ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
~+~ร้อย8 พัน9~+~ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=26365 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 13:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 14:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีทำให้ความจำดีขึ้นมาบอก... 1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆ สาวๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ 2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ขึ้น 3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุด คือ จดทุกอย่างลงในกระดาษเขียนไว้กันลืม 4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆ ก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม 5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆ เข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆ เข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เราคุ้นเคย 6. ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่เด็ก 7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆ หรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน 8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคย 9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ.. การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น จะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ 10. เลียนแบบ ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆ ก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด 11. เอาใจใส่ เคยจำชื่อใครสักคนไม่ได้บ้างหรือเปล่า ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆ นั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น 12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้ 13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย 14. ลองทำสิ่งใหม่ๆ จะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ 15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า ถ้าใครอยากมีความจำที่ดีขึ้น ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 14:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() การทักคนผิดนั้น ถือเป็นที่หลาย ๆ คนเจอกันได้บ่อย ๆ แถมยังสามารถเกิดกันได้กับทุกคนด้วย เพราะบางครั้งคนเราก็มีลักษณะท่าทาง บุคลิกที่คล้ายคลึงกัน จนอาจจะทำให้เราจำสับสนได้ แต่ล่าสุดได้มีงานวิจัยออกมาว่า หากเราอยากที่จะจดจำใบหน้าของใครให้ได้แม่นยำนั้น ให้ดูที่ดวงตา โดยคณะนักวิจัยได้ศึกษาด้วยการวิเคราะห์ใบหน้าของผู้ชายและผู้หญิง จำนวนฝ่ายละ 868 คน ได้พบว่า ข้อมูลสำคัญลักษณะของใบหน้า จากดวงตา นั้นมากกว่าจากปากและจมูก เป็นการส่อให้เห็นว่ากลไกจดจำใบหน้าของสมอง จะถนัดกับการจ้องดูที่ตามากกว่าที่แห่งอื่น ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นการเสริมประโยชน์ของดวงตาที่นอกจากจะเป็นหน้าต่างของหัวใจแล้ว ยังช่วยให้เราได้จดจำคนอื่น ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 14:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() ![]() - ปิดตาทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ปิดตาอาบน้ำ ปิดตาดูทีวี เพื่อเปลี่ยนความเคยชินในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสเดิม ๆ เช่น เมื่อเราปิดตาดูทีวี แทนที่จะ"มองเห็น" เราก็จะ "ฟัง" และกระตุ้นความคิดว่า เรากำลังดูรายการอะไร หรือพิธีกรซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนี้คือใคร - ปิดไฟในห้องแล้วใช้มือคลำ เพื่อกระตุ้นประสาทในส่วน "สัมผัส" เชื่อมโยงกับความจำว่าสวิตซ์ไฟหรือสิ่งของภายในห้องอยู่ตรงไหน - สลับกับกิจกรรมที่เคยทำตั้งแต่ตื่นนอน จากที่เคยอาบน้ำก่อนกินข้าว ก็เปลี่ยนเป็นกินข้าวก่อนอาบน้ำ (แต่จะแปรงฟันก่อนก็ได้) เนื่องจากสมองจะใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนที่ทำกิจกรรมเดิม ๆ ซึ่งเคยชิน ![]() - หากเปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์หน่อยนะคะ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น - หากคุณต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง เส้นทางใหม่ที่ทราบอยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้าง แผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง - เปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน ![]() - เปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงานโดยเฉพาะถังขยะ เพราะความเคยชินจากการรู้ว่าจะหยิบจับอะไรตรงไหน ทำให้สมองเราทำงานน้อยลง พิสูจน์ได้จากเมื่อคุณย้ายตำแหน่งถังขยะในช่วงแรก ๆ คุณก็ยังทิ้งขยะลงที่เดิมซึ่งไม่ลงถังแล้ว นั่นเป็นเพราะสมองเคยชิน - พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น - ชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ ลองฝึกดูนะคะ ค่อย ๆ ทำวันละเล็ก วันละน้อย ก็สามารถจะยืดอายุสมองของคุณให้แข็งแรงนานขึ้นค่ะ ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 14:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() บุหรี่ขึ้นราคา อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักกลืนควันอยากจะเลิกบุหรี่เพื่อลดค่าใช้จ่าย การเลิกบุหรี่สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งหมอ คอลัมน์ Health Focus นิตยสาร "Health Today Thailand" ฉบับ พ.ค.อ้างอิงจากคำแนะนำของ ศ.น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ และ ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ดังนี้ การที่จะเลิกบุหรี่ อย่าเพิ่งเอาแต่คิด ต้องลงมือเลิก หาเหตุผลหรือแรงจูงใจในการเลิกให้ได้โดยกำหนดวันเลิก เช่น วันไม่สูบบุหรี่โลก วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน วันเกิดลูก ให้ทิ้งบุหรี่และอุปกรณ์การสูบบุหรี่ทั้งหมด บอกคนใกล้ชิดว่าจะเลิกสูบบุหรี่เพื่อคนใกล้ชิดจะได้ให้กำลังใจ เช้าวันที่เลิกสูบ ทำใจให้สบาย ดื่มน้ำผลไม้ หากอยากบุหรี่ให้ดื่มน้ำหรือล้างหน้า หลังกินข้าวให้ลุกจากโต๊ะอาหารเลย ถ้านั่งอยู่จะเคยชินกับการต้องหยิบบุหรี่มาสูบ ถ้าทนถึงเย็นได้ให้เริ่มโปรแกรมออกกำลังกายในเย็นนั้น ถ้าไม่เหนื่อยให้วิ่งเหยาะๆ 30-40 นาที การออกกำลังจะทำให้ร่างกายคลายเครียด อยากบุหรี่น้อยลง ทั้งยังทำให้เพลียจึงหลับสบาย ใครไม่สะดวกในเวลาเย็น ออกกำลังกายตอนเช้าก็ได้ ควรงดการไปเที่ยวเตร่ เช่น ตามสถานเริงรมย์ หรือเข้าไปในบริเวณที่มีคนสูบบุหรี่มากๆ เมื่ออยากสูบบุหรี่ให้กินมะนาวแทน โดยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือพอคำ อมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นขม เฝื่อน แล้วดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนเป็นขมจนไม่อยากสูบบุหรี่ สามารถกินมะนาวหรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมากๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่ หากผ่านวันแรกไปได้ วันที่สอง สาม ก็ให้ปฏิญาณเหมือนเดิม บอกตัวเองตลอดเวลาว่าเราต้องทำได้ ยิ่งหลายวันผ่านไป ความอยากบุหรี่จะยิ่งน้อยลง โอกาสเลิกสูบบุหรี่จะยิ่งมีมากขึ้น หลังหนึ่งอาทิตย์ คุณจะรู้สึกสบายมากขึ้น หายใจโล่งขึ้น ความอยากบุหรี่จะน้อยลงๆ คนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายแล้ว ก็ควรออกกำลังกายต่อไป อาจจะเปลี่ยนจากนิโคตินมาเป็นติดการออกกำลังกายแทน ถ้าทำได้เช่นนี้ จะเป็นกำไรสองต่อ ส่วนคนที่ทำทุกวิธีด้วยตัวเองแล้วแต่ยังเลิกไม่ได้ อาจต้องเลือกวิธีใช้ยาเข้าช่วย ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เท่านั้น ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() บ้านไหนที่ต้องการตัดแต่งต้นไม้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการตัดแต่งต้นไม้มาฝาก... การตัดแต่งต้นไม้ คือ การตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกเพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ และการตัดแต่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับไม้ต้นและไม้พุ่ม สิ่งที่ควรตัดเป็นสิ่งแรกของการตัดแต่ง - กิ่งที่แห้งตาย - กิ่งที่อ่อนแอ ฉีกขาด - กิ่งที่เป็นโรค - กิ่งที่เจริญผิดปกติ - กิ่งที่แทงเข้าภายในพุ่มต้น การตัดกิ่งเหล่านี้ จะทำให้ทรงพุ่งโปร่ง แสงสว่าง ลม จะพัดผ่านเข้าไปในทรงพุ่มได้สะดวก กรณีไม้ยืนต้น การตัดแต่งจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโต ช่วยเพิ่มผลผลิต ส่วนไม้พุ่มจะทำให้รูปทรงพุ่มต้นสมดุล การตัดแต่งไม้พุ่มจะเริ่มตั้งแต่การเด็ดยอด เพื่อให้ไม้พุ่มแตกตาข้าง ทำให้การเจริญเติบโตทางยอดลดลง หลังจากนั้นอาจจะมีการขลิบ แต่ง ลิดใบและยอดที่แทงออกมาจากทรงพุ่ม กรณีที่ทรงพุ่มแน่นเกิดไปควรจะตัดแต่งกิ่งออกบ้าง โดยตัดให้ชิดพื้นดิน ส่วนไม้พุ่มที่แทงหน่อออกมาจะต้องตัดให้ลึกลงไปใต้ระดับดิน ส่วนไม้พุ่มที่ต้องการให้มีการเจริญเติบโตใหม่ เนื่องจากมีอายุมาก ให้ตัดส่วนของไม้นั้น เหลือเพียงหนึ่งในสามของความสูงเดิม ดูแลรักษาให้เจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งไม้พุ่มให้เล็กลง จะช่วยให้มีการแตกกิ่งยอดใหม่ ทําให้ไม้พุ่มนั้นมีดอกมากขึ้น การตัดแต่งแต่ละครั้ง ควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ เครื่องมือจะต้องคมและใช้ให้ถูกต้อง นอกจากน ี้หากรอยแผลที่ถูกตัดแต่งมีขนาดใหญ่จะต้องใช้ยาทาแผล เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปทำลาย รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปตัดแต่งต้นไม้กันดูได้ ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() คนที่ขาย ชาเขียว ชาอูหลง เตรียมเฮได้แล้ว เพราะมีข้อมูลการศึกษาล่าสุดที่ทำในประทเศไต้หวันพบว่าคนที่ดื่มทั้ง ชาเขียว และ ชาอูหลง มีแน้วโน้มมี ความดันโลหิต ลดลงเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่ม อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า โรคความดันโลหิตสูง เป็นอาการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมาย เช่น โรคหัวใจ อาการเส้นเลือดแตกในสมอง แต่จากการศึกษาที่ทำโดยผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ Cheng Kung ในเมือง Tainan ประเทศไต้หวัน พบว่าคนที่ดื่ม ชาเขียว หรือ ชาอูหลง จะมีแน้วโน้มมีความดันโลหิตที่ลดต่ำกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม ได้มีการค้นพบว่าสารต่างๆ มากมายกว่า 4,000 ชนิดที่มีอยู่ในน้ำ ชา รวมทั้งสารฟลาโวนอยด์จะช่วยป้องกันการเกิดหัวใจล้มเหลว อาการเส้นเลือดแตกในสมอง และอาการไตวาย ทั้งนี้การศึกษานี้ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร The Archives of Internal Medicine โดย Yi-Ching Yang ซึ่งวารสารดังกล่าวเป็นวารสารที่มีชื่อเสียงที่แพทย์ทั่วโลกต่างให้การยอมรับ การศึกษานี้ได้ทำการทดลองในอาสาสมัครกว่า 1,500 คนที่ไม่เคยมีอาการของโรคความดันโลหิตสูง ให้ดื่มน้ำ ชา 120-599 ซีซีต่อวัน (4-20 ออนซ์ต่อวัน) เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี พบว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ โรคความดันโลหิตสูง ได้ถึง 46% เมื่อเทียวกับคนที่ไม่ได้ดื่ม ชา นอกจากนี้การศึกษานี้ยังระบุอีกว่า หากดื่ม ชา มากกว่า 600 ซีซีต่อวัน ก็จะสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ โรคความดันโลหิตสูง ได้ถึง 65% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่ม ชา ในจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองพบว่า 40% ของผู้ร่วมการทดลองเป็นที่ดื่ม ชา เป็นประจำ และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นชายที่อายุยังไม่มาก ส่วนใหญ่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และรับประทานอาหารพวกพืชผักน้อย ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() การได้ยืดเส้นยืดสายจะช่วยเรียกพลังกลับคืนมา หากอ่อนล้าไม่อยากทำงานต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากจิตใจหรือร่างกาย เคยสังเกตุมั้ยว่าบางครั้งคุณจะกระตือรือร้นในการทำงานเหมือนมีไฟคุโชนอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งก็เฉื่อยชาไม่อยากไปทำงานเหมือนไฟที่มอดดับ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทุกคนมีพลังที่ซ่อนอยู่ เพียงแต่คุณต้องค้นหาให้เจอแล้วขับเคลื่อนมันออกมาใช้ พลังซ่อนอยู่ในตัวคุณ คุณอาจงงก็ได้ว่า เอ๊ะ ในตัวฉันนี่มีพลังซ่อนอยู่ด้วยหรือ เพราะบางวันคุณอาจทำงานจนเหนื่อยล้า อ่อนแรงจนเหมือนมีอายุสักร้อยปีก็ไม่ปาน แต่ถ้าคุณรู้แหล่งที่หลบซ่อนพลังในตัวคุณละก็ มันจะช่วยคุณได้มากทีเดียว พลังชี่ติดขัด เมื่อพลังชี่ไม่ลื่นไหล มันจะทำให้คุณเฉื่อยชา ไม่อยากแม้แต่จะเดิน ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น จะโทรศัพท์ถึงเพื่อนสนิทก็ยังขี้เกียจ หากเป็นอย่างนี้บ่อยๆ การทำงานคงสะดุดแน่ คุณจึงจำเป็นต้องหาเชื้อเพลิิงมาเพ่ิมพลังให้แก่ตัวเอง ร่างกายหรือจิตใจ...ตัวเจ้าปัญหา เราต้องค้นหาความจริงว่าอะไรที่ขโมยพลังไปจากตัวเรา ขาดธาตุเหล็ก หากร่างกายได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไป (มีในถั่วชนิดต่างๆ เนื้อสัตว์ ฯลฯ) นานวันเข้าคุณอาจย่ำแย่ คุณควรไปรับการตรวจเลือดกับแพทย์ซึ่งหากคุณขาดธาตุเหล็กแพทย์จะสั่งธาตุเหล็กให้คุณกิน (ไม่ควรซื้อกินเอง) ขาดการออกกำลังกาย เนื่องจากพลังมาจากกล้ามเนื้อมากกว่าไขมันที่สะสมตามร่างกาย แต่เมื่อคุณรู้สึกอ่อนเปลี้ย ก็ลองจ้อกกิ้งเบาๆ ดูบ้าง อาจเดินออกกำลังกายหรือเดินเล่นก็ได้ เพราะผู้ที่มีกล้ามเนื้อเหมือนมนุษย์เหล็กมักมีพลังที่แข็งแกร่ง สมอง...ขโมยพลัง เมื่อปฎิบัติตามสองข้อดังกล่าวแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดจากสมองที่ขโมยพลังไป เช่น มีงานมากและมีชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนทำให้เหนื่อยเพลีย อย่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้เพราะคนทีรู้สึกเหนื่อยเพลียก็จะไม่มีพลังที่จะสู้กับแรงกดดันรอบตัว พลังลื่นไหล...เมื่อมีความสมดุล เมื่อมีความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจก็จะไม่เครียดกับงานที่ประเดประดังเข้ามา คุณจะจัดการกับมันได้อย่างไม่ระย่อและสนุกกับงานที่ทำโดยการแบ่งเวลาให้ลงตัวและคิดในแง่บวก มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงานและในวันหยุด พลัง...สร้างได้ด้วยตัวเอง นักวิจัยสมองชาวเยอรมัน ศจ.เกราลด์ ฮูเทอร์ กล่าวว่า หากคนเรามีความสมดุลย์ก็จะให้ความรู้สึกที่มีความสุข มีความสนุกสนานกับชีิวิต เรียนรู้ง่าย มีขอบเขตในการใช้ชีิวิตที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป ก็จะมีชิีวิตที่มั่นคงแข็งแรงซึ่งเปรียบเสมือนปราการที่ป้องกันคุณไม่ให้เครียด ไม่ตื่นตระหนกง่ายกับส่ิงกดดันรอบตัว พลังภายใน...อยู่ที่สมอง พลังที่สะสมในตัวคุณเปรียบเสมือนพลังแสงอาทิตย์ซึ่งมันจะทำงานได้ดีเมื่ออากาศปลอดโปร่งแจ่มใส แต่มันขึ้นอยู่กับว่า คุณมีแสงอาทิตย์เพียงพอในสมองและในจิตใจหรือไม่ นักจิตวิทยากล่าวว่า สมองคือนักขโมยพลังงาน เช่น คุณอาจติดว่า "ฉันรู้สึกเหนื่อย ฉันจัดการกับชีิวิตไม่ลงตัว" เมื่อมีความคิดเช่นนี้ก็จะทำให้คุณจัดการกับความเครียดไม่ได้ ที่สำคัญคือปัญหาด้านจิตใจมักเป็นตัวขัดขวางพลัง พลัง..สร้างได้ด้วยการนั่งสมาธิ แพทย์ชาวอเมริกัน ศจ. โจน คาบัท-ซิน (Jon Kabat-Zinn) แนะนำให้ฝึกสมาธิเพื่อเพ่ิมพลัง อาจนั่งสมาธิหรือเดินจงกลมเพื่อให้เรามีสมาธิกับร่างกายและพัฒนาจิตใจตัวเอง จะช่วยลดความเครียด สัญญาณป่วย บางครั้งการขาดพลังและมีความรู้สึกเหนื่อยเพลียอาจเป็นสัญญาณของโรคจากร่างกาย และเมื่อคุณฟื้นฟูพลังให้ตัวเองไม่ได้ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือด เพราะบางทีอาจมีปัญหากับต่อมธัยรอยด์ เช่น คอหอยพอก หรือต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() ทราบหรือไม่ว่าวันเกิดของเรานั้นมีพรรณไม้มงคลอะไรบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก... ![]() ![]() ![]() ![]() พลูด่าง วาสนา บอนสี ว่านหางจรเข้ โกสน ไผ่ เป็นไม้มงคลประจำวันเกิด ![]() ![]() กุหลาบ แก้ว ผกากรอง เข็ม อัญชัน กุหลาบ เป็นไม้มงคลประจำวันเกิด ![]() ใครได้ไม้มงคลชนิดไหนไปก็หมั่นไปทำบุญวันเกิดกันบ้างนะคะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() การศึกษาใน เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) หรือ ADHD จำนวน 48 ราย ของออสเตรเลีย พบ ว่าการฝึกสมาธิแบบสหจาโยคะทำให้อาการรุนแรงลดลงโดยเฉลี่ย 35% ตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ของการฝึก และยังช่วยลดการใช้ยาของผู้ป่วยจำนวนมากลง ผู้นำร่วมในการศึกษาครั้งนี้ ดร.มโนชา ราเมศ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ชำนาญทั่วไปแห่งโรงพยาบาลซิดนีย์ กล่าวต่อที่ประชุมสมาคมจิตเวชศาสตร์โลก ณ เมืองเมลเบิร์น ถึงพัฒนาการด้านความประพฤติ ความเคารพในตนเอง (Self-esteem) และสัมพันธภาพที่เกิดขึ้น เด็กๆ บอกว่าพวกเขานอนหลับได้ดีขึ้น และมีความกังวลลดลงเมื่ออยู่บ้าน ขณะที่ความขัดแย้งก็ลดลง และสมาธิในการเรียนก็ดีขึ้นเมื่ออยู่โรงเรียน ทำให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง มีความสุขไม่เครียดเหมือนที่ผ่านมา และยังสามารถจัดการกับพฤติกรรมของเด็กๆ ได้ดีกว่าที่เคยเป็น การทดลองซึ่งมีขึ้นที่โรงพยาบาลมงกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ (The prince of Wales Hospital เมืองแรนด์วิค (Randwick) ได้สอนเทคนิคให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่เข้ารับการรักษาโรค ADHD ด้วยยา โดยเทคนิคที่ใช้คือ เทคนิคการหลับตามองเห็น (Visualization) การใช้เพลงและธรรมชาติบวกกับการฝึก และการแนะนำแบบตัวต่อตัว ซึ่งการฝึกมีขึ้นสองช่วงใน 6 สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลและฝึกสมาธิอีก 2 ครั้งต่อวันต่อที่บ้าน โดยในขณะฝึกจะจุ่มเท้าลงในน้ำเกลือเย็น จากการฝึกพบว่ามีพัฒนาการของอาการดีขึ้นถึง 35% ซึ่งนับว่ามีนัยสำคัญมาก ดร.มโนชา กล่าวว่า “6 รายในนั้นสามารถหยุดใช้ยาลง และมีพฤติกรรมกลับมาเป็นปกติอีก 12 รายลดการใช้ยาลงได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนกลุ่มอื่นที่เหลือสามารถลดการใช้ยาลงได้ประมาณ 1 ใน 4” ผลสะท้อนกลับจากเด็กเป็นสิ่งที่ดีสุด เช่น คำกล่าวที่ว่า “ฉันรู้ตัวฉันเองเสมอในสิ่งที่ฉันกำลังกระทำ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี และทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมมันได้แล้ว, เป็นต้น ดร.มโนชา กล่าวว่า “การฝึกสมาธิทำให้คนสามารถเข้าสู่ภวังค์ได้ โดยทั่วไปเด็กสามารถฝึกสมาธิได้โดยธรรม พวกเขาจะคิดในเวลาเพียงชั่วครู่ เด็กที่เป็น ADHD จะไม่มีความสนใจในสิ่งต่างๆ สมาธิของเขาจะสั้น แต่การฝึกสมาธิเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม เพราะจะมุ่งไปที่การใส่ใจ ความสงบ และการควบคุมสิ่งเร้า นี่เป็นการสอนซ้ำให้เด็กรำลึกถึงทักษะที่พวกเขาลืม และสูญเสียความสามารถทางธรรมชาติในการทำสมาธิ เพราะบางสิ่งบางอย่างในสภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาขาดความสมดุลไป นี่เป็นเครื่องมือที่สามารถนำพาพวกเขาให้กลับคืนมาสู่สภาพปกติได้” ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() เพลงกล่อมเด็ก คือ เพลงที่ร้องเพื่อกล่อมให้เด็กเล็กๆเกิดความเพลิดเพลินและอบอุ่นใจจะได้หลับง่ายและหลับสบาย ลักษณะสำคัญ เป็นบทร้อยกรองสั้นๆ มีคำคล้องจองต่อเนื่องกันไป มีฉันทลักษณ์ไม่แน่นอน ใช้คำง่ายๆสั้นหรือยาวก็ได้ มีจังหวะในการร้องและทำนองที่เรียบง่าย สนุกสนาน จดจำได้ง่าย จุดมุ่งหมายของเพลงกล่อมเด็ก ชักชวนให้เด็กนอนหลับ เนื้อความแสดงถึงความรัก ความห่วงใย ความหวงแหนของแม่ที่มีต่อลูก เพลงกล่อมเด็ก เป็นเพลงที่มีเนื้อความสั้น ๆ ร้องง่าย ชาวบ้านในอดีตมักร้องกันได้ เนื่องจากได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เกิด คือได้ฟังพ่อแม่ร้องกล่อมตนเอง น้อง หลาน ฯลฯ เมื่อมีลูกก็มักร้องกล่อมลูก จึงเป็นเพลงที่ร้องกันได้เป็นส่วนมาก เราจึงพบว่าเพลงกล่อมเด็กมีอยู่ทุกภูมิภาคของไทย และเป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทย ซึ่งหากศึกษาจะพบว่า 1.เพลงกล่อมเด็กมีหน้าที่กล่อมให้เด็กหลับโดยตรง ดังนั้นจึงเป็นเพลงที่มีทำนองฟังสบาย แสดงความรักใคร่ห่วงใยของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก 2.เพลงกล่อมเด็กมีหน้าที่แอบแฝงหลายประการ อาทิ -การสอนภาษา เพื่อให้เด็กออกเสียงต่าง ๆ ได้โดยการหัดเลียนเสียง และออกเสียงต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น -ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ได้แก่ เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ การดำเนินชีวิต การทำมาหากินของสังคมตนเอง การสร้างค่านิยมต่าง ๆ รวมทั้งการระบายอารมณ์และความในใจของผู้ร้อง นอกจากนี้พบว่า ส่วนมากแล้วเพลงกล่อมเด็ก มักมีใจความแสดงถึงความรักใคร่ห่วงใยลูก ซึ่งความรักและความห่วงใยนี้ แสดงออกมาในรูปของการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเก็บเด็กไว้ใกล้ตัว บทเพลงกล่อมเด็กจึงเป็นบทเพลงที่แสดงอารมณ์ ความรักความผูกพันระหว่างแม่-ลูก ซึ่งแต่ละบทมักแสดงถึงความรักความอาทร ทะนุถนอม ที่แม่มีต่อลูกอย่างซาบ ----------------------------------------------------------------------------------------- นกเขาขัน นกเขาเอย ขันแต่เช้าไปจนเย็น ขันไปให้ดังแม่จะฟังเสียงเล่น เนื้อเย็นเจ้าคนเดียวเอย ----------------------------------------------------------------------------------------- กาเหว่า กาเหว่าเอย ไข่ให้แม่กาฟัก แม่กาหลงรัก คิดว่าลูกในอุทร คาบข้าวมาเผื่อ คาบเหยื่อมาป้อน ปีกหางเจ้ายังอ่อน สอนร่อนสอนบิน แม่กาพาไปกิน ที่ปากน้ำแม่คงคา ตีนเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซ้หาปลา กินกุ้งกินกั้ง กินหอยกระพังแมงดา กินแล้วบินมา จับต้นหว้าโพธิทอง นายพรานเห็นเข้า เยี่ยมเยี่ยมมองมอง ยกปืนขึ้นส่อง หมายจ้องแม่กาดำ ตัวหนึ่งว่าจะต้ม ตัวหนึ่งว่าจะยำ แม่กาตาดำ แสนระกำใจเอย ---------------------------------------------------------------------------------------- วัดโบสถ์ วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีต้นข้าวโพดสาลี ลูกเขยตกยาก แม่ยายก็พรากเอาตัวหนี ข้าวโพดสาลี ต่อแต่นี้จะโรยรา --------------------------------------------------------------------------- นอนไปเถิด นอนไปเถิดแม่จะกล่อม นวลละม่อมแม่จะไกว ทองคำแม่อย่าร่ำไห้ สายสุดใจเจ้าแม่เอย --------------------------------------------------------------------------- เจ้าเนื้อละมุน เจ้าเนื้อละมุนเอย เจ้าเนื้ออุ่นเหมือนสำลี แม่มิให้ผู้ใดต้อง เนื้อเจ้าจะหมองศรี ทองดีเจ้าคนเดียวเอย ---------------------------------------------------------------------------- เจ้าเนื้ออ่อน เจ้าเนื้ออ่อนเอย อ้อนแม่จะกินนม แม่จะอุ้มเจ้าออกชม กินนมแล้วนอนเปลเอย ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() สุดยอดของอาหารชาร์ตพลังมันสมองต้องยกให้เนื้อปลา และต้องเป็นเนื้อปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลคู่ เช่น โอเมก้า-3 จากการศึกษาโดยการเลี้ยงทารกด้วยนมเสริมกรดไขมันโอเมก้า-3 พบว่า ทารกมีระดับไอคิวตอนอายุ 7 ขวบสูงกว่าทารกกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับนมเสริมกรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองและดวงตาของทารกในครรภ์ ทั้งอาจช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ขณะเดียวกัน โอเมก้า-3 จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ใหญ่ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และอาจป้องกันข้อต่ออักเสบ หรือผิวหนังเรื้อรังบางชนิด ดังนั้นควรรับประทานปลาไขมันสูงให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง หรือมากกว่านั้น แม้การรับประทานน้ำมันในเนื้อปลาจะเอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่น้ำมันในตับปลาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สารอาหารอีกกลุ่มสำหรับผู้ที่ต้องการคิดไว คิดเร็ว ก็คือโพแทสเซียม ( ในผลไม้ประเภทส้ม ผักวอเตอร์เครส เมล็ดทานตะวัน กล้วย และมันฝรั่ง ) สังกะสี ( ในเนื้อแกะ จมูกข้าวสาลี เมล็ดฟักทอง และไข่ ) และ กรดอะมิโน Phenylaialinine ( พบในผลิตภัณฑ์อาหารจากถั่วเหลือง ชีส และอัลมอนด์ ) และควรรับประทานผักควบคู่กับผลไม้บ่อย ๆ จะช่วยให้สมองได้รับ ออกซิเจนอย่างเพียงพอ ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน สำหรับผู้ที่เครียดกับงานประจำ ควรใส่ใจกับการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี เนื่องจากความเครียดมีผลให้ระยะเวลาที่อาหารอยู่ในร่างกายสั้นลง ร่างกายดูดซึมวิตามินบีได้น้อย และคุณอาจต้องรับประทานวิตามินเสริม ซึ่งการวิจัยของ Wendy Snowden นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ พบว่า การรับประทานวิตามินเสริมอาจช่วยให้ขบวนการทางความคิดทำงนว่องไวขึ้น อาหารบำรุงสมอง ก๋วยเตี๋ยวธัญพืชผัดเนยถั่ว อาหารที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด อุดมด้วยวิตามินบี สำคัญ ๆ โดยเฉพาะวิตามินบี 1 ที่ช่วยให้เกิดสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() ผู้เชี่ยวชาญเตือนแทนที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง แต่แปรงสีฟันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าที่คิด ในหนังสือเล่มใหม่ ‘เหตุใดแปรงสีฟันจึงอาจฆ่าคุณได้?' เจมส์ ซอง นักเคมีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ระบุว่าแปรงสีฟันที่ใช้งานนานเกินไป ถือเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายในครัวเรือน และว่าปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง อาจเกี่ยวพันกับแปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัย ตามทฤษฎีของซองนั้น ดูเหมือนแบคทีเรียจำนวนมากจะซุกซ่อนอยู่ในแปรงสีฟัน และแบคทีเรียเหล่านี้เดินทางเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้โดยตรงผ่านรอยแผลเล็กๆ ที่เหงือก แบคทีเรียเหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับการอุดตันของเส้นเลือด แนวคิดนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ พบว่าแปรงสีฟันทั่วๆ ไปเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรคประมาณ 10 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงแบคทีเรียอันตรายอย่าง staphylococci, streptococcus, E. coli และ candida ขณะเดียวกัน สมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษ (บีดีเอ) สำทับว่าอันตรายยิ่งร้ายแรงขึ้นหากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น ดร. ทาเร็ก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ขานรับว่ามีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ, บี และซีในแปรงสีฟัน และสปอร์ของไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่รอดได้นานหลายเดือน นอกจากนั้น แปรงสีฟันเปียกชื้นยังเป็นแหล่งกบดานสมบูรณ์แบบของแบคทีเรียร้ายหลายชนิด “เกือบจะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากที่แปรงสีฟันถือเป็นวัตถุอันตรายในบ้าน เราไม่ควรทิ้งแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำแล้วใช้แล้วใช้อีกโดยไม่ล้างให้สะอาดเสียก่อน” ไอดริสเสริม นอกจากนั้น หลายคนยังทิ้งแปรงสีฟันไว้ในแก้วเดียวกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันหากแปรงสีฟันสัมผัสกัน ความเสี่ยงที่แบคทีเรียในช่องปากจะเข้าสู่กระแสเลือดถูกตอกย้ำจากงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเชื้อแบคทีเรีย porphy-romonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์ ปรากฏอยู่ในเส้นเลือดที่อุดตันรุนแรง การศึกษาของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่าแบคทีเรียในช่องปากของอาสาสมัครที่เป็นโรคหัวใจ ไปปรากฏอยู่ในหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกัน แบคทีเรียนี้ยังเกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด และการที่ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ ไอดริสเสริมว่า การสะสมของแบคทีเรียร้ายในระบบเลือด อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเขาเชื่อว่า ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจต้องฆ่าเชื้อแปรงสีฟันกันเป็นประจำ หรือใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้ง ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น ขอคำแนะนำเรื่องการแปรงฟันจากทันตแพทย์ งดใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง เนื่องจากจะทำให้เหงือกเป็นแผล และกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด และหาปลอกใส่แปรงสีฟันหากต้องเก็บไว้ในห้องน้ำ เป็นต้น ![]() |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 17 ต.ค. 2009, 15:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
![]() (มาได้ไงเนี่ย??!!) จับผิด 19 คำโกหก หน้าตายของผู้ชาย 1. "ชีวิตนี้ผมจะไม่ขอรักใครอีกนอกจากคุณ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 90 คน) ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว 2. "เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน) แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ ฟังดูก้ออาจจะเป็นไปได้แหะ 3. "เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน) เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้านเหตุการณืที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้ 4. "ผมไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน) ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหล่ะ 5. "สิ่งที่ผมทำลงไป ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 78 คน) ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผูหญิงคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้ 6. "ก้อผมเป็นของผมหยั่งงี้มานานแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 79 คน) เค้าพูดเพื่อให้เธอยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง 7. "ให้อภัยผมเถอะ ผมจะไม่ได้ทำอีกแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน) ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และเธอเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ 8. "ไม่รักผมไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้รับเธอก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน) แค่เธอแสดงให้เห็นว่ายังไงเธอก้อไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาเธออีกก้อนใหญ่ 9. "คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 88 คน) เค้าอาจจะถวิลหาเธอจริงๆแต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตายเหมือนเธอเป็นยาเสพย์ติดของเค้าขนาดนั้น 10. "ทำไม ผมเลวจนเธอไม่ไว้ใจได้เลยหรอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 71 คน) เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเค้าในทุกกรณี เค้าจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรค ความคิดของเธอ 11. "ขอนอนกอดเฉยๆก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 89 คน) และ 89 คนนั้นหมายถึงการกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น แต่จะพุ่งพรวดถึง 95 คนทันที ในการกอดครั้งต่อไป 12. “ผมรักนะเลยอยากให้เธอเป็นของผม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน) เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย รักแล้วไม่หน้าด้านขออะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง 13. “เธอคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน) ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้หญิงมากิ๊ก แล้วเขาจะปฏิเสธเจ้าหล่อนเป็นแค่เพื่อน 14. ”ผู้หญิงคนนั้นเค้ามาชอบผมเอง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน) ฟังแล้วน่าภูมิใจที่พ่อตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ “ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง” 15. “เพื่อนมันลากผมไป ผมอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน) ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน 16. “ผมไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน) คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า 17. “ไม่มีทางที่ผมจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน) ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้ชายจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งว่า”เฮ้ย กรูน่ะไม่เคยเห็นหญิงสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว” 18. “มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 64 คน) แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนบ่อมมีความลับของตัวเองบ้าง และผู้ชายไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน 19. “ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ผมยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน) มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม ลองดูเอานะคะว่าผู้ชายที่คุณคบอยู่เป็นยังไง แต่ ในโลกนี้คิดว่ามันคงจะสูญพันธุ์ไปนานแล้วหล่ะค่ะ |
เจ้าของ: | bbb [ 30 ต.ค. 2009, 13:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ~+~ร้อย8 พัน9~+~ |
อนุโมทนาครับ ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |