ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

...เหงา... : นายแพทย์เชวง เดชะไกศยะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=28671
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 15 ม.ค. 2010, 15:19 ]
หัวข้อกระทู้:  ...เหงา... : นายแพทย์เชวง เดชะไกศยะ

รูปภาพ

เหงา

โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์เชวง เดชะไกศยะ


ความเหงาเป็นอย่างไร
คงไม่ต้องบอกกระมัง ทุกท่านคงรู้ดีแล้ว เด็กหนุ่มสาวก็เหงา คนชราก็เหงา
บางครั้งเหงาจนตาย สุนัขเหงาจนตายไม่ยอมกินข้าว เพราะเจ้าของจากไป
ความเหงาจึงฆ่าคนได้อย่างไม่น่าสงสัย
ฆ่าอย่างเลือดเย็นที่สุด เพราะค่อย ๆ ฆ่าใจของคนไปวันละเล็กละน้อย
เหมือนต้นไม้ขาดน้ำค่อย ๆ เฉาแล้วก็ตายไป บางครั้งก็ทรมานเสียสิ้นดี
เมื่อเหงาแล้วความเบื่อ ความกลุ้ม เซ็งก็ตามมามีความรู้สึกซึมเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง
เมื่อใจเสียรูปกายก็เสียตามไปด้วย
โรคทางกายสารพัดโรค โรคประสาท โรคจิตประสาทก็จะตามมาอย่างแน่นอน
ต้องพาตัวเองไปหาจิตแพทย์แล้วก็ได้ยามา
หมอก็บอกว่าให้ปรับเปลี่ยนอารมณ์เสียบ้าง เปลี่ยนงาน เปลี่ยนอารมณ์
เมื่อยาหมดก็ไปรับยามากินใหม่ บางครั้งโรคก็เพิ่มขึ้น อาการของโรคก็เพิ่มขึ้น
มีอาการซึมเศร้าอาจมีอาการคลุ้มคลั่งสลับฉากกันไป
และกลับเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวกลายเป็นโรคจิตที่ถาวรมากขึ้น
พ้นภาวะวิสัยที่คลินิกของแพทย์จะทำการรักษาได้ต้องเข้าไปอยู่ รพ.โรคจิต
การรักษาก็ยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นต้องดูแลและเพิ่มภาระระมัดระวังรักษามากขึ้นไปอีก


คนเดียวต้องเป็นภาระเพิ่มทุกข์ให้แก่คนอื่นอีกหลายคน
เพราะขาดการดูแลรักษาต้นเหตุตั้งแต่แรกว่า
เหตุเพราะความหลงความรู้จักตัวเอง
เป็นเหตุให้เกิดความต้องการความปรารถนาสูงขึ้นในจิตใจ
ต้องการให้ผู้อื่นมาต้องการตัวเรามากขึ้น
มารักเรานั่นเองสรุปก็คือต้องการความรักจากบุคคลที่ตัวเองต้องการให้มารัก
เมื่อต้องสูญเสียความรัก ความรู้ ความสามารถที่ตัวเคยมีอยู่นั้นหมดไป
และไม่มีสิ่งใหม่ ๆ มาทดแทน
การสูญเสียแห่งความรักทั้งหลายดังกล่าวนั่นเองจึงเป็นโรคขาดรัก
กลุ่มอาการของความเหงา เบื่อ กลุ้ม ท้อแท้ ซึมเศร้าจึงตามมา
เพราะความต้องการให้เขามารักตัวเป็นเหตุที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจ
แต่ตัวเองไม่รู้เพราะความหลง (โมหะ)
ปิดบังจิตใจอยู่จึงเป็นเหตุให้ความต้องการ
ความปรารถนาอย่างนี้เกิดขึ้น จึงขาดรักและมีอาการต่าง ๆ ดังกล่าวเกิดขึ้น


ถ้าเราไม่ต้องการให้คนอื่นมารักเราแล้ว เราคงไม่ขาดรักเป็นแน่
ดังนั้นการที่เราต้องการให้ผู้อื่นมารักเรา เอาใจเรา ตามใจเรา
จึงเป็นเหตุที่สำคัญ คือตัวตัณหานั่นเอง
ซึ่งรู้ได้ยากเพราะถูกปกคลุมปิดบังไว้ด้วยโมหะคือ ความหลง
ถ้าไม่ได้คำสอนขององค์พระบรมศาสดาแล้วก็ไม่มีใครที่จะรู้ได้
และละทำลายให้เบาบางลงและหมดไปได้ในที่สุด
ดังนั้นความต้องการให้เขามารักจึงเป็นต้น
เหตุให้เกิดความเหงา เบื่อ กลุ้ม ซึมเศร้า หงอยเหงา
คนเราจึงต้องแสวงหาอารมณ์ใหม่ ๆ มาทดแทนอารมณ์เก่าอยู่เสมอ
จึงควรทำความเข้าใจและความรู้สึกด้วยการถามใจตัวของเราเองอยู่เสมอว่า
เราต้องการให้ผู้อื่นมารักเรามาสนใจเราใช่ไหม
หัดถามตัวเองบ่อย ๆ เข้า สติปัญญาจะเกิดขึ้น ความต้องการความพอใจจะลดลง
ความหงุดหงิด ความวิตกกังวลตลอดจนความเหงาก็จะลดน้อยลงและหมดไปได้ในที่สุด



ในทางโลก แก้ความเหงา ความซึมเศร้าด้วยการออกกำลังให้พอควร เหมาะสมกับอายุ
เช่น เดินเร็ว ๆ วันละ ๒๐ – ๓๐ นาทีหรืออ่านหนังสือที่ชอบ
และให้เป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาเพื่อชีวิตฟัง ดนตรีและการขับร้อง เป็นต้น
ให้พอเหมาะพอดีแต่ไม่ต้องยึดติดกับเสียงเพลงนั้น ๆ
พอใจก็ให้รู้ว่าพอใจ ถ้าอยากจะฟังต่อไปเรื่อย ๆ
ก็ให้รู้ว่ากำลังอยากกำลังต้องการมากขึ้นคือมีสติคอยกำกับอยู่เสมอ
ก็จะเป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียด ความฟุ้งซ่าน วิตกกังวล ความเหงา
เบื่อให้น้อยลงไปได้อย่างแน่นอน



ในทางธรรม ต้องพยายามขวนขวายหาอารมณ์ให้กุศลจิตเกิดขึ้น
ด้วยการนึกถึงบุญกุศลที่ได้ทำไปแล้ว
นึกถึงความดีที่ได้เคยทำและควรจะต้องทำต่อไปให้ดียิ่งขึ้นอีก
ความไม่ดีที่เคยทำมาก็จะลดน้อยลงไปเอง
พยายามหาอารมณ์ของบุญยกิริยาวัตถุ (ทาน ศีล ภาวนา) มาเป็นอารมณ์
คือ นึกคิดและทำลงไปเพื่อให้จิตเป็นกุศลและมีกำลังอานุภาพยิ่งขึ้น
แล้วจิตใจที่มีคุณลักษณะที่ดีมีพลังก็จะเกิดขึ้นสม่ำเสมอ
ด้วยการนึกคิดและกระทำแต่ความดี (กุศลกรรม)
เป็นการยกจิตและปรุงแต่งจิตของเราเองด้วยสติปัญญาจะทำให้จิตมีคุณภาพสูงขึ้น
มีสติปัญญาแหลมคมขึ้นเรื่อย ๆ เราจะรู้ได้เองว่า เดี๋ยวนี้เราไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เคยเปราะบางเหลือเกินเมื่อรับกระทบแม้เพียงเสียง
บางครั้งอาจทนไม่ได้แต่เดี๋ยวนี้สบายมากเพราะมีความแข็งแกร่งขึ้น
และแกล้วกล้าในการทำความดี ความกลัว
ความโกรธ เกลียดก็น้อยลงจนเห็นได้ชัดเจน


เราเคยเพ่งโทษติเตียนผู้อื่นอยู่เสมอก็น้อยลง
จะเพ่งเล็งแต่ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ควรมิควรในเรื่องราวต่าง ๆ
ตลอดจนบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยมีสติสัมปชัญญะอันควรแก่งานและสติปัญญานี้
จะเกิดขึ้นในจิต คอยดูแลจิตไม่ให้ตกไปอยู่ในความเร่าร้อนหม่นไหม้
หรือความเหงา ความฟุ้งซ่าน วิตกกังวลได้
ความทุกข์ก็จะคลายออก ความเบากายสบายใจจะปรากฏขึ้น
มีชีวิตชีวาแจ่มใส นี่คือคุณค่าของชีวิตที่ยากจะพบ
แล้วความเหงาจะมาฆ่าเราได้อย่างไร คงไม่ได้แน่นอน



ฝึกจิตปรับความคิดเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทำเดี๋ยวนี้อย่าปล่อยเวลาให้เสียไป
แล้วก็ให้มันแล้วไปไม่ต้องคิดถึงอดีตที่ไม่ดี ลืมเสียเถิดอภัยให้กับเขาเสียเถิด
และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านไปไม่ต้องอาลัยอาวรณ์
เขาไม่ทิ้งเรา ๆ ก็ต้องทิ้งเขาไปวันยังค่ำ
ทิ้งร่างที่ไร้วิญญาณไว้ให้แก่กันต้องช่วยเผาร่าให้เสียอีก
เขาไม่เผาเรา ๆ ก็ต้องเผาร่างของเขาเพราะเป็นหน้าที่
และความอาลัยอาวรณ์ที่เราจะต้องรับก็ยอมรับเสีย
เข้าใจเสียให้ดีตั้งแต่บัดนี้ แล้วชีวิตจะเป็นสุขขึ้น แจ่มใส สบายกายสบายใจขึ้น


ชีวิตเราจะยืนยาวต่อไปอีกเพียงไม่กี่วันหรอก
ที่เราจะได้เห็นโลกที่สดใสสวยงาม เพราะพรุ่งนี้ก็ไม่แน่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หรือไม่
ดังนั้นความสำคัญของชีวิตจึงมิได้อยู่ที่เวลาของชีวิตที่ยืนยาวออกไป
แต่อยู่ตรงที่ว่าเราควรจะทำอย่างไรกับชีวิตที่ยืนยาวออกไปนั้น
ให้มีชีวิตชีวาต่างหาก นี่คือคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง



ที่มา...ชมรมอนุรักษ์ธรรม

:b48: :b8: :b48:

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 15 ม.ค. 2010, 20:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เหงา...

:b8: :b8: :b8:

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับคุณลูกโป่ง

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  เจ้านาง [ 16 ม.ค. 2010, 01:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เหงา...

:b27: :b27: :b27: :b27: :b27:

เจ้าของ:  Supatorn [ 16 ส.ค. 2011, 10:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เหงา...

:b8: :b8: :b8:

onion onion onion

เจ้าของ:  ศิษย์หลวงปู่ทา [ 29 มี.ค. 2015, 20:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เหงา...

rolleyes :b4:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/