยากรู้ “ “ ไป…เข้าบ้านกันดีกว่า พ่อไปไหนล่ะจ๊ะลูก “ “ พ่อนอนดูทีวีอยู่ครับ “ ในห้องนอนที่มีแอร์เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิ สามพ่อแม่ลูกนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงนุ่มๆ และคลุมร่างไว้ด้วยผ้าห่มผืนหนา เด็กน้อยนอนอยู่ระหว่างกลางพ่อกับแม่ เขานอนยังไม่หลับ เพราะจิตใจกำลังพะวักพะวงอยู่กับเรื่องคำตอบที่จะต้องใช้ตอบครูในวันพรุ่ง เขารู้สึกสับสนกับข้อมูลที่แตกต่างกัน ข้อมูลของพ่อที่ว่าข้าวมาจากชาวนานั้น แม้จะฟังดูคล้ายนิทานปรัมปราแต่ก็ยังมีข้อน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ส่วนอีกข้อมูลของแม่ที่ตัวเขาเอง ได้เห็นและได้สัมผัสอยู่อย่างเคยชินนั้น ก็เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถืออยู่ไม่แพ้กัน เขาลังเลที่จะเลือกเอาเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นหลัก เขาครุ่นคิดวกวนอยู่นาน จนในที่สุดก็เผลอหลับไป เช้าวันใหม่ ฟอร์ด เรน เจอร์ ถอยออกจากโรงรถอีกครั้ง วันนี้ก็เหมือนกับวันอื่นๆที่ผ่านมา ทุกอย่างมันซ้ำซากจำเจจนมองดูคล้ายละครชีวิตน้ำเน่าเรื่องยาว ทุกเช้าพวกเขาทั้งสาม พ่อ แม่ ลูก จะต้องขึ้นรถคันเดียวกันเสมอก่อนที่จะแยกย้ายกันลงคนละที่ หน้าโรงเรียนคือป้ายแรกที่จะต้องจอดให้สมาชิกตัวน้อยลง ก่อนที่สองสามีภรรยาจะไปยังที่ทำงานประจำของตนต่อไป ในห้องเรียนหลังจากเข้าแถวเสร็จ “ เมื่อวานครูให้การบ้านอะไรใครจำได้บ้างจ๊ะ “ ครูหญิงร่างท้วมๆถามขึ้น “ จำได้ครับ / ค่ะ “ เด็กนักเรียนตัวน้อยทั้งห้องตอบพร้อมๆกัน “ แล้วใครรู้บ้างหรือยังจ๊ะว่าข้าวที่เรากินได้มาจากไหน “ คุณครูถามขึ้นอีกครั้ง “ รู้ครับ “ เด็กน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นยืนอย่างมั่นใจพร้อมที่จะตอบ เขาคือลูกชายของสุรสีห์นั่นเอง “ ตอบมาเลยจ๊ะ เด็กชายสุรชาติ “ คุณครูชี้นิ้วไปยังลูกชายของสุรสีห์ที่ยืนอยู่ “ ข้าวที่เรากินได้มาจาก โลตัส ครับ” ลูกชายของสุรสีห์ยืนยืดอกอย่างมั่นใจเมื่อเสร็จสิ้นคำตอบ คุณครูถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กน้อย เพื่อนในห้องบางคนที่พอรู้เรื่องก็หัวเราะกันเป็นการใหญ่ ส่วนพวกที่ไม่รู้เรื่องก็พลอยหัวเราะกับเพื่อนๆไปด้วย ลูกชายของสุรสีห์แปลกใจกับพฤติกรรมของเพื่อนๆและคุณครูนัก เขาไม่ค่อยแน่ใจในความหมายของสายตาและเสียงหัวเราะ ที่คนรอบข้างกำลังมีกับเขา เมื่อความมั่นใจหดหายไป ร่างน้อยที่เคยยืนอย่างมั่นคง องอาจก็เริ่มเปลี่ยนกิริยาบถเป็นยืนก้มหน้าแทน เมื่อครูสาวเหลือบมาเห็นอาการของลูกชายสุรสีห์เช่นนั้น ก็รีบเดินเข้ามาปลอบพร้อมกับส่งสัญญาณใบ้ให้เด็กนักเรียนในห้องเงียบเสียง “ ไหนหนูลองบอกครูซิจ๊ะ ว่าหนูได้คำตอบมาจากไหน” ครูสาวเอามือลูบหัวของลูกชายสุรสีห์ไปพลางๆระหว่างที่กำลังรอคอยคำตอบ “ ก็ผมเห็นแม่ไปซื้อข้าวที่โลตัสอยู่เป็นประจำนี่ครับ” “ อย่างนี้นี่เอง...แล้วหนูอยากฟังคำตอบจากเพื่อนๆดูมั้ยครับ” “ อยากฟังครับ” “ เอ้า...ใครตอบได้ว่าข้าวมาจากไหนยกมือขึ้น” เมื่อครูสาวถามจบเด็กชายตัวดำร่างผอมคนหนึ่งก็ชูมือขึ้นอย่างรวดเร็ว “ตอบมาเลยจ๊ะ เด็กชายบุญเลิศ” “ ข้าวที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ได้มาจากการเพาะปลูกของชาวนาครับ” “ เก่งมากจ๊ะ...นั่งลงได้” ครูสาวชมเชยนักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูก แล้วก็หันหน้ากลับมาที่ลูกชายของสุรสีห์ ’’ เข้าใจหรือยังครับ...ว่าข้าวได้มาจากไหน” “ รู้แล้วครับ เมื่อวานพ่อก็ยังเล่าให้ผมฟังอยู่เลย” “ แล้วทำไมหนูถึงไม่เชื่อคำบอกเล่าของคุณพ่อล่ะครับ” “ คุณพ่อชอบพูดโกหก ผมก็เลยไม่อยากจะเชื่อ” “ ฮือ! “ ครูสาวยิ้มกับลูกชายสุรสีห์ แล้วก็เดินไปหน้าห้องเรียน หยิบรูปภาพที่เตรียมมาประกอบกับการสอนเรื่องชาวนาและข้าวอย่างละเอียด ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยข้อคิดไว้กับนักเรียนในห้องว่า “ สิ่งใดก็ตามที่สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก สิ่งนั้นเราก็ควรที่จะใช้มันให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ที่สุด อย่าใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันหมดสิ้น ข้าวที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน มันต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยากลำบากมากมาย เพราะฉะนั้นเราทุกคนในฐานะผู้บริโภค ก็ควรที่จะใช้ข้าวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด อย่ากินทิ้งกินขว้าง ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ด้อยไปกว้าข้าว นั่นก็คือชาวนาหรือที่เรียกอีกชื่อว่าผู้สร้างชีวิต ปัจจุบันชาวนามีจำนวนน้อยลงทุกวันเพราะไร้ผู้สืบทอด อาชีพชาวนาที่น่านับถือนั้น กำลังถูกเด็กรุ่นหลังดูถูกเหยียดหยามว่าเป็น อาชีพที่ต่ำต้อยและไร้ศักดิ์ศรี... แล้วนักเรียนล่ะคิดอย่างนั้นหรือเปล่าค่ะ” “ ไม่คิดเช่นนั้นครับ / ค่ะ’’ “ ดีจ๊ะ....พวกเราจะต้องไม่ดูถูกเหยียดหยามผู้มีพระคุณต่อเราเป็นอันขาด... เพราะนั่นหมายถึงการเนรคุณ”
|
เจ้าของ: | บอระเพ็ด. [ 03 พ.ค. 2010, 11:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "เก็บมาเล่า.....ให้ฟัง" |
"ความหวังก่อนตาย" โดย สรจักร ศิริบริรักษ์ ตาเคยเห็นรอยเลือดจางเป็นจุดที่ด้านในของยกทรงครั้งแรก เมื่อก่อนพ่อแม่จะตายเพียงสองวัน จำได้ว่าตอนนั้นตกใจเล็กน้อย แม้จะอายุยี่สิบห้า แต่ตาก็ไม่รู้อะไรกับเรื่องทางสรีระมากนัก คิดเอาเองประสาคนต่างจังหวัดที่มีโอกาสรับข่าวสารน้อยว่า คงเป็นอาการนมคัดอย่างที่เคยได้ยิน ตาตั้งใจจะรอถามแม่ ซึ่งอยู่ระหว่างเร่ขายทุเรียนกวนตามงานวัด ทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง โดยมีพ่อเป็นคนขับ ทั้งสองไปทีละหลายวันถึงสัปดาห์ ครอบครัวของตาประกอบด้วยพ่อ ซึ่งเป็นอดีตจ่าทหารเรือสัตหีบ แม่เป็นลูกจ้างติดรถเร่ขายของตามงานวัด ทั้งสองแต่งงานกันง่ายๆแบบคนจนที่ดี พ่อลาออกเอาเงินบำเหน็จซื้อที่ขนาดพองามลงเงาะ ทุเรียน มังคุดได้อย่างละแปลง กลายเป็นไร่นาสวนผสมที่พอเลี้ยงชีพได้โดยอัตคัด ตา เป็นพี่สาวคนโต มีหน้าที่หุงหาอาหาร ดูแลงานบ้าน สามหน่อถัดจากตาเป็นผู้ชายสองและคนสุดท้ายเป็นผู้หญิง ภาระในการเลี้ยงส่งลูกทั้งสี่หนักหนาสากรรจ์ ตาถูกให้ออกโรงเรียนหลังจบชั้นป.๗ เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าทำไมผู้หญิงต้องเรียนสูง ความที่เคยอยู่รถเร่สมัยยังสาว แม่เห็นลู่ทางหารายได้โดยรับซื้อทุเรียนร่วงตามสวน ทดลองกวนขาย ความที่เป็นทุเรียนแท้ไม่เติมแป้งทำให้ติดตลาด และทำรายได้เพิ่มน่าพอใจ พ่อจึงเอา มอเตอร์ไซค์คู่กายมาต่อเป็นรถพ่วงขนวัตถุดิบ และพาแม่ไปขายทุเรียนกวนตามตลาดนัด ส่วนจักรยานคันเก่า น้องเก๋คนสุดท้องใช้เป็นพาหนะไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างไปสิบกิโล ด้วยความคิดแบบทหาร พ่อให้ความสำคัญกับลูกชาย และส่งเสียเล่าเรียนเต็มที่ในฐานะผู้สืบสกุล พ่อมักพูดปลูกฝังลูกชายทั้งสองให้สอบเป็นนายร้อย ชดเชยความรู้สึกต่ำต้อยของพ่อ ความจนมักมากับความทุกข์ เมื่อน้องชายทั้งสองเรียนระดับอาชีวะ เช้าวันหนึ่งรถสองแถวที่บรรทุกนักเรียนเข้าเมืองเกิดเทกระจาด สองหนุ่มน้อยซึ่งแต่งตัวไปเรียนแต่เช้าถูกรถบรรทุกทับจนตายคาซากรถ ทั้งบ้านร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ หลังจากพ่อแม่ทำใจกับการสูญเสียลูกชายได้ ตาจึงมีโอกาสหาความรู้ใส่ตนอีกครั้ง แต่ด้วยเรื้อโรงเรียนมานาน เธอจึงเลือกเรียนเย็บผ้า ด้วยหวังทำรายได้เสริมยามว่างจากสวน ส่วนน้องเก๋คนเล็กสุด และห่างจากเธอสิบปีได้รับการฟูมฟักเช่นไข่ในหิน ให้เป็นหน้าตาของพ่อแม่ ตายังจำคำของพ่อได้ว่า “ ดูแลน้องให้ดีนะลูก เคี่ยวเข็ญมันเข้า พ่อแม่ไม่มีปริญญาก็อยากเห็นลูกได้ปริญญาสักคน ” ความตายของลูกชายเปลี่ยนนิสัยพ่อ จากที่ไม่เคยฟังใคร กลายเป็นพ่อที่อบอุ่น สำหรับลูกสาวทั้งสอง พ่อมักพูดถึงความฝันของตัวเองให้ลูกฟังทุกวัน จนมันกลายเป็นภาระที่คน ในครอบครัวจะต้องช่วยกันส่งเสริมสมาชิกคนเล็กสุด ให้ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจาก มหาวิทยาลัยมีชื่อให้จงได้ ทุกข์ซ้ำกรรมซัด เสมือนเป็นคำสั่งเสีย หลังจากพ่อแม่เดินทางไปขายของงานวัดที่ศรีราชาเพียงสี่วัน ผู้มีพระคุณทั้งสองก็สังเวยชีวิตบนทางหลวง ขณะขับรถพ่วงข้างฝ่าลมหนาวกลับบ้าน ร่างของพ่อกระเด็นไปติดไม้ใหญ่ ทุเรียนกวน กระจายเกลื่อนถนนปนกับเลือดสีแดงฉาน จากร่างแม่ซึ่งขาดเป็นสองท่อน ตาล้มพับทันทีที่เพื่อนบ้านวิ่งมาแจ้งข่าว ดวงตะวันดับแล้วพร้อมจันทรา ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวที่ยังเหลืออีกหนึ่งชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะความปรารถนาของพ่อตาก็ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปทำไม หลังพิธีศพผ่านพ้น หญิงสาวบอกตนเองว่า เธอมีภาระอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งคือ ส่งน้องเรียนปริญญาให้ได้ เมื่อเสร็จภารกิจ เธอจะปลงผมบวชตลอดชีวิต แผนการชีวิตถูกวางตามกำลังสมองที่มี เธอตัดสินใจพาน้องเข้าเมืองหลวงด้วยความ เชื่อว่าการอยู่เมืองหลวงจะทำให้น้องสาวฉลาด หูตากว้างไกล หญิงสาวพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของพ่อมีเงินแปดพันกว่าบาท อาจฟังดูเล็กน้อยสำหรับคนกรุง แต่มากโขสำหรับชาวบ้านธรรมดาที่อยู่ในสังคมเกษตร หญิงสาวถือสมุดไปขอถอนเงินเพื่อใช้เป็นทุนเข้ากรุงเทพฯ ธนาคารปฏิเสธการจ่าย เพราะ เธอไม่ใช่เจ้าของบัญชี เธอคู้ตัวไหว้แล้วไหว้อีกจากโต๊ะนี้ไปโต๊ะโน้น ทุกคนตอบห้วนๆว่าผิดระเบียบ จนถึงผู้จัดการใหญ่ซึ่งอธิบายว่า มรณบัตรของพ่อแม่ไม่ช่วยให้ธนาคารฝ่าฝืนระเบียบได้ มีทางเดียวคือเธอต้องร้องต่อศาล ขอเป็นผู้จัดการมรดกของบิดามารดา คนจนไม่มีอำนาจต่อกร เธอหมดปัญญาเอาความกับธนาคาร จำต้องทิ้งเงินไป หญิงสาวตัดใจขายที่สวนในราคาไร่ละห้าพันบาท ได้เงินแปดหมื่น พาน้องสาวเข้า เรียนต่อที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องได้สัมผัสกรุงเทพฯด้วยตนเอง อากาศเหม็นแสบจมูก เต็ม ด้วยฝุ่น ผู้คนมากมายล้วนหน้าดำคร่ำเครียด เดินขวักไขว่เหมือนมดปลวก เพื่อนสมัยเรียนด้วยกันที่ระยองมารับเธอตามที่มีจดหมายบอก สองพี่น้องเช่าห้องเล็กๆ ชานกรุงเทพฯใกล้บ้านเช่าของเพื่อนเป็นที่ซุกหัวนอน หญิงสาวแบ่งเงินซื้อจักรมือสองรับงานเย็บผ้าจากโรงงาน รายได้ไม่มากแต่พอดำรง ชีวิตให้ผ่านคืนวันไปได้ และด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นเธอก็พาน้องไปสอบเรียนต่อม.๔ อันที่จริงการเรียนของเก๋ก็อยู่ในระดับดีมากตามมาตรฐานต่างจังหวัด แต่ที่นี่ เด็กสาวติดอันดับสำรองเกือบสุดท้าย ตาเป็นคนพาน้องสาวไปกราบตักครูใหญ่เพื่อขอความกรุณา น้ำตาแห่งความทุกข์ยากราดรดโคนต้นไม้แห่งความปรานีในหัวใจครูใหญ่ จนผลิดอกออกผล ในท้องฟ้าอับโชค บางครั้งเมฆขาวก็ลอยผ่านมาพอได้เห็น อาการเลือดออกจากหัวนมของตายังเกิดเป็นระยะ แต่ไม่มีอะไรร้ายแรง นอกจากเจ็บตึงเป็นบางครั้งและมีตกขาวร่วมด้วย เธอเคยปรารภกับเพื่อนแบบอายๆ "สงสัยว่าจะเกิดจากการถีบจักรวันละสิบสี่ชั่วโมง" วันรุ่งขึ้นเพื่อนรักเอายาแคปซูลมาให้สามชุด กินแล้วไม่ดีขึ้น หลังจากนั้นเพื่อนมักแวะเวียนเอายารูปร่างแปลกๆมาฝากเสมอ ส่วนเก๋นั้นเป็นเด็กดี แต่งตัวไปเรียนแต่ก่อนสว่าง กลับบ้านช่วยพี่สาวเย็บผ้า ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าว ดูแลความสะอาดห้องขนาดสี่คูณสี่เมตร ว่างจากนั้นก็ท่องตำราทำการบ้าน ตลอดสามปีที่ย้ายมากรุงเทพฯ สองพี่น้องไม่เคยพักผ่อน ดูหนัง ดูละคร อาหารหลักที่ทำไว้กินครั้งละหลายๆ วันก็คือแกงส้มหรือไม่ก็ต้มจับฉ่าย เก๋ทำหน้ายุ่งยากทุกครั้งที่พี่สาวถามเรื่องผลการเรียน เธอไม่อยากทำให้พี่สาวผิดหวังในตัวเธอ ความฝันสูงสุดคือได้เห็นน้องสาวขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อแม่คงมองเห็นจากสวรรค์เบื้องบน ตาอ่านใบแจ้งผลการเรียนไม่เข้าใจ เพราะสมัยที่เธอเรียนใช้ระบบเปอร์เซนต์ เธอนำไปปรึกษาเพื่อน “ วิชาอื่นก็ดีหรอกนะ เว้นแต่ภาษาอังกฤษ น้องเธอตกภาษารู้ไหม ? เด็กต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ลูกคนกรุงเทพฯดูเคเบิ้ลทีวี ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง พวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก ” เพื่อนสาวแนะนำอย่างคนเห็นโลกมามาก “ ถ้าเรียนพิเศษเพิ่มจะดีไหมนะ ? ” ตาขมวดคิ้ว ใบหน้าผอมเต็มไปด้วยริ้วรอย กังวล ดูเผินๆเหมือนอายุสี่สิบ โอ๊ย ! ดีอยู่แล้ว แต่เงินล่ะ จะเอาเงินมาจากไหน ? เดือนละสามสี่พันเชียวนะเธอ อย่านึกว่าขี้ไก่ เก็บเงินไว้ซื้อเนื้อซื้อปลากินเองเถอะ ผอมจะเป็นผีดิบอยู่แล้ว ” สามปีในกรุงเทพฯ สุขภาพของหญิงสาวทรุดโทรมลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะ อากาศสกปรกหรือความอับทึบของห้องเช่า หรือมุงานเกินไป ระยะหลังนอกจากจะมีก้อนแข็งในเต้านมแล้ว เธอยังมีระดูขาวออกกะปริบกะปรอยถี่ขึ้น กลิ่นเหม็นคาวสกปรกตาเจียดเงินฝากเพื่อนซื้อยาต้ม “ มุตกิดระดูขาว ” เธอบอกเพื่อนเช่นนั้น เพื่อนแนะนำให้ไปหาหมอ เธอปฏิเสธเพราะค่ายาคงหลายร้อย “ พี่เป็นอะไร ? ” เก๋ถามเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรจากหม้อต้มยาน้ำดำ “ ตกขาว ” เธอไม่เคยบอกน้องเรื่องความผิดปกติมากกว่านั้น “ ไปหาหมอดีกว่านะ หลังๆนี้พี่ดูซูบจังเลย ” “ ไม่หรอก....เสียดายเงิน อยากเก็บไว้ให้เก๋เรียนพิเศษมากกว่า อีกสองเดือนก็สอบไล่แล้วนี่ ” เก๋ปฏิเสธไม่ยอมเรียนพิเศษ ไม่ว่าจะบังคับอย่างไร เว้นแต่ว่าพี่สาวจะยอมไปหาหมอที่โรงพยาบาล การไปหาหมอเป็นเรื่องใหญ่ ค่ารักษา รายได้ที่ต้องเสียจากการหยุดงานทั้งวัน และความรู้สึกอับอายที่ต้องเปลื้องผ้าให้หมอตรวจตรงนั้น ตาแทบทำใจไม่ได้ ขณะนั่งรอแพทย์ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนสิบโมง ผู้คนขวักไขว่นั่งนอนยืนเดินบนทางเดินแคบๆ บางคนผอมเหมือนตายซาก มี น้ำหนองเฟะที่แผล กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเหม็นแทบเป็นลม เธออยากลุกวิ่งหนีออกมาจากสถานที่แห่งความหดหู่ หญิงสาวมิได้อาทรสุขภาพของตนเอง เธอยอมมาโรงพยาบาลเพื่อน้อง พยาบาลเรียกเธอเข้าไปในห้อง หมอหนุ่มถามเธอด้วยคำถามน่าอับอาย มีสามีหรือยัง ?มีเพศสัมพันธ์กับใครบ้าง ? ไม่มีเลยหรือ ? จริงหรือ ? อย่าโกหกหมอนะ และยังสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า ตรวจภายใน เธอน้ำตาไหลพราก เมื่อหมอใช้มือคลำหน้าอก รู้สึกว่าเอาความเป็นหญิงที่สงวนมาตลอด ชีวิตถูกช่วงชิงไปเสียแล้วโดยชายแปลกหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นหมอ พยาบาลเรียกเธอขึ้นนอนบนเตียงมีขาหยั่ง เจ็บแปล๊บเมื่อถูกตัดชิ้นเนื้อขนาดเม็ดถั่วไปตรวจ เธอไม่เข้าใจ และไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอธิบายให้เธอเข้าใจ ในสัปดาห์ต่อมา เมื่อโหนรถเมล์ไปฟังผลการตรวจตามที่หมอนัด เธอก็พบกับหมอ ที่เคยตรวจและหมอผู้หญิงแก่ๆอีกคน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดี สบตากันก่อนจะบอกเธอว่า เธอเป็นมะเร็งลุกลามทั่วตัวแล้ว การใช้ยาบำบัดอาจช่วยต่อชีวิตไปได้ ๕๐% ทั้งสองพูดอะไรอีกบางอย่าง เช่นว่า หากมารักษาแต่เนิ่นๆ ก็หายขาดได้ แต่ตาไม่ได้ยิน ในสมองอื้ออึงเหมือนมีพายุพัด ตาไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีน้ำตาของความเจ็บปวด เธอเจ็บปวดมามากพอแล้ว ในสมองก้องด้วยคำว่า “ มะเร็งระยะลุกลาม ” หมอบอกค่ายาเข็มละห้าร้อยบาท ต้องฉีดทุกสัปดาห์เพียงเพื่อยืดเวลาชีวิตไปอีกระยะ เมื่อลงรถเมล์ หญิงสาวก้าวข้ามถนนไปยังโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่หรูหรา พนักงานชุดฟอร์มสีม่วงมองการแต่งกายของเธอด้วยสายตาเหยียด อากาศเย็นยะเยือกจากแอร์ทำให้ร่างผอมสั่นสะท้าน เธอกำมัดเงินที่เตรียมไว้เป็นค่ายาจนชุ่มด้วยเหงื่อ มีเพียงสองทางเลือกสำหรับคนจนอย่างเธอ...ตัวเองหรือน้อง ? “ สมัครติววิชาให้น้องค่ะ ” เธอตัดสินใจเด็ดขาด การที่เก๋ได้ติวภาษาอังกฤษและอื่นๆ กลับยิ่งทำให้เธอขาดความมั่นใจ ที่โรงเรียนมีผู้คนมากมาย เด็กส่วนใหญ่มีรถขับมาเรียน แต่งกายสวยงาม พูดไทยปนอังกฤษ เพื่อนร่วมชั้นพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเธออ่านออกเสียงภาษาอังกฤษหน้าชั้น เก๋เครียด ภาระที่พ่อสั่งเสียหนักนัก เธอพยายามตั้งใจเรียน แต่ไม่อาจฝ่าข้ามขีดจำกัดของตนเองได้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เก๋เชื่ออย่างฝังใจว่า "ถ้าเธอทำคะแนนทดสอบเอนทรานซ์แบบจำลองที่สถาบันแห่งนี้จัดทำได้ถึงครึ่ง เธอก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และในทางกลับกันถ้าเธอไม่ผ่านการทดสอบ เธอก็หมดโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยปิดที่ทุกคนคาดหวัง" หากพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธออาจร้องขอความเห็นใจ แต่นี่...ประตูปิดตายแล้ว เหลืออีกเพียงสี่เดือนก็ถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ เก๋ทุ่มตัวสอบเต็มที่กับการทดสอบ เอนทรานซ์แบบจำลองของสถาบันติววิชา ตาสังเกตเห็นความเครียดของน้องสาว ซึ่งเชื่อมั่นอย่างไม่มีทางโน้มน้าวให้เป็นอย่างอื่น “ ถ้าหนูทำแบบทดสอบของสถาบันไม่ได้ หนูก็จะไม่สอบเอนทรานซ์ เพราะ อาจารย์บอกว่าไม่เคยมีใครที่ตกการทดสอบที่นี่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ” ก่อนทดสอบ ๑ วันเก๋แทบไม่นอน คืนนั้นเด็กสาวนั่งท่องตำราจนตีสอง และตื่นตีสี่ กว่าอ่านหนังสือต่อ เห็นชัดว่าเธอเครียดมาก ดูมันยิ่งใหญ่กว่าการสอบเอนทรานซ์จริงๆเสียอีก เธอออกจากบ้านไปสอบที่สถาบันหน้าปากซอยตั้งแต่หกโมงเช้า ค่ำวันนั้นเธอกลับมาด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย ไม่พูดจา ตาเปิดพัดลมไล่อากาศอบอ้าว ปล่อยให้น้องนอนนิ่งๆโดยไม่กวนใจ หลังจากนั้นนับชั่วโมงเธอจึงพูดเบาๆ แล้วสะอื้น “ ไม่มีทางหรอกพี่ หนูทำไม่ได้ ” ตากอดน้องสาว รู้ดีว่าการทดสอบครั้งนี้สำคัญมากเพียงใด หลังจากวันนั้น เก๋มักจะนั่งเหม่อลอย รอผลการทดสอบซึ่งจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์ สายวันหนึ่ง ขณะที่เก๋ไปโรงเรียน บุรุษไปรษณีย์ก็นำจดหมายจากสถาบันกวดวิชามาส่ง ตาออกไปรับ เธอเปิดอ่านผลการทดสอบด้วยมือสั่นเทา ร่างของเธอซวนเซเล็กน้อย ครู่หนึ่ง ตาก็แต่งตัวออกจากบ้านตกเย็นเมื่อเก๋กลับมาถึงบ้าน ตายื่นจดหมายให้ มันคือจดหมายฉบับเมื่อเช้า เก๋เปิดอ่านด้วยท่าทีลังเลและกลัวเนื้อความในจดหมาย เธอพึมพำน้ำตาไหล “ ไม่น่าเชื่อเลยพี่ หนูคิดว่าตัวเองทำได้ไม่ถึงครึ่ง ” หลัง วันนั้นเก๋เกิดความเชื่อมั่นอย่างมาก เธอมุมานะดูหนังสือจนสอบผ่านอย่างสวยงาม ช่วงนั้นเองที่ตาเป็นลมแน่นิ่งคาจักรเย็บผ้า เพื่อนบ้านจับขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปส่งโรงพยาบาลหมอรับไว้ทันที แม้จะมีปณิธาน อันแรงกล้า ที่จะสนับสนุนน้องสาวให้บรรลุความสำเร็จในชีวิตอย่างที่พ่อปรารถนา แต่ตาไม่อาจฝืนสังขาร มะเร็งแพร่กระจายไปที่มดลูก ปอด ตับ และกะโหลกศีรษะ เธอยังดำรงสัมปชัญญะไว้ได้ โดยมีความหวังเท่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เก๋ร้องไห้โฮเมื่อทราบความจริง เธอย้ายมากินนอนที่โรงพยาบาลเฝ้าพี่สาว ด้วยความอนุเคราะห์ของสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย ทำให้สองพี่น้องไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว “ พี่ตาไม่ตายนะ พี่ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้เก๋ ” เด็กสาวกอดพี่ร้องไห้ ตารู้สึกผิดที่ทำให้น้องเสียกำลังใจ เธอสัญญาว่าจะอยู่ต่อไป เธอไม่ปริปากถึงอาการเจ็บในช่องท้องที่ลุกลาม เหมือนมีหนอนนับพันกัดกินภายใน เธออ้อนวอนขอให้น้องทำให้ดีที่สุด เพื่อเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่และตัวเอง เก๋ไม่มีทางดิ้น ถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อาจเป็นกำลังใจที่จะช่วยให้พี่ต่อสู้กับโรคร้าย ด้วยพลังความรักที่มีเธอใช้เวลาอันสงบในโรงพยาบาลดูหนังสือเต็มที่ นั่นนำความสุขใจมาสู่พี่สาวเป็นอย่างยิ่ง มะเร็งลุกลามถึงระยะสุดท้าย หมอต้องให้มอร์ฟีนระงับปวด ดูเผินๆจึงคล้ายกับว่า การตั้งใจสอบของเก๋ทำให้พี่สาวอาการดีขึ้น เธอจึงยิ่งมุมานะเพื่อความอยู่รอดของพี่สาว ดังนั้นทุกครั้งที่ตาลืมตาตื่น จะเห็นน้องสาวก้มหน้าอยู่กับกองหนังสือมากมาย การสอบเอนทรานซ์ผ่านไป เก๋กลับจากสอบด้วยสีหน้าเชื่อมั่น “ หนูต้องสอบได้อยู่แล้ว เพราะทำทดสอบผ่านคะแนนดีด้วย ” พี่สาวยิ้มระโหย แต่เห็นชัดว่าสุขใจ วันสุดท้ายในชีวิตหญิงผู้อาภัพมาถึง ตรงกับวันประกาศผลเอนทรานซ์ เธอตื่นแต่เช้ากินอาหารได้มากเป็นพิเศษ ม่านตาขยายกว้างและแจ่มใส พูดคุยนานและไม่มีอาการหอบ เก๋ดูแลพี่จนรับยาเรียบร้อย จึงขอตัวไปดูผลการสอบเอนทรานซ์ด้วยหัวใจเบิกบาน พี่สาวเธอดูดีขึ้นมาก แต่เมื่อกลับมาถึง หัวใจที่พองโตของเก๋พลันสลาย ตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ขอบตาลึกโหล ริมฝีปากซีดเซียว นัยน์ตาไร้ประกาย เก๋ทิ้งผลไม้ในมือ ร้องไห้โฮ วิ่งไปกอดพี่สาว ประคองศีรษะแนบอก “ พี่จ๋า พี่อย่าทิ้งเก๋ไปนะ เก๋ทำให้พี่ทุกอย่างแล้ว ” หญิงสาวเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ มุมปากกระตุกยิ้มเหน็ดเหนื่อย “ ผลการสอบเป็นอย่างไร ? ” “ เก๋ติดพยาบาลอย่างที่พ่อแม่และพี่อยากให้เป็น เก๋ทำทุกอย่างแล้วนะ พี่ทิ้งเก๋ไปไม่ได้นะ เก๋สอบได้แล้ว พี่ได้ยินไหม ? เก๋สอบได้...” น้ำตาอุ่นไหลตามร่องแก้ม ตกบนหน้าผากหญิงสาวผู้อาภัพ “ ถ้าพี่ตายเก๋จะอยู่กับใคร...โฮ...พี่จ๋า...เก๋จะเป็นพยาบาลรักษาไข้พี่เอง ได้ยินมั้ย ? ” เธอตะโกนด้วยเสียงแผ่วหวิว ปิ่มว่าจะขาดใจ “ น้องพี่ ” ตากระซิบแหบระโหย “ น้องต้องอยู่ต่อไป ทำชื่อเสียงให้พ่อแม่ น้องต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง ” เธอปิดเปลือกตาลง หายใจหอบ “ พี่มีเวลาไม่มากแล้ว จงฟังพี่ให้ดี น้องเป็นคนมีความสามารถแต่ขาดความมั่นใจ น้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะเชื่อว่าตัวเองผ่านการทดสอบ พี่ดีใจและมีความสุขใจอย่างที่สุด มันเป็นของขวัญล้ำค่าก่อนตาย น้องเอ๋ย.... พี่มีเงินฝากในธนาคาร เหลือจากการขายที่สวนหกหมื่น ขอให้น้องเบิกมาใช้เป็นทุน...” แม้จะหอบหายใจแรง หน้าตายังอาบแต้มด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่ “ น้องจ๋า พี่ต้องขอโทษ พี่ได้ทำสิ่งไม่สมควร พี่แอบอ่านและปลอมแปลงจดหมาย ผลการทดสอบของน้อง พี่รู้ว่ามันสำคัญ แต่ถ้าพี่ไม่ทำ เราคงไม่มีวันนี้ พี่ดีใจและ...ขอบ...คุณ..”ตาสิ้นใจตายอย่างสงบ หลังจากหาวัดตั้งศพพี่สาวได้ เก๋จึงไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินจัดการงานศพ แต่เธอไม่สามารถเบิกเงินได้เพราะไม่ใช่เจ้าของบัญชี เว้นแต่จะมีคำสั่งศาล ซึ่งเธอก็หมดปัญญาจ้างทนายเด็กสาวจำต้องขายจักรเย็บผ้า สมบัติชิ้นเดียวของพี่สาว เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีศพ หลังพิธีผ่านพ้น เก๋ตัดสินใจโกนหัวบวชชีให้พ่อแม่และพี่สาวเพื่อทดแทนคุณ และเป็นการขอขมาลาโทษที่โกหกพี่สาวก่อนตายว่า ตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จนทุกวันนี้เด็กสาวยังบวชเป็นชี เธอมักถามตัวเองว่า การที่พี่สาวผู้อาภัพ ผู้ซึ่งไม่เคยได้รับความสุขใดๆในชีวิต แม้ก่อนตายยังถูกน้องสาวโกหก เพียงเพื่อให้ได้รับความสุขลวงๆ นั้นนะ..ถูกหรือผิด ? |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |