วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 10:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ
อมตเถระผู้มีอายุยืนนานถึง ๑๒๘ ปี
วัดเขาถ้ำบุญนาค
ต.เขาถ้ำบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์



ตอนที่ ๑
สมัยเด็ก อาชีพเป็นพรานป่า


หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ มีอุบายธรรมเป็นเลิศ แก่กล้าด้วยญาณรู้ ผู้เรืองเวทย์วิทยา อาคมแก่กล้าชานหมากสุดวิเศษ ตระกรุดมหาอุด แคล้วคลาดจากภยันตรายนานับประการ สายสิญจน์ สิงห์ เศษจีวรยอดเยี่ยม พระผงครอบจักรวาล อายุยืน อมตะยากจักหาในปัจจุบัน

สิ่งเหล่านี้จะเห็นได้จากสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เศษผ้าถูพื้นของท่านก็แทบไม่มีเหลือ น้ำล้างเท้าของท่านผู้คนก็ยื้อแย่ง ทั้งพวกชานหมากของท่านก็ไม่มีตกค้าง แม้แต่ไม้จิ้มเขี้ยว (ไม่แคะฟันของท่าน) ลูกศิษย์ก็พากันเก็บจนหมดสิ้น และที่หาได้ยากยิ่ง ก็คือ "พระผงรุ่นอายุยืนรุ่นพิเศษ ที่มีเกศาจีวร"

วัตถุมงคลของหลวงปู่ทุกอย่าง รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่หลวงปู่จับถือ ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของดีของวิเศษ เป็นสิ่งมงคล เป็นโชคลาภของผู้ที่ได้นำไปบูชา ตลอดจนข้อธรรมของหลวงปู่ก็ลึกซึ้ง หลวงปู่มีลูกศิษย์ที่ชาวพุทธให้การเคารพยกย่องกราบไหว้ด้วยกันหลายองค์ อาทิ เช่น หลวงปู่แหวน สุจินโน วัดดอยแม่ปั๋งเชียงใหม่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี หลวงพ่อเจริญ วัดผักไห่ อยุธยา หลวงพ่อทบ วัดชนแดนเพชรบูรณ์ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ตาคลี นครสวรรค์ อาจารย์สมบูรณ์ วัดเขาถ้ำบุญนาค ตาคลี นครสวรรค์ อาจารย์สุพจน์ (เจ๊ก) ฉนฺชาโต วัดเขาถ้ำ อาจารย์รักษ์ พิษณุโลก พระอาจารย์ประเทือง พุทธธมฺโม เขาถ้ำบุญนาคปัจจุบันจำพรรษาอยู่ที่วัดสัมปทานนอก ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ...ฯลฯ

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่าน ชาตะ เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๒ แรม ๔ ค่ำเดือน ๕ ปีระกา เวลา ๑๗.๔๕ น. ราศีกันย์ เทษาตรีฤกษ์ หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่าน มรณะภาพ เมื่อวันพุทธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราข ๒๕๒๐ ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๔ ปีมะเส็ง

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านชาตะในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์จักรี และท่านมรณะลงในสมัยรัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี ท่านเป็นพระภิกษุที่มีอายุยืนนานถึง ๗ รัชกาล

ผมได้นำวันเกิดที่ได้จากหลานของท่าน ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ จังหวัดสุรินทร์ นำมาให้ อาจารย์เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์ นักพยากรณ์เอกแห่งยุค (เป็นพยากรณ์ลงหนังสือธัมมวิโมกข์ประจำปีวัดท่าซุง ต่อจากพระอรุณ ซึ่งเป็นบิดาที่มรภาพ หลวงพ่อฤาษีดำยอมรับ ผมแทรกข้อมูลส่วนครับ) ท่านได้ตรวจตามหลักโหราศาตร์ สิบลัคณา ปรากฏว่า วัน เวลา ปีแห่งการกำเนิดของท่านเป็นไปตามคุณลักษณะวิเศษต่างๆ ครบถ้วนทุกประการ

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเกิดที่บ้านหนองฮะ ตำบลหนองฮะ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์

โยมพ่อของหลวงปู่สี ชื่อ ผา (เซียงผา) ต่อมาใช้นามสกุล ดำริห์ โยมแม่ชื่ ข้อล่อ (ภาษาถิ่น) มีน้องทั้งหมด ๖ คน หลวงปู่สีท่านเป็นคนโต

คนที่ ๑ เป็นหญิงชื่อ หัว ถึงแก่กรรมไปแล้วในวัยชรา

คนที่ ๒ เป็นหญิงชื่อ ลุย หรือ มะโล เป็นแม่ของ อาจารย์ก๋อม (บุญมี) อายุ ๘๖ ปี (แม่มะโล มีลูกทั้งหมด ๑๐ คน เหลืออาจารย์ก่อมคนเดียวนอกนั้นตายหมด)

คนที่ ๓ เป็นหญิงชื่อ เภา เป็นโยมแม่ของ ครูบาอินทร์ (มรภาพแล้ว) ญาคูอินทร์ หรือครูบาอินทร์ ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดอีสานหมกเต๋า และวัดหนองลุมพุก ที่หลวงปู่สีท่านเคยจำพรรษา(กำลังจัดทำครับ)

คนที่ ๔ เป็นหญิงชื่อ ล่อน (แปลว่าเกลี้ยง) ภายหลังอพยพครอบไปอยู่บ้านหนองเหมือนแอ่ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (จังหวัดหนองบัวลำภูปัจจุบัน) ซึ่งเป็นแม่ของ อาจารย์บุญมี บุตรดี ผู้มีฐานะดีใจบุญ

คนที่ ๕ ชื่อ อิ่ม ดำริห์ ภายหลังอพยพไปอยู่กับ อา (น้องพ่อ) หนองแค จังหวัดสระบุรี

คนที่ ๖ เป็นหญิง ชื่อ อิ๋ง ถึงแก่กรรม ที่บ้านหมกเต่า ตำบลเบิด รัตนบุรี ยังบ้านป่า บ้านดง การเดินทางไปมาก็แสนยากลำบากกันดารนัก โดยพ่อของหลวงปู่ พ่อเซียงผา และแม่ข้อล่อ จึงได้ตกลงใจอพยพครอบไปหาที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าที่อยู่เดิม

ทั้งหมดจึงอพยพย้ายเดินทางไปอยู่บ้านยาง (อีเมิน) ตำบลธาตุ แต่ยังอยู่ในเขตอำเภอรัตนบุรี ซึ่งอยู่หางจากท่าน้ำบ้านกล้วยห้วยทับทันราว ๒-๔ กิโลเมตร ในเขตใกล้เคียงที่จะย้ายไปอยู่ใหม่นั้นเป็นพื้นที่มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ในเขตใกล้เคียงก็มีหนองยาง หนองน้ำเกลี้ยง ห้วยทับทันจึงนับว่าเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ณ บริเวณทุ่งบ้านยาง เป็นพื้นที่ราบลุ่มกว้างไกล พื้นที่ท้องนา และลำเนาป่าอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ

พ่อเซียงผา และแม่ข้อล่อ จึงพาลูกๆ ซึ่งมีหลวงปู่เมื่อตอนเด็กๆ เดินทางมากับพ่อแม่ในครั้งนั้น พอเดินทางมาถึง "บ้านหมกเต่า" หรือเรียกว่า "บะฮี" ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหนองยางไม่มากนัก แต่เดิมนั้นพ่อเชียงผามีจุดประสงค์จะพาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านยาง แต่เมื่อเดินทางมาถึงบ้านหมกเต่า ได้ยินคนแถวนั้นที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ก่อน เล่าให้ฟังว่า ทางที่ไปสู่บ้านยางต้องผ่านลำน้ำที่ชุกชุมไปด้วยปลิงมากมาย แม้แต่วัวควายทั้งตัวยังถูกปลิงรุมเกาะกินดูดเลือดถึงตายได้...พ่อเชียงผา และแม่ข้อล่อ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ประกอบกับลูกเต้าที่อพยพย้ายมาก็ยังเล็กอยู่ เกรงว่าจะได้รับอันตรายในการเดินทางต่อไป จึงตัดสินใจสร้างที่พักตั้งเรือนสร้างครอบครัวอยู่ที่บ้านหมกเต่า ซึ่งอยู่คนละฟากกับ ดงปู่ตาดง หรือ บ้านดงเจ้าปู่ กับบ้านบะฮี ตำบลเบิด อำเภอรัตนบุรี

ครอบครัวหลวงปู่ จึงตั้งรกรากขึ้นที่บ้านหมกเต่า อยู่ไม่ห่างไกลจากแหล่งน้ำนัก ท่าน้ำบ้านน้ำดำห้วยทับทัน ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นป่าสงวน "สวนรัตนธรรม" ซึ่งมีสำนักสงฆ์มัสสะวิรัติ

ครั้งกระโน้นบ้านบะฮี หรือที่เรียกกันว่าหมกเต่า ยังเป็นป่ารกชัฏ หรือที่เรียกว่าเป็นป่าดงดิบมีเนื้อที่กว้างไกลหลายพันไร่ ในละแวกใกล้เคียงมีบ้านดงเจ้าปู่ (ดงอีปู่) ดงบังกึ๊ก ดงบักเกว และดงกลาง เป็นป่าดงดิบไปจนจรดน้ำคำ ดงห้วยทับทัน ดงบ้านกล้วย บ้านยาง และต่อเนื่องไปสู่ดงใหญ่ บ้านเบิด บ้านธาตุ บ้านม่วงหมาก ในยุคนั้นป่าแถบนี้ล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด มีทั้งเสื้อโคร่ง เสือลายพาดกลอนขนาด ๘ ศอกตัวใหญ่เท่าม้า เสือดาว เสือดำ หมูป่า ละมั่ง หมี ช้าง ลิง ค่าง ชนี กระต่าย กระแต อีเก้ง งูเห่า งูเหลือม งูจงอาง ไม้ป่า กล้วยไม้ที่สวยงาม นับว่าเป็นดงดิบที่ความอุดมสมบูรณ์มากมายไปด้วยทรัพยากร

อาชีพผู้คนในป่าดงดิบในขณะนั้นก็คือ อาชีพพรานป่า ทุกชีวิตจะต้องมีความกล้าหาญและอดทน การใช้ชีวิตคือการหาของป่าและสัตว์ป่ามาซือขายแลกเปลี่ยน ยังชีพไปตามสภาพชีวิตบ้านป่า ครับถ้าใครไม่เคยอยู่ป่า ไม่เคยเข้าป่า อ่านพบ ฟังดูก็ไม่สู้จะมีความลึกซึ้งเท่าใดนัก แต่ถ้าหากเคยอยู่ก็จะทราบทันที ชีวิตป่าในยามราตรีกาลนั้นเงียบสงัด มืดทะมึน สั่นคลอนความรู้สึกอย่างประหลาด ยิ่งสำหรับชีวิตผู้ที่เพิ่งจะเริ่มย่างกลายเข้าไปสัมผัสรับรู้ใหม่ ยิ่งมีความหวาดกลัววาบหวิวในความสงัดแห่งราตรีกาล...

ป่าในยุคก่อนๆ ยุคที่พ่อเซียงผา โยมพ่อของหลวงปู่พาครอบครัวยกย้ายมาตั้งรกรากที่บ้านหมกเต่านั้น ในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมานั้น ป่ายุคนั้นยังเป็นป่าไม้ที่มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นสง่าทมึน คงยังรกชัฏ สัตว์ป่ายังท่องเที่ยวอยู่ทั่วไปคึกคักในป่านั้น น้ำท่าบริบูรณ์ ลำห้อยลำธารน้ำซับ (ตาน้ำที่เกิดขึ้นมีอยู่ทั่วไป) ซึ่งทำให้พวกที่อยู่ในป่าไม่ขาดน้ำ...

...เด็กชายลี ใช้ชีวิตตั้งแต่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นไอของป่า ได้ติดตามพ่อเซียงผาพรานใหญ่เข้าป่าล่าสัตว์ เพื่อนำมาเป็นอาหาร และเป็นสินค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นข้าวของหยูกยา เสื้อผ้าเครื่องใช่ไม้สวย จวบจนเด็กชายลีอายุ ๑๑ ปี พ.ศ. ๒๔๐๒ จศ.๑๒๒๑ พ่อเชียงผาได้พาเด็กชายลี ไปกราบพระธุดงค์ ซึ่งเคยเป็นสหายเก่าของพ่อเซียงผา ผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม ใช้ชีวิตเพศสมณะถือธุดงค์ผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม เมื่อพรานใหญ่พาเด็กชายลีไปกราบ พระอาจารย์อินทร์ พอเห็นลักษณะเด็กชายลี ก็เพ่งพิจารณาเห็นหน่วยก้านดี มีลักษณะดี ก็เอ่ยถามขึ้นว่า "ลูกชายคุณโยมหรือ" พรายใหญ่เซียงผาก็ตอบว่า ใช่ พระอาจารย์ก็กล่าวขึ้นว่า "คุณโยม อาตมาขอเด็กนี่ได้ไหม? เพราะเขาน่าจะได้ศึกษาเรียนรู้ มากกว่าจะใช้ชีวิตเป้นพรานอยู่ในป่า เพราะลักษณะเป้นคนมีบุญวาสนา อาตมาขอเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูให้โยมให้โยมเองอย่าได้เป็นห่วง"

พ่อเชียงผาใหญ่แห่งป่าเมืองสุรินทร์ เมื่อสหายรักซึ่งขณะนี้เป็นพระนักปฏิบัติผู้เคร่งครัดในพระวินัย ขอลูกชายตน ก็มองเห็นว่าอนาคตลูกชายจะไปไกลกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่กับตนในป่า และครอบครัวก็มีภาระมาก มีลูกหลายคน จึงได้ยกลูกชายให้พระอาจารย์อินทร์ สหายรักเลี้ยงดูแทนตน

เด็กชายลี กลับบ้านพร้อมพ่อเซียงผา มากราบลาแม่ข้อล่อ และน้องๆ ออกเดินทางติดตามพระอาจารย์อินทร์ เดินธุดงค์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ หรือเรียกว่า กรุงสยาม ในครั้งกระนั้น

ในสมัยกว่าร้อยปีโน้นการเดินทางจากสุรินทร์มาสู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เป็นของง่ายเฉกเช่นในยุคปัจจุบันนี้ (๒,๔๐๐-๒,๕๔๐) การธุดงค์แสวงหาวิเวกนั้น ครูบาอาจารย์แต่เดิมมาท่านไม่ให้ติดที่อันเป็นสัปปายะให้ไปในหนทางที่ยากลำบาก จึงจะถึงแก่นแท้แห่งชีวิต การเดินทางบุกป่าฝ่าดง จะต่อสู้กับความลำบากนานัปประการ ความเหน็ดเหนื่อย อากาศที่ไม่คงที่ ธรรมชาติของป่าดงและขุนเขา ไข้ป่า และสัตว์ร้ายหลากหลาย

เสียงเท้าย่ำอยู่ในป่าของศิษย์และพระอาจารย์ผ่านไปจากวัน สัปดาห์ และเดือน ผ่านป่าต่อป่า ต่อเขตแดนของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด สิ่งต่างๆ ของวันเวลาถูกสั่งสั่งสมให้บังเกิดสัจธรรมแห่งชีวิต

ป่ายังเงียบวังเวงราวกับปราศจากสิ่งมีชีวิต ความร้อนระอุของแดดยามบ่ายขับเหงื่อออกมาอย่างชุ่มโชก บางครั้งมันก็ไหลเข้าไปในเบ้าตา แสบเหมือนหยอดด้วยน้ำเกลือ เด็กชายลีไม่กล้าเลื่อนมือขึ้นมาลูบหน้า ไม่กล้าแม้กระทั่งขยับตัว ซึ่งเริ่มทวีความทรมานขึ้นทุกขณะ ด้วยเกรงว่าสัตว์ร้ายมันจะกระโจนเข้ามาทำร้าย ณ ในขณะที่เผชิญหน้ากับ เจ้าเสือร้ายลายพาดกลอนตัวมหึมา ที่ยืนขวางจ้องอยู่ข้างหน้า ในระยะที่ไม่ห่างไกลนัก ทั้งที่เคยออกป่าล่าสัตว์ติดตามพ่อเซียงผา มาก็นับไม่ถ้วย แต่ก็ไม่เคยที่ต้องมาอึ้งตะลึงมิกล้าขยับตัวอย่างเฉกเช่นขณะนี้ เห็นแต่พระอาจารย์อินทร์ ท่านยืนนิ่งสงบอย่างปกติมิได้หวาดกลัว แต่ได้ยินแต่เสียงท่านบริกรรมอย่างแผ่วเบา...และสายตาของเจ้าเสือร้ายที่จ้องมองมายังพระอาจารย์ ทำให้เสมือนหนึ่งตกอยู่ในภวังค์ บัดดลเจ้าเสือลายพาดกลอนมันก็หลบตา และค่อยๆ หันตัวเดินกลับเข้าสู่ป่าทึบอย่างอาการสงบ

ทุกสิ่งก็คืนสู่สภาพปกติ วินาทีที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและทุกข์ทรมานได้ผ่านชีวิตของเด้กชายลีไปอีกครั้งหนึ่ง เด็กชายลี (หลวงปู่สี) ท่านติดตามอาจารย์อินทร์เดินธุดงค์จากป่าจังหวัดสุรินทร์ ผ่านป่าดงดิบมากมาย ได้ศึกษาสรรพสิ่งต่างๆ โดยรอบตัวมาตลอด และได้รับการสั่งสอนอบรมจากพระอาจารย์ซึ่งเป็นสหายของพ่อเซียงผาด้วยความเมตตาโดยตลอด ได้รับการศึกษาธรรมมากหลากหลาย สรรพสิ่งในการพานพบล้วนเป็นข้อธรรมทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




a4ad3da6e24490a79a89ac9d595b91ee.jpg
a4ad3da6e24490a79a89ac9d595b91ee.jpg [ 13.62 KiB | เปิดดู 21760 ครั้ง ]
ตอนที่ ๒
ถวายตัวเป็นศิษย์และบวชเณร กับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)


พระอาจารย์อินทร์ ท่านได้พาศิษย์รักเด็กชายลี รอนแรมธุดงค์จากป่าลึกดงดิบสุรินทร์จบจนบรรลุถึงเมืองเขตสยาม อันเป็นจุดหมายที่พระอาจารย์อินทร์ ต้องการธุดงค์มาเยี่ยมสหธัมมิกของท่านที่เมืองกรุง ทุกครั้งที่ท่านมากรุงเทพฯ พระอาจารย์อินทร์ะมาพักที่วัดสลัก (วัดมหาธาตุ) หรือไม่ก็วัดระฆังฯ ที่วัดสลัก หรือ วัดมหาธาตุ ปัจจุบัน จะมีพระทางภาคอีสานมาจำพรรษาอยู่ ท่านเป็นพระปฏิบัติทางภาคอีสานท่านจึงมีพระสหธัมมิกอยู่หลายองค์

ส่วนที่วัดระฆังนั้น พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความสนิทสนมกับขรัวโต (พระธรรมกิตติ) หรือสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ในกาลต่อมา

พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับขรัวโต เมื่อคราวที่ขรัวโตท่านไปศึกษาวิปัสสนาธุระ กับ พระอาจารย์แสง วัดชลมณีขันธ์ ที่ลพบุรี ในยุค พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระองค์ส่งเสริมวิปัสสนา แต่สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นก็คือ สำนักของอาจารย์แสง ลพบุรี พระอาจารย์แสงเป้นพระเชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมาก

ณ ที่นี้จะขอแทรกคำอธิบายถึง "ท่านพระอาจารย์แสง" ไว้โดยสังเขป...

"ที่กล่าวเล่าลือกัน ในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ที่เลื่องลือในอภินิหาร จนถึงกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ตอนคราวเสด็จไปประพาสมณฑลอยุธยา ในปีขาล พ.ศ. ๒๔๒๑ ได้เสด็จมาถึง วัดมณีชลขันธ์ จังหวัดลพบุรี ทรงพระราชนิพนธ์รับสั่งถึงขรัวแสงไว้ว่า "ขรัวแสง คนทั้งปวงนับถือกันว่าเป็นผู้มีวิชา เดินตั้งแต่เมืองลพบุรี เช้าลงไปฉันเพลที่กรุงเทพฯ ได้เป็นคนกว้างขวาง เจ้านายขุนางรู้จักมาก ได้สร้างพระเจดีย์สูงไว้องค์หนึ่งที่วัดมณีชลขันธ์ ตัวไม่ได้อยู่ที่วัดนี้หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรราแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์องค์นี้ก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วย ราษฎรที่นับถือพากันเรี่ยไรส่งอิฐปูน และพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจำทำไว้แล้วเสร็จตลอดไป หรือทิ้งให้ผู้อื่นช่วยเมื่อตายแล้วไม่ได้ถามดูของเธอก็ดีอยู่"

บางท่านอ่านข้อความในตอนที่ยกมานี้นั้นเข้าใจกันว่า ท่านเป็นพระอาจารย์ในยุคสมัยรัฐกาลที่ ๕ แต่ความจริงแล้ว พระอาจารย์แสง หรือขรัวแสงนั้นท่านเป็นพระอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งในปลายสัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่เสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๒ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยท่านส่งเสริมวิปัสสนาธุระมาก

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ฟื้นฟูทำนุบำรุงวิทยาการวิปัสสนาธุระ พระองค์โปรดให้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิปัสสนาทั้งในกรุง และทุกหัวเมืองทั้งเหนือ ใต้ อีสาน มารับพระราชทานบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่ตั้ง พระอาจารย์บอกกรรมฐาน

ในยุคสมัยนั้นศิษย์พระอาจารย์แสงที่มีชื่อเสียงโดดเด่น ก็ไม่มีใครเกินท่านเจ้าคุณสมเด็จโต เล่ากันว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีความเชี่ยวชาญในทางวิปัสสนาธุระมาก...หลังจากนั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคต

ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยุ่หัว มีความดำริห์ในพระราชหฤทัย ที่จะทรงแต่งตั้งให้ท่านเจ้าประคุณสมเด้จฯ เป็นพระราชาคณะ จึงได้รับสั่งให้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานแต่งตั้งให้เป้นพระราชาคณะ แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ได้ทรงทูลขอตัวไม่รับพระราชทานสมณศักดิ์ และได้ออกเดินทางไปธุดงค์ในจังหวัดต่างๆ จนถึงกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เลยไปถึงเมืองเขมร ซึ่งขณะนั้นเขมรยังเป็นเมืองขึ้นของไทยอยู่ เพื่อหนีการแต่งตั้งในครั้งนี้ ขรัวโตท่านจึงมีความสนิทสนมกับพระอาจารย์อินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเด็กชายลี (หลวงปู่สี)

เมื่อรัชกาลที่ ๓ สวรรคต ปี ๒๓๙๔ รัชสมัยรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ ท่านเจ้าประคุรสมเด็จฯ ได้เดินทางเข้าในประเทศแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบข่าวเกีรติประวัติในคุณธรรมของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงทรงมีรับสั่งนิมนต์ให้เข้าเฝ้า และมีรับสั่งแต่งตั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป้นพระราชาคณะที่ "พระธรรมกิตติ" เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ (เวลานั้นท่านมีอายุ ๖๕ ปีแล้ว)...

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทูลลา และออกจากพระบรมมหาราชวังไป หอบเครื่องไทยทานคือ พัดยศ และย่ามพะรุงพะรัง ใครจะช่วยถือท่านก็ไม่ยอมท่าเดียว พอถึงวัดระฆังฯ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ได้บอกกล่าวกับชาวบ้าน และพระเณรว่า "ในหลวง ท่านให้ฉันมาเป็นสมภารวัดระฆังฯ จ๊ะ" ท่านเจ้าประคุณสมเด้จก็ขึ้นกุฏิ

ครั้นต่อมาอีก ๒ ปี ถึงปีขาล พ.ศ. ๒๓๙๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งให้เลื่อนสมณศักดิ์ "พระธรรมกิตติ" ขึ้นเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ว่าที่ "พระเทพกวี"

พุทธศักราช ๒๔๐๓ ตรงกับ จศ. ๑๒๒๒ พระอาจารย์อินทร์ พระสหมิกธรรมสายวิปัสสนากรรมฐาน กับสมเด็จฯ ซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นที่ "พระเทพกวี" เมื่อท่านมาพำนักที่สำนักวัดสลัด วัดมหาธาตุ ในระยะหนึ่ง ก็พาเด้กชายลีศิษย์รักข้ามฟากไปวัดระฆังฯ พาไปกราบ พระเทพกวี (ขรัวโต) เมื่อพระเทพกวีเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ได้พบพระอาจารย์อินทร์สหมิกธรรม เมื่อครั้งเป็นศิษย์พระอาจารย์แสง ลพบุรี ด้วยกัน และได้พระอาจารย์อินทร์เป็นนำทางดินธุดงค์สู่ประเทศเขมร และป่าดงดิบ ดินแดนแถวเขมร และดินแดนทางภาคอีสาน ขรัวโตกับพระอาจารย์อินทร์ จึงมีความสนิทสนมกันมาก เมื่อได้พบกันก็ดีใจ พระอาจารย์อินจึงให้ลูกศิษย์คือเด็กชายลี เข้าไปกราบพระเทพกวี (ขรัวโต)

ครับ หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ เด็กจากบ้านป่า จังหวัดสุรินทร์ มีวาสนาได้เดินทางเข้ากรุง และได้มีโอกาสได้กราบ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ "พระเทพกวี" เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ด้วยพระอาจารย์ของท่านที่นำพามาเป็นพระสหมิกธรรมกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดระฆัง ฝั่งธนบุรี (พระเทพกวี) พอเห็นลักษณะรูปร่างของเด็กชายลี ที่พระอาจารย์อินทร์ สหมิกธรรมของท่านเดินทางมาไกลมาจากจังหวัดสุรินทร์ นำมาฝากไว้ให้เป็นศิษย์ของท่าน ก็ยินดีนักด้วยลักษณะของเด็กชายลีถูกชะตาท่านนัก จึงได้รับเด็กชายลีไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๐๓ เป็นต้นมา

เด็กชายลี ลูกชายพรานใหญ่ของพ่อเซียงผา ชาวรัตนะจังหวัดสุรินทร์ จึงอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าพระคุณพระเทพกวี เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พระเทพกวี ได้ให้ความเมตตาต่อเด็กชายลี ด้วยเป็นผู้ที่มีความอดทน ขยัน สนใจในข้อธรรม จึงอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาอักขระขอมไทย จนแตกฉาน กอปร์ไปด้วยเด็กชายลี มีพื้นฐานทางด้านการปฏิบัติธรรมมาดี จากพระอาจารย์อินทร์ ที่ท่านได้ถ่ายทอดความรู้ในด้านการปฏิบัติธรรมให้เป็นพื้นฐาน ตั้งแต่เด้กชายลีติดตามท่านเดินทางมาจากจังหวัดสุรินทร์ นานนับปี

เด็กชายลี จึงเข้าใจในข้อธรรม มีดวงจิตนิสัยในการปฏิบัติธรรม เมื่อได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันไป ก็เป็นดั่งสายน้ำไหลอารมณ์แนบแน่นเป็นเอกัคคตา...ด้วยความอดทนขยัน หมั่นเพียรอย่างไม่ย่อท้อต่อการเรียนรู้จึงทำให้พระเทพกวีท่านโปรดนัก อบรมสั่งสอน ถ่านทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้เด็กชายลีได้ล่วงรู้ นอกจากการสอนให้รู้หนังสือ อักขระ ขอมไทย และการชี้แนะอุบายธรรมให้เจริญสมถภาวนา และวิปัสสนา...(ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานสมณศักดิ์ให้ ท่านเจ้าพระคุณพระเทพกวีก้ได้เลื่อนขึ้นเป็น "สมเด็จพุฒาจารย์" ปี พ.ศ. ๒๔๐๗)...

ณ ในกาลนั้น วัดระฆังฯ หนาแน่นไปด้วยฝูงชน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหาท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ต่างมาร่วมฉลองที่สมเด็จพระเทพกวี...ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น "สมเด็จพุฒาจารย์ฯ" ณ วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร

ณ ในงานนี้นั้น มีการบวชพระ บวชเณร ๑๐๘ รูป พร้อมด้วยบวชชีพราหมณ์อีกมากมาย เหล่าคณะศิษย์สมเด็จโตได้ร่วมใจกันจัด

ในงานนี้เด็กชายลี ไปปลงผมบวชเป็นเณรด้วยเช่นกัน โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งเป็นพระอาจารย์เป็นอุปัชฌาจารย์ให้ จึงนับได้ว่า สามเณรลี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดระฆังฯ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๐๗ จ.ศ. ๑๒๒๖ อายุสามเณรในตอนนั้น ๑๕ ปี

เมื่อบวชเณรแล้ว ก็ยังรับใช้ใกล้ชิดเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และได้รับการถ่ายทอดวิชาอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดเวลาที่อยู่รับใช้สนองงานเจ้าประคุณสมเด็จฯ นอกจากจะเรียนรู้อักขระขอมไทย ยังร่ำเรียนการทำผง "ปถมัง" ซึ่งเป็นปฐมบท หรือเรียกว่าพระสูตรพระเจ้า ๕ พระองค์ "นะ โม พุท ธา ยะ" ต่อจากนั้นก็เรียกผลจากธาตุสี่ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ

๑.อิทธิเจ ธาตุไฟ

๒. ฆะเฏสิ ธาตุดิน

๓. ตรีสิงเห ธาตุน้ำ

๔. มหาพุทธา ธาตุลม

หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า สูตรนารายณ์สี่กร (นะ มะ พะ ทะ )

รวมวิชาในการเรียนรู้ทำผงวิเศษให้เกิดขึ้นในโลก ๗ ประการคือ

ปัถมัง ปฐมบท สูตรพระเจ้า ๕ พระองค์ อันมี นะ โม พุท ธา ยะ

อิทธิเจ เรียกสูตรธาตุไฟ
ฆะเกสิ เรียกสูตรธาตุดิน
ตรีสิงเห เรียกสูตรธาตุน้ำ
มหาพุทธา เรียกสูตรธาตุลม
มหาราชปิโยมหาราช มหาพุทธา

ทั้งหมดที่กล่าวมาในเบื้องต้นนี้ เป็นพระสูตรในการทำผงวิเศษ ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านนำมาผสมสร้างพระเครื่องที่ทรงคุณวิศิษ ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

นอกจากผงวิศิษที่เกิดขึ้นจากอำนาจแห่งมนต์วิศิษในการรวบรวมธาตุทั้ง ๔ ของโลกแล้ว ยังประกอบไปด้วยผลมวลบุปผาชาติที่มีคุณค่าอันวิศิษและผงว่านยาต่างๆ อีกมามาย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ก้ถ่ายทอดให้ศิษย์ ให้ได้เรียนรู้จนสิ้น สามเณรลีได้ใช้ความเพียรจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระอาจารย์สมเด็จโต ท่านสอนไว้อย่างเช่น ผงเกษร ๑๐๘ ชนิดอันมีชื่อดังนี้ ฯลฯ...นอกจากเกษรดอกไม้นานาพรรณแล้ว ๑๐๘ แล้ว ยังมีว่าน ๑๐๘ ชนิด ฯลฯ... (รายละเอียดส่วนนี้มีมากขอข้ามไป)

นับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของสามเณรลี (หลวงปู่สี) ท่านได้พบครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐเป็นยอดนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีความรอบรู้ศาสตร์ต่างๆ มากมาย และเป้นผู้สร้างผู้เนรมิตพระสมเด็จที่มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายไปทั่ว จนได้รับสมญานามว่า "เป็นราชาแห่งพระเครื่อง" สูงด้วยคุณค่านานัปการ เป็นที่เล่าขานสืบทอดต่อกันมาเป็นร้อยๆ ปี ตราบปัจจุบันก็มีการกล่าวขานกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนใฝ่หากันอย่างคลั่งไคล้ต่างก้แยกได้ไว้เป็นเจ้าของ

พระสมเด็จฯ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์จนเป็นพระเครื่องยอดนิยมอันดับหนึ่งนั้น สืบเนื่องมาจากมวลสารที่ประกอบด้วยผงพุทะคุณ หรือผงวิศิษ คือผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช และผงตรีสิงเห ซึ่งเกิดจากการเขียนสูตรและยันต์อักขระแล้วลบให้เกิดผลอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ซึ่งต้องนำมาเสกโดยบทนมัสการ เขียนแล้วลบๆ เสกๆ วันแล้ววันเล่าจนมากพอที่ใช้ผสมเป้นผงพุทะคุร สำหรับสร้างพระเครื่อง...หลวงปู่สี หรือสามเณรลี ในสมัยเป็นศิย์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) เป็นผู้หนึ่งที่ได้เรียนรู้พระสูตรอันวิเศษต่างจากพระอาจารย์จนครบทุกสูตร...


พระจอมเกล้าฯ ช่วงทอดพระเนตร "สุริยุปราคา" ที่หว้ากอ)... เดือนกันยายน ๒๔๑๑ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้สร้าง พระสมเด็จนางพญาสีขาว จำนวน ๖๕ องค์ นำขึ้นไปถวายให้พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงรับพระสมเด็จนางพระยาสีขาว ทอดพระเนตรดุพระและทราบถึงจำนวนพระ ก็ทรงตรัสถามขรัวโตว่า "จะกลับพระราชวังทันหรือไม่" ขรัวโตตอบ "เสด็จกลับได้ทันมหาบพิตร"

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงทราบถึงปริสนาในการที่ ขรัวโต สมเด็จพระฒาจารย์ (โต) สร้างนางพญาขาว ๖๕ องค์ ถวายให้กับพระองค์ จึงได้เสด็จกลับพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพฯ เมื่อเสด็จกลับสู่กรุงเทพฯ พระองค์ก็ทรงประชวรหลังจากเสด็จกลับได้ ๗ วัน และเสด็จสวรรคต ณ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระชนพรรษา ๖๕ พรรษา เสวยราชได้ ๑๗ ปีเศษ....

(ก่อนสวรรคตทรงสมาทานศีล และพิจารณาธรรม แล้วกำหนดอานาปนนุสสติภาวนาพุท-โธ ข้าราชบริพารที่อยู่ใกล้ชิดได้ยินพระสุรเสียงภาวนาว่า พุท-โธ ๆๆ เสียงค่อยๆ แผ่วเบาลงๆ ตอนท้ายเหลือคำว่า โธ-โธ ๆๆๆๆ แล้วก็สรรคตอย่างสงบ)

หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัดระฆัง ธนบุรี ท่านเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยออกพบปะญาติโยมเท่าใดนัก

ในช่วงนี้สามเณรลี (หลวงปู่สี) จึงไม่ค่อยได้ติดตามรับใช้เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ฯ เท่าใดนัก ประกอบกับ "ญาครูอินทร์" กลับจากธุดงค์แวะมาเยี่ยมสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) สามเณรลี จึงถือโอกาสขออนุญาตลาสมเด็จ (โต) กลับไปเยี่ยมโยมพ่อ โยมแม่ ที่จังหวัดสุรินทร์ พร้อมกับ "ญาครูอินทร์" หรือพระอาจารย์อินทร์ สมเด็จท่านก็ทรงอนุญาต
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๓

ลาสิกขาบท ชีวิตวัยหนุ่มที่บ้านเกิด


ในช่วงนั้นกำลังอยู่ในขณะผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตลง ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ ก็เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๑๑ ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหัว ในขณะนั้นพระองค์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

หลังจากเสร็จงานพระราชพิธีเสวยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ญาครูอินทร์พระอาจารย์ จึงพาสามเณรลี เดินธุดงค์บุกป่าผ่าดงข้ามขุนเขาน้อยใหญ่มุ่งสู่จังหวัดสุรินทร์ สามเณรลีเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ผิวพรรณดี ผิดกับหนุ่มชาวบ้านทั่วไป เมื่อกลับมาเห็นครอบครัว โยมพ่อ โยมแม่ลำบาก ก็ขออนุญาต "ญาครูอินทร์" สึกออกมาเพื่อช่วยพ่อแม่ทำงาน ญาครูอินทร์ ได้ตรวจดูดวงชะตาของสามเณรลี ซึ่งขณะนั้นอายุ ๑๘ ย่างขึ้น ๑๙ ปี ว่าชะตาจะต้องเกี่ยวกับพันทางโลก เมื่อพ้นภาวะกรรมก็จะบวชไม่สึก และจะสำเร็จในบั้นปลายชีวิต จึงได้สึกให้ตามคำขอ

หนุ่มลี เป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ รูปร่างสง่างามสูงใหญ่ สมลักษณะชายชาติทหาร หนุ่มลีช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำมาหากินด้วยความขยันขันแข็ง เป็นคนใจนักเลง มีลูกน้องมากมาย นอกจากทำไร่ทำนา ก็รับจ้างคุมฝูงวัวไปขายต่างจังหวัด ซึ่งเป็นอาชีพของคนกล้าในยุคนั้น หนุ่มลี ใช้ชีวิตในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ท่องเที่ยวไปในดินแดนต่างๆ อย่างโชกโชน กับอาชีพค้าวัวในต่างแดน โดยเฉพาะในดินแดนทางภาคอีสาน

ลุปี พ.ศ.๒๔๑๕ หนุ่มลีจึงขอลาพ่อเซียงผา และแม่ข้อล่อ ออกเดินทางไปเยี่ยมอาซึ่งเป็นน้องชายของพ่อที่หนองแค จังหวัดสระบุรี พ่อแม่ก็ไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว หนุ่มลีจึงเดินทางจากบ้านหมกเต่า ตำบลเบิด อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ไปอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ช่วยน้าทำไร่ ค้าของป่า อยู่ไม่นานประมาณสัก ๑ ปี ก็ทราบข่าวว่า ทางกรุงเทพฯ เมืองหลวงจะมีงานสมโภชน์ใหญ่ในจิตใจของความเป็นหนุ่ม อยากจะเข้าไปเที่ยว และจะแวะไปเยี่ยมพระอาจารย์ด้วยที่วัดระฆังฯ ไม่ทราบว่าขณะนี้สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ท่านจากมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๑ ก็ไม่ทราบข่าวอย่างไรเลย จึงขออนุญาตน้าชายไปงานฉลองเมืองที่กรุงเทพฯ

พ.ศ. ๒๔๑๖ หลังปีใหม่แล้ว หนุ่มลีกับเพื่อนหนุ่มบ้านหนองแค สระบุรีก็เดินทางสู่กรุงเทพฯ พอถึงกรุงเทพฯ ก็รีบตรงไปวัดระฆังฯ ฝั่งธนบุรี เพื่อไปกราบสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พระอาจารย์ของท่านในสมัยที่ท่านบวชเณรอยู่ด้วยสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) เย็นวันนั้นหนุ่มลีไปถึงวัดระฆัง พอย่างเหยียบเข้าบริเวณวัดมันช่างเงียบสงบ จึงตรงไปกุฏิพระพุทธบาทปิลันท์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ใหญ่องค์หนึ่งที่สมัยหนุ่มลีบวชเป็นสามเณร และเคยรับใช้ใกล้ชิดพระพุทธบาทปิลันท์ ก็ทราบว่า สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ท่านมรณะภาพแล้วตั้งแต่ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๕ เวลา ๒๔ นาฬิกา อายุได้ ๘๕ ปี มีพรรษา ๖๕ พรรษา หลังจากรัชกาลที่ ๕ ครองราชได้ ๕ ปี หนุ่มลีอยู่ในอาการเศร้าโศกเพราะทราบข่าวว่าอาจารย์มระภาพแล้ว โดยท่านมิได้ทราบเรื่องเลย เพราะช่วงเวลานั้น ท่านได้ช่วยพ่อแม่ทำงาน ในบ้านป่าเมืองสุรินทร์ จึงไม่ทราบการทราบการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง ในช่วงนั้นท่านจึงพักอาศัยกับพระอยู่วัดระฆังฯ

จวบจนวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๖ หนุ่มลีได้มีโอกาสไปชมงานอุปสมบทเป็นพระของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๕ เป็นงานหลวงใหญ่มากที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมา พระองค์ทรงลาสิกขามาปกครองบ้านเมืองในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๑๖ วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๖ ได้ทำพิธีราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ ขึ้นครองราชอย่างสมบูรณ์ หนุ่มเคยมีโอกาสได้ชมงานสำคัญๆ ของบ้านเมืองในยุคนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 88.15 KiB | เปิดดู 21745 ครั้ง ]
ตอนที่ ๔ : เป็นหน่วยทหารอาสากล้าตาย ในศึกปราบฮ่อ

ศึกปราบฮ่อในรัชสมัย

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระพุทธเจ้าหลวง



เมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๔ มีคนจีนพวกหนึ่ง จำนวนประมาณสัก ๒,๐๐๐ คน เป็นกบฏต่อรัฐบาลจีน แต่พ่ายแพ้แก่กองทหารรัฐบาลจีน จึงพากันอพยพมาอยู่ในดินแดน “ญวน” เที่ยวได้ปล้นสะดมชาวบ้านชาวเมือง รัฐบาลญวนไม่สามารถปราบปรามได้ จึงยอมเป็นไมตรีกับโจรจีนก๊กนี้

จากนั้น พวกฮ่อก็ได้รุกรานเข้ามาในเขตประเทศลาวเที่ยวปล้นสะดมเมืองต่างๆ จนในที่สุดก็มาตั้งทัพอยู่ในทุ่งเมืองเชียงคำ จะเข้าตีหลวงพระบางในปีพุทธศักราช ๒๔๑๘

เมื่อมีคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานกำลังทหารไปสู้รบกับพวกธงดำ เข้ามาถึงพระเนตรพระกรรณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้จัดกองทัพยกไปช่วยเมืองหลวงพระบาง โดยมี เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุญยรัตพันธ์) สมุหนายก คุมกำลังทหารหลวงจากกรุงเทพฯ ยกเข้าไปหลวงพระบาง

อาสาปราบฮ่อ

ปีพุทธศักราช ๒๔๑๘ ข่าวกองทัพไทยจะยกขึ้นไปปราบพวกฮ่อ ก็แพร่กระจายไปทั่วเมือง หนุ่มลีพอทราบข่าวศึก และทราบว่ามีการรับอาสาสมัครและเกณฑ์กำลังไปรบ หนุ่มลีจึงเข้าไปสมัครเป็นทหารไปรบกับฮ่อ โดยได้เข้าไปอยู่ในสังกัดของเจ้าพระยาภูธราภัย. ได้มีการสอบความรู้ความสามารถในวิชาการต่อสู้ ความรู้ทางเวทมนตร์ มีความคงทนต่ออาวุธ มีวิชาคงกระพันชาตรี ความรู้ทางอาชา ทางคชศาสตร์ เพื่อคัดเข้าอยู่กองหน้ากล้าตาย

ปรากฏว่า หนุ่มลีได้รับคัดเลือกให้อยู่ในหน่วยอาสากล้าตายระดับแนวหน้า เพราะหนุ่มลีมีหน่วยก้านแข็งแรงใหญ่โต มีวิชาความรู้ในเรื่องป่าดงพงพี มีความรอบรู้วิชาคชศาสตร์ และมีวิชาอยู่ยงคงกะพัน เป็นที่โปรดปรานของเจ้าพระยาภูธราภัย การเดินทัพผ่านป่า จะต้องอาศัยกองทัพช้างเป็นกำลังสำคัญ หนุ่มลีเป็นชาวสุรินทร์ มีพ่อเป็นนายพรานใหญ่ จึงมีความรอบรู้ในวิชาคชศาสตร์ จะเห็นได้ว่า หนุ่มลีมีความผูกพันกับช้างมานานนับตั้งแต่บรรพบุรุษ

ซึ่งในการรบครั้งนี้ ทั้งกองหน้าของเจ้าพระยาภูธราภัย ควบคุมทัพหน้าโดย พระยามหาอำมาตย์กับพระยานครราชสีมาช่วยกันตีทัพพวกฮ่อธงดำที่ยกกำลังมา จะตีเมืองหนองคาย พวกฮ่อถูกทัพไทยตีแตกย่อยยับถึงขั้นรบประจัญบานกัน พวกฮ่อเสียขวัญมากเพราะทหารไทยกองหน้าอยู่ยงคงกะพัน ยิงฟันแทงไม่เข้า ไม่ตาย อีกทั้งมีฝีมือ จิตใจห้าวหาญ มีขวัญกำลังใจดี ฝ่ายพวกฮ่อล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ต่างแตกพ่ายถอยร่นหนีไปอย่างยับเยิน

ส่วนพระยาพิไชย กับพระสุริยภักดี ก็ช่วยกันตีทัพฮ่ออีกทัพหนึ่ง ที่ยกไปตีเมืองหลวงพระบางแตกพ่ายยับเยินเช่นกัน การรบปราบฮ่อครั้งนี้ ทหารลีได้แสดงฝีมือให้เพื่อนทหารไทยทั้งนายทหารและเพื่อนทหารที่ไปรบได้ประจักษ์ในฝีมือการรบ และความอยู่ยงคงกระพันยิงฟัน แทงไม่เข้า ไม่มีอาวุธใดระคายผิวได้

ความห้าวหาญของพลทหารลีและทหารที่ไปรบชนะพวกฮ่อในครั้งนี้ ต่างได้รับความดีความชอบทั่วหน้ากันทุกคน โดยเฉพาะพลทหารลี ได้เลื่อนเป็นทหารคนสนิทติดตามรับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าพระยาภูธราภัย ให้ความเมตตารักใคร่หัวหมู่ลี เพราะท่านเจ้าพระยาเห็นว่าหัวหมู่ลีเป็นคนมีความรู้ ความสามารถ รูปร่างดี บวชเรียนมาแล้ว และทราบว่า เคยเป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังฯ ท่านก็ยิ่งโปรดเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ

หัวหมู่ลีเป็นทหารรับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย ท่านเจ้าพระยาภูธราภัย ท่านเมตตาหัวหมู่ลีนัก เวลาท่านเรียกใช้ให้ติดตามไปราชการในต่างแดน ท่านก็ไว้ใจให้ติดตามไปด้วย เวลาท่านเรียกท่านก็จะเรียกหัวหมู่ลีว่า “ไอ้เสือหาญ” เพราะศึกปราบฮ่อครั้งแรก (พ.ศ. ๒๔๑๘) ท่านได้เห็นประจักษ์ตาว่า [color=#BF0000]ทหารลี หนังดี ใจกล้า ฆ่าศัตรูดุจพยัคฆ์ร้าย ท่านจึงเรียกว่า “ไอ้เสือหาญ” ตลอดมา

ในคำว่า “เสือหาญ” นี้มีลูกหลานบางท่านไม่ทราบว่าเป็นฉายานามของท่านหลวงปู่สี (ตอนเป็นทหารรับใช้ชาติ) คิดว่าท่านเป็นไอ้เสือฆ่าคนมามาก ความจริงแล้ว ท่านเป็นยอดนักรบผู้กล้า ท่านเจ้าพระยาเมตตารักใคร่ เวลาเรียกใช้ให้ติดตามก็จะเรียกว่า “ไอ้เสือหาญ”

หัวหมู่ลีเป็นคนขยัน รับใช้เจ้านายด้วยความซื่อสัตย์มั่นคง ติดตามท่านเจ้าพระยาไปงานราชการในต่างเมืองหลายครั้ง และได้แสดงความสามารถในกิจการงานที่ท่านเจ้าพระยามอบให้ทำสำเร็จลุล่วงด้วยดีตลอดมา ต่อมาหัวหมู่ลีได้รับการคัดเลือดและการสนับสนุนของเจ้าพระยาภูธราภัยให้เป็นตำรวจหลวง คอยติดตามเสด็จและปราบปรามโจรผู้ร้าย


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 10:37, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




10-U0007703-633882187480066250-1.jpg
10-U0007703-633882187480066250-1.jpg [ 44.43 KiB | เปิดดู 21741 ครั้ง ]
“สู่ทางสงบ”

หลวงปู่สีท่านรับใช้ราชการทั้งทหารและตำรวจ อยู่นานนับสิบปี ท่านได้พบเห็นอะไรมามากมาย ได้รับความดีความชอบทางราชการสูงขึ้นเป็นลำดับ ในที่สุดท่านก็เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตการงานทางราชการ และสังคมความเป็นอยู่ทางฆราวาส และเริ่มมีจิตใจหันมามุ่งเข้าสู่ทางธรรมอันเป็นจิตสำนึกในส่วนลึกของท่าน

ยามใดที่ท่านว่างงานจากราชการและการติดตามรับใช้เจ้านายผู้ใหญ่ ท่านก็จะเข้าวัดสลัก ข้างวังหลวง มาสนทนาธรรมกับพระทางภาคอีสาน ด้วยวัดสลัก.(วัดมหาธาตุ) มีพระทางภาคอีสานมาอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ครั้งสมัยในรัชกาลที่ ๔ ที่ท่านส่งเสริมพระปฏิบัติธรรม ที่เคร่งครัดในพระวินัย

ยามที่ท่านอยู่คนเดียว ท่านก็ระลึกถึงว่า ที่ผ่านมาท่านได้ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนในทางโลก เป็นทั้งพรานป่า เด็กวัด นักเลง พ่อค้า ทหาร ออกรบสู้ศึกฆ่าศัตรูของชาติล้มตายมามากมาย เป็นตำรวจ ปราบโจรผู้ร้าย ต่อสู้กับความดีความชั่วมาสารพัดมากมาย จนเกิดความเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย โดยท่านมองเห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร สมควรที่จะหันเหชีวิตเข้าพึ่งความสงบ ท่านจึงได้พยายามหาโอกาสไปตามวัดต่างๆ ที่มีพระอาจารย์ที่เคร่งครัดปฏิบัติธรรม มีปฏิปทา รอบรู้ในพระธรรมประกอบกับท่านมีนิสัยในทางปฏิบัติธรรมเป็นพื้นฐาน ท่านจึงศึกษา เข้าถึงพระธรรมอย่างถ่องแท้

“สู่ร่มกาสาวพัสตร์”

ปีพุทธศักราช ๒๔๓๑ หลวงปู่สีท่านจึงลาออกจากราชการในตอนนั้น ท่านมีอายุได้ ๓๙ ปี เมื่อออกจาราชการ ท่านก็เดินทางไปเยี่ยมญาติของท่านที่สระบุรี ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางไปที่วัดบ้านเส้า (อยู่ในอำเภอบ้านหมี่ ในปัจจุบันนี้)

ท่านได้ทำการอุปสมบทที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในปี พ.ศ.๒๓๑ อายุได้ ๓๙ ปี พระครูธรรมขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระแล้ว ท่านก็ขอสมาทานธุดงควัตร จากพระอุปัชฌาย์ของท่าน พระอาจารย์ของท่านก็เห็นว่า ท่านเคยบวชเรียนเป็นสามเณรมาแล้วเป็นผู้ใหญ่มีความรู้ ความสามารถ จึงอนุญาตให้หลวงปู่สี ท่านออกธุดงค์ได้ตามความประสงค์ ท่านจึงตัดสินใจเข้าไปอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร

พอถึงช่วงก่อนที่จะเข้าพรรษา ท่านจึงออกจากธุดงค์ไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเขาไม้เสียบ ตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเวลา ๑ พรรษา และเมื่อออกพรรษา ท่านจึงออกธุดงค์

ในขณะที่จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเขาไม้เสียบนั้น มีพระภิกษุทางเหนือมาจำพรรษาอยู่ด้วย ได้เล่าเรื่อง “พระบาทสี่รอย” ให้ท่านฟัง ทำให้ท่านเกิดมีความคิดที่จะไปนมัสการ “พระบาทสี่รอย”

มีพระบางรูปพูดให้ท่านฟังว่า การเดินทางไปนั้นมีอันตรายนานาประการ การเดินทางเป็นการเสี่ยงอันตรายต่อไข้ป่า และสัตว์ร้ายนานาชนิด พระภิกษุหนุ่มลีมิได้กลัว ด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม เป็นกุศลจิต.มุ่งอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา แผ่เมตตาธรรมแก่สรรพสัตว์อย่างไร้ขอบเขต มุ่งลดละกิเลสด้วยสมถะวิปัสสนากรรมฐาน



หลวงปู่สีท่านรับใช้ราชการทั้งทหารและตำรวจ อยู่นานนับสิบปี ท่านได้พบเห็นอะไรมามากมาย ได้รับความดีความชอบทางราชการสูงขึ้นเป็นลำดับ ในที่สุดท่านก็เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตการงานทางราชการ และสังคมความเป็นอยู่ทางฆราวาส และเริ่มมีจิตใจหันมามุ่งเข้าสู่ทางธรรมอันเป็นจิตสำนึกในส่วนลึกของท่าน

ยามใดที่ท่านว่างงานจากราชการและการติดตามรับใช้เจ้านายผู้ใหญ่ ท่านก็จะเข้าวัดสลัก ข้างวังหลวง มาสนทนาธรรมกับพระทางภาคอีสาน ด้วยวัดสลัก.(วัดมหาธาตุ) มีพระทางภาคอีสานมาอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ครั้งสมัยในรัชกาลที่ ๔ ที่ท่านส่งเสริมพระปฏิบัติธรรม ที่เคร่งครัดในพระวินัย

ยามที่ท่านอยู่คนเดียว ท่านก็ระลึกถึงว่า ที่ผ่านมาท่านได้ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนในทางโลก เป็นทั้งพรานป่า เด็กวัด นักเลง พ่อค้า ทหาร ออกรบสู้ศึกฆ่าศัตรูของชาติล้มตายมามากมาย เป็นตำรวจ ปราบโจรผู้ร้าย ต่อสู้กับความดีความชั่วมาสารพัดมากมาย จนเกิดความเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย โดยท่านมองเห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร สมควรที่จะหันเหชีวิตเข้าพึ่งความสงบ ท่านจึงได้พยายามหาโอกาสไปตามวัดต่างๆ ที่มีพระอาจารย์ที่เคร่งครัดปฏิบัติธรรม มีปฏิปทา รอบรู้ในพระธรรมประกอบกับท่านมีนิสัยในทางปฏิบัติธรรมเป็นพื้นฐาน ท่านจึงศึกษา เข้าถึงพระธรรมอย่างถ่องแท้

“สู่ร่มกาสาวพัสตร์”

ปีพุทธศักราช ๒๔๓๑ หลวงปู่สีท่านจึงลาออกจากราชการในตอนนั้น ท่านมีอายุได้ ๓๙ ปี เมื่อออกจาราชการ ท่านก็เดินทางไปเยี่ยมญาติของท่านที่สระบุรี ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางไปที่วัดบ้านเส้า (อยู่ในอำเภอบ้านหมี่ ในปัจจุบันนี้)

ท่านได้ทำการอุปสมบทที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในปี พ.ศ.๒๓๑ อายุได้ ๓๙ ปี พระครูธรรมขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระแล้ว ท่านก็ขอสมาทานธุดงควัตร จากพระอุปัชฌาย์ของท่าน พระอาจารย์ของท่านก็เห็นว่า ท่านเคยบวชเรียนเป็นสามเณรมาแล้วเป็นผู้ใหญ่มีความรู้ ความสามารถ จึงอนุญาตให้หลวงปู่สี ท่านออกธุดงค์ได้ตามความประสงค์ ท่านจึงตัดสินใจเข้าไปอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร

พอถึงช่วงก่อนที่จะเข้าพรรษา ท่านจึงออกจากธุดงค์ไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเขาไม้เสียบ ตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเวลา ๑ พรรษา และเมื่อออกพรรษา ท่านจึงออกธุดงค์

ในขณะที่จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเขาไม้เสียบนั้น มีพระภิกษุทางเหนือมาจำพรรษาอยู่ด้วย ได้เล่าเรื่อง “พระบาทสี่รอย” ให้ท่านฟัง ทำให้ท่านเกิดมีความคิดที่จะไปนมัสการ “พระบาทสี่รอย”

มีพระบางรูปพูดให้ท่านฟังว่า การเดินทางไปนั้นมีอันตรายนานาประการ การเดินทางเป็นการเสี่ยงอันตรายต่อไข้ป่า และสัตว์ร้ายนานาชนิด พระภิกษุหนุ่มลีมิได้กลัว ด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม เป็นกุศลจิต.มุ่งอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา แผ่เมตตาธรรมแก่สรรพสัตว์อย่างไร้ขอบเขต มุ่งลดละกิเลสด้วยสมถะวิปัสสนากรรมฐาน


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 10:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




showimage.jpg
showimage.jpg [ 42.48 KiB | เปิดดู 21736 ครั้ง ]
“การปฏิบัติกรรมฐาน”



พระภิกษุลี ท่านมีพื้นฐานดีมาแล้วตั้งแต่ในสมัยที่ท่านบวชเณรอยู่กับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี พระอาจารย์ของท่าน ซึ่งได้ให้หลักเกณฑ์แนะนำไว้ว่า

...ร่างกายคนเรานั้นเป็นสิ่งที่สมมุติที่เรียกว่าสังขาร สังขารอันเป็นแหล่งประชุมของดิน น้ำ ลม ไฟ สังขารร่างกายอันก่อรูปขึ้นเป็นตัวตน คนนั้น คนนี้ ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า ตนนั้นมีอะไร? หรือไม่มีอะไร? โดยท่านเน้นไว้ว่า ศีลปฏิบัติให้ดีนั้นต้องรู้เหตุ สำรวม ระวังเหตุ ตาเห็นเหตุ ตาเห็นรูป ถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน ความยินดี ยินร้าย มันก็เกิดขึ้น ความโลภก็เกิดขึ้น

เพราะเหตุนั้นเราต้องรู้เหตุ สำรวมระวังเหตุให้น้อมเข้ามาสู่กาย เอากายเป็นมรรค เอากายเป็นผล ค้นลงไปในอายุเรานี้ ค้นหาเอาความชั่ว ความผิดออกจากกายวาจาใจ..



พระภิกษุลีท่านระลึกอยู่เสมอในการได้รับคำสั่งสอนจากสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ในสมัยที่ท่านเป็นสามเณร ท่านยังระลึกอยู่และนำมาใช้ ด้วยสมเด็จเป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐานคนแรกของท่าน

นอกจากนี้พระภิกษุลียังยึดมั่นในแนวทางสมถะ ถือสันโดษเอาป่าเป็นสถานที่กำจัดกิเลส เพื่อให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ในตัวตน ทุกอย่างคือ อนัตตา

ด้วยปณิธานที่เด็ดเดี่ยว แข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กกล้า พลังการควบคุมจิต ยากที่จะหาผู้ใดเทียบ ถึงมีก็น้อยมาก พระภิกษุลีท่านเป็นผู้สงบกาย วาจา ใจ ท่านจะไม่ค่อยพูดเรื่องราวในอดีตให้ใครฟังนัก นอกจากผู้ติดตามปรนนิบัติใกล้ชิดจริงๆ จึงจะได้ทราบถึงปฏิปทาและชีวิตจริงของท่าน ใครไปถามอะไรมาก ๆ ท่านก็จะพูดว่า

“บ่มีอดีต มีแต่ปัจจุบัน ชีวิตมีแต่พุทธศาสนา ป่าและวัด...”

และเมื่อท่านมุ่งมั่นจะทำอะไรท่านก็จะต้องทำให้สำเร็จ และเมื่อคิดจะไปไหน ให้หนทางยากลำบากอย่างไร ท่านก็ต้องไปให้ได้

เมื่อท่านทราบเรื่องราวของ “พระบาทลี่รอย” ท่านจึงถามหนทางที่จะไปว่าอยู่ไหน? เมื่อท่านได้ข้อมูล ท่านจึงธุดงค์ขึ้นเมืองเหนือ มุ่งสู่ตำบลสะลอง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

พ.ศ.๒๕๓๒ หลังออกพรรษาและรับกฐินเป็นที่เรียบร้อย พระภิกษุลี (หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ) ท่านได้ออกเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยที่เชียงใหม่ การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องเดินทางเข้าป่าดงลึก บางครั้งก็ต้องปีนบ่ายขึ้นๆ ลงๆ ตามขุมเขาต่างๆ บางแห่งในป่ารกลึกๆ ก็ยากที่จะพบผู้คน ถึงจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใด ก็มิได้ย่อท้อ ท่านมุมานะอดทนเดินทางต่อเป็นภายในดวงจิตเข้มแข็งมั่นคง มุ่งมั่นที่จะไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย

การเดินทางครั้งนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่ง ในป่าลึก ผู้คนไม่มีอาศัยอยู่ ท่านต้องอดอาหาร ไม่มีอะไรฉันถึง ๑๑ วัน นัยว่าเทพเทวาในป่าเขาได้ทดลองจิตของท่านว่าจะมีความเข็มแข็งสักปานใด จึงทำให้ท่านหลงป่า ไม่พบผู้คน อดอาหารอยู่ถึง ๑๑ วัน

จนวันหนึ่งในขณะที่กำลังวังชาของท่านใกล้จะสิ้นลงนั้น ก็บังเอิญได้พบชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งกินยาลูกกลอนอยู่ ส่งกลิ่นหอมชื่นใจ หญิงชายทั้งสอง พอเห็นพระธุดงค์เดินมาก็ออกปากนิมนต์ พร้อมทั้งนำยามาถวายให้ ๑ ช้อน พระภิกษุลี ก็รับยาที่โยมถวายมามาปั้นเป็นลูกกลอน (ลูกกลม) ได้ ๑ ลูก เท่าผลพุทรา มีกลิ่นหอมประหลาด ๆ

ท่านจึงฉันพร้อมน้ำ ๑ กระบอก พอกลืนยาลงไปตกถึงท้อง ก็มีอาการประหลาดมหัศจรรย์เสมือนหนึ่งมีพลังความร้อนแผ่กระจายไปทั่วขุมขน ท่านจึงพริ้มตาหลับลงด้วยลักษณะทำสมาธิ สักอึดใจท่านก็ลืมตาขึ้น แต่เป็นที่น่าประหลาดนัก ปรากฏว่า ชายหญิงคู่นั้นที่นั่งอยู่ตรงหน้าได้หายไป

ท่านก็มองหาโดยรอบ ๆ ที่นั่น ก็ไม่ปรากฏร่างของชายหญิงคู่นั้นที่นำน้ำและยาทิพย์มาถวายให้ท่านฉัน ท่านจึงได้ให้ศีลให้พรแก่เทพเทวดาที่ถวายยาให้ท่าน ต่อจากนั้นท่านก็ออกเดินทางไปพระพุทธบาทสี่รอย



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 10:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 97.95 KiB | เปิดดู 21729 ครั้ง ]
วัดปากคลองมะขามเฒ่า.jpg
วัดปากคลองมะขามเฒ่า.jpg [ 37.6 KiB | เปิดดู 21721 ครั้ง ]
รูปบนหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติรูปล่างหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า


พบช้างป่า

เมื่อหลวงปู่ไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยนั้น ในตอนเช้าท่านก็ได้ไปนมัสการพระบาทเป็นประจำทุกวัน และได้พบว่า บริเวณรอบรอยพระบาทสะอาดเรียบร้อยไม่เปรอะเปื้อนทั้ง ๆ ที่ไม่มีคนอยู่ทำความสะอาด ต่อมาท่านจึงได้เห็นช้างป่าหลายเชือกมาทำความสะอาดในตอนเช้าเป็นประจำ โดยการใช้งวงปัดเป่าทำความสะอาดได้อย่างยอดเยี่ยม

ท่านเล่าว่า ด้วยการที่อยู่ใกล้กันและเห็นกันอยู่ทุกวันเป็นประจำ ทำให้ช้างป่าเหล่านั้นเกิดความสนิทสนมกับท่านเป็นอย่างดี จนในเวลาต่อมาช้างเหล่านั้นได้นำหัวบัวบ้าง กระจับบ้าง และน้ำอ้อยมาถวายท่านได้ฉันอย่างไม่ขาด ช้างเหล่านั้นมันปฏิบัติได้เหมือนคนไม่มีผิด แม้พวกช้างเหล่านั้นจะเป็นช้างป่าก็ตาม แต่ก็เชื่องเหมือนช้างบ้าน

เมื่อท่านได้นมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้เพียรเจริญสมถวิปัสสนานานพอสมควร ท่านจึงได้เดินทางกลับเพื่อไปแสวงหาความวิเวกในที่อื่นต่อไป

ในวันที่ท่านเดินทางกลับนั้น หลังจากฉันอาหารที่เหล่าฝูงช้างป่านำมาถวาย ท่านก็บอกช้างเหล่านั้นว่า วันนี้ท่านจะเดินทางกลับแล้ว ช้างป่าเหล่านั้นก็พร้อมใจกันเดินทางมาส่งท่านที่เชิงเขาด้วยความอาลัย

อีกครั้งหนึ่งที่หลวงปู่เดินธุดงค์อยู่ในป่าลึก ขณะที่หลวงปู่ท่านเดินอยู่ในป่าดงดิบนั้น ท่านก็ได้พบกับช้างป่าโขลงใหญ่ ช้างป่าทุกเชือกมีลักษณะดุร้าย โดยเฉพาะเชือกจ่าฝูง รูปร่างสูงใหญ่งายาว มันยืนจ้องมองมายังหลวงปู่ หลวงปู่พอเห็น ท่านก็ยืนสงบแผ่เมตตาจิตให้พญาช้างและช้างทุกๆ เชือกในโขลงนั้น ด้วยความมั่นคงแน่วแน่ กระแสจิต พลังแห่งเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อสรรพสัตว์

ทุกอย่างอยู่ในความสงบเงียบ พลันเชือกที่เป็นหัวหน้าโขลง ก็ชูงวงขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงร้องดังก้องป่า ในสภาพบรรยากาศเช่นนี้ หากเป็นบุคคลอื่นนอกจากหลวงปู่แล้ว นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่หลวงปู่สีท่านอยู่ในอาการสงบนิ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

พอสิ้นเสียงร้องก้องกังวานของหัวหน้าโขลง ช้างป่าทุกเชือก ก็ย่อตัวลงหมอบอยู่กับพื้น พร้อมชูงวงขึ้น ประหนึ่งเป็นการแสดงคารวะอย่างนอบน้อมต่อหลวงปู่สี ผู้มีเมตตาธรรมและความบริสุทธิ์

ต่อจากนั้นหัวหน้าโขลงก็เดินเข้ามาหมอบอยู่ตรงหน้าท่าน ต่อจากนั้นช้างอีกเชือกก็เข้ามาใช้งวงช้อนร่างหลวงปู่ให้ขึ้นไปนั่งบนคอของหัวหน้าโขลง ทุกอย่างเป็นไปอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ต่อจากนั้นมันก็ลุกขึ้นเดินนำโขลงไปส่งท่าน ผ่านป่าดงดิบจนถึงชายป่า ในตอนเช้าวันหนึ่ง

พวกชาวบ้านป่าได้มาพบเห็นเหตุการณ์มหัศจรรย์เช่นนั้น ต่างก็ก้มลงกราบหลวงปู่ และได้นำอาหารมาถวายหลวงปู่ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ตื่นเต้นและประหลาดใจว่าหลวงปู่ทำอย่างไร ช้างป่าจึงไม่ทำร้ายและยังได้มาส่งหลวงปู่อีก

ชาวบ้านเขตชายแดนไทยพม่า ทราบดีว่าช้างป่าโขลงนี้เป็นช้างป่าที่ดุร้ายที่สุดในแถบแถบนั้น แต่น่ามหัศจรรย์ที่ช้างป่าไม่ทำร้ายหลวงปู่สี หลังจากที่หลวงปู่สีฉันอาหารเสร็จ ท่านก็ให้ศีลให้พรกับพวกชาวบ้านป่า และถามถึงเส้นทางที่เดินทางไปแผ่นดินพม่า

นมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง

ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏ ท่องป่า ข้ามภูเขา และห้วยธารละหานเหวไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงปู่สีก็ได้ยินเขาเล่าว่า ประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการ

แต่เมื่อได้ปรารภเรื่องนี้ให้เพื่อนภิกษุฟัง ส่วนมากก็ทักท้วงให้ระงับยับยั้ง มิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่าหนทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าว พูดกันไม่รู้เรื่อง

ประการสำคัญคือ ถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเป็นเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวนเวียนเลี้ยวลัด และมุดลอดไปตามดงทึบหรือป่าเถาวัลย์ ไม้พุ่มไม้เลื้อยนานาชนิด ด่านแรกสำคัญที่สุดก็คือ จะต้องบุกฝ่าไปในดงในป่า ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฏ ยามร้อน -ร้อนจัด ยามเย็น - เย็นยะเยือก และชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็น ดงผีห่า ป่าดงดิบ

ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสอง ซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อยๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่ เป็นดงทึบจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืด เหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลม หินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อยเต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษ สัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากความระมัดระวัง พริบตาเดียวก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า แม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บสัตว์จตุบาท ไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โรคเฉพาะจากดงใหญ่ มหากาฬ ซึ่งขึ้นชื่อลือกระฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้นเล่า

ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกันขัดคออย่างไรไม่เป็นผล หลวงปู่สีไม่เถียง ไม่แม้แต่จะหาเหตุผลใดเข้าหักล้าง หรือแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ หึ ตีหน้าตายเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งน่าสยดสยองหวาดกลัวตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อยนิด

ป่าดงทางเหนือนั้น มีอาณาบริเวณที่รกชัฏกว้างไพศาล เป็นอาณาเขตดงทึบมืดครึ้มไปด้วยดงไม้ใหญ่สูงชะลูด เมฆบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องต้องพื้นดินใบหญ้า พื้นแผ่นดินก็ทึบมืดชื้นแฉะเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าของใบไม้และดินโคลน หอยทาก งูเล็ก งูใหญ่ ตะขาบ แมงป่อง บรรดาสรรพสัตว์ร้ายยั้วเยี้ย เพ่นพ่านสลับสลอน

สภาพภูมิพื้นเป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดายากจะหาชาวบ้านคนใดไปทนทรมานปลูกบ้านสร้างกระท่อมอาศัยอยู่ เพราะจำเป็นต้องทำมาหากินทางกสิกรรมหรือป่าไม้ จะทำอื่นใดในบริเวณย่านนั้นก็ย่อมไม่เป็นผล จะทำไร่ไถนาหาใส่ท้องก็ยิ่งจะไม่ได้ โดยสภาพปกติที่เป็นเช่นนั้น แล้วใครเล่าจะนำตัวไปอยู่ในท้องถิ่น ที่เปรียบเสมือนนรกได้ลงคอ

ด้วยเหตุผลประการฉะนี้ ทุกย่างก้าวของระยะทางที่เดินเป็นวันๆ ในท่ามกลางดงพงพีอันสงบสงัด แต่วังเวงอย่างน่าสยองขน ต้องระวังเขี้ยวเล็บสรรพจตุบาท ทวิบาท โรคร้ายนานาชนิดจากพื้นดินแฉะตลอดกาล ปราศจากชาวบ้านจะเกื้อกูลถวายภัตตาหารบิณฑบาต จะหาทางเดินที่แน่นอนก็คลำหายาก เพราะมันเต็มไปด้วยดงหญ้ากับเถาวัลย์พันรกทึบ เป็นทางเดินเล็กแคบ ยิ่งกว่านั้น หนทางบางตอนไปบรรจบลงที่หุบเหวหรือไม่ก็ลำห้วย จะต้องใช้วิธีเดินโอบอ้อมหาหนทางเดินข้ามไปจนได้ ในบางครั้งที่ไปพบลำห้วยก็เป็นการไม่ยากอะไรนัก ก็เดินลัดเลาะไปตามโขดหิน

การเดินทางไปนมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า ในครั้งนี้นั้น พ.ศ. ๒๔๓๓

พระภิกษุสี (หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ) ท่านได้พบกับพระภิกษุศุข (หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า) และพระภิกษุกลั่น (หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ อยุธยา) ทั้งสามองค์ได้ร่วมกันเดินธุดงค์เข้าสู่พม่า แม้บางครั้งจะพบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว แต่พระธุดงค์ทั้งสามก็หาหวั่นไหวไม่ การเดินธุดงค์ของท่านนั้น ท่านไม่กลัวอด.ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ท่านจึงสามารถผ่านอุปสรรคนานัปการ ด้วยท่านแจ้งในสัจธรรม

“อันรูปกายเกิดของมนุษย์ และปวงสรรพสัตว์ก็มีความตายนี่แล เป็นความเที่ยงแท้ ชีวิตตาย เกิด ทุกรูป ทุกนาม พึงต้องประสบ”



คติธรรมนี้หลวงปู่ท่านอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์พึงระลึกอยู่เสมอ จะได้ไม่ประมาท ไม่กลัวโดยเฉพาะความตาย ถึงแม้ว่าจะเป็นจอมมหาราชา ผู้มีศักดิ์มีอำนาจมากมาย จะเป็นจอมนักรบผู้เกรียงไกร ไม่ว่ารูปกายใดจะเป็นผู้มีอำนาจวาสนา มิว่าจะอยู่ในฐานันดรใด รูปกายเกิดเหล่านี้นั้นจะต้องประสบกับ “มรณสัญญาณ”. เป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มฤตยูมิยินยอมยกเว้นหรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดในฐานันดรใด ได้ผัดผ่อนวันแห่งกาลมรณะให้ยืดออกไปได้ หากถึงกาล

ในที่สุดหลวงปู่สี หลวงปู่กลั่น หลวงปู่ศุข ก็เดินทางฝ่าฟันอันตรายนานัปการ จนในที่สุดท่านก็ไปกราบพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางกลับ และได้แยกทางกับหลวงปู่กลั่นในเวลาต่อมา ส่วนหลวงปู่ศุขท่านก็แยกไปอีกทางหนึ่ง

หลวงปู่ศุขท่านก็มีภาระต้องกลับวัดเพราะท่านเป็นเจ้าอาวาสวัด วัดปากคลองมะขามเฒ่าในกาลต่อมา ส่วนหลวงปู่กลั่นท่านก็กลับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครองวัดพระญาติในกาลต่อมา หลวงปู่สีนั้นท่านสมัครใจที่จะอยู่ป่าต่อไป ท่านจึงออกเดินธุดงค์อยู่ตามป่าต่อไปตามความปรารถนาของท่าน


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 11:14, แก้ไขแล้ว 11 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




showimage.jpg
showimage.jpg [ 42.48 KiB | เปิดดู 21709 ครั้ง ]
เทพธิดามาฟังสวดมนต์

กาลต่อมาลูกศิษย์ของหลวงปู่ยามใดที่เห็นหลวงปู่ว่างจากการปฏิบัติธรรม ก็มักจะให้หลวงปู่สีท่านเล่าเรื่องราวต่างๆ ในการเดินธุดงค์ของหลวงปู่ว่าได้พบเห็นอะไรบ้างตามป่าที่หลวงปู่ผ่านพบมาในครั้งธุดงค์

“หลวงปู่ครับ เวลาที่หลวงปู่เดินธุดงค์ในป่าลึก ๆ ที่ไม่มีบ้านคนอยู่ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่แล้วหลวงปู่จะไปบิณฑบาต กับใครที่ไหนครับ?”

“การบิณฑบาตเป็นกิจของสงฆ์ สงฆ์แม้จะอยู่ในที่ใดก็ตามก็ต้องบิณฑบาตตามปกติ การบิณฑบาตในป่า ก่อนที่จะบิณฑบาต พระธุดงค์ทุกรูปที่ปฏิบัติอยู่ในป่าจะต้องเข้าสมาบัติ แผ่เมตตา มีพรหมวิหารเป็นอารมณ์ ต่อจากนั้นก็ออกบิณฑบาตไปตามป่า ก็จะมีคนนำข้าวนำอาหารมาใส่บาตร แปลกอยู่ที่ว่า ผู้ที่มาใส่บาตรนั้นแต่ละคนหน้าตางดงาม แต่งกายสะอาด พูดจาไพเราะ พวกในป่าเขาใจดี เขาไม่ให้พระอด ไม่ว่าอยู่ในที่แห่งใดถึงเวลาใส่บาตรพวกเขาก็จะมาใส่บาตรกัน

พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไปอยู่ไหน ณ ที่แห่งใดก็จะไม่ทุกข์ยาก ย่อมมีเทพเทวดาสงเคราะห์ ไม่เฉพาะแต่พระสงฆ์เท่านั้น แม้แต่พวกฆราวาสก็เช่นกัน หากทำดี เทวดาก็จะดูแลรักษาช่วยเหลือเช่นกัน

เทวดาตามป่าเขา เขาชอบฟังธรรม เวลาพระทำวัตรสวดมนต์พวกเทพเทวดาก็จะพามันมาฟัง บ้างก็จะกล่าวว่า

“ท่านเจ้าขา ท่านสวดมนต์จนเสียงมนต์สะเทือนไปทั่ว นานๆ จะมีพระมาโปรด ขอท่านโปรดกรุณาเทศนาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

หลวงปู่ท่านเล่าว่าพวกเทวดาบางพวก เขาก็ชอบฟังบทพระธัมมจักกัปวัตนสูตร บางหมู่ก็ชอบกรณียเมตตสูตร เวลาพระสวดมนต์จบ หรือเทศน์จบ จะได้ยินเสียงสาธุพร้อมๆ กัน เสียงก้องกังวานน่าฟัง ต่อจากนั้นก็กราบลงพร้อมกันอย่างงดงาม


หลวงปู่ท่านพยายามย้ำอยู่เสมอว่า “นรกสวรรค์ มีจริงนะ”


“ดั่งธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ เป็นธรรมที่ไม่มีกาลเวลา ผู้ส้องเสพซึ่งรสพระธรรมเมื่อใด ย่อมได้รับรสแห่งธรรมนั้นทุกเมื่อ นับเป็นธรรมของโลกโดยแท้”

กุศลธรรมเหล่าใด อันทำให้บุคคลเป็นเทพบุตร เทพธิดา เสวยทิพยสมบัติอยู่ กุศลธรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งที่สมควรนำมาทบทวน กระทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหลงลืมละเว้น เพราะเหตุแห่งทิพยสมบัติที่เสวยอยู่มาปิดบังอำพรางไว้

ทิพยสมบัติที่เสวยอยู่นี้ แท้จริงเป็นของเสื่อมได้ หมดได้ เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยเป็นเพียงโลกียสมบัติ เมื่อกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้หมดลง ความสุขอันนี้ก็จะกลายเป็นทุกข์หรือจะต้องไป

เกิดใหม่ตามภพภูมิ ตามกรรมดี กรรมชั่วของตน ที่ยังเหลืออยู่

ทิพยสมบัติมิใช่ตัวอัตตา ตัวตนที่เราท่านจะมายึดถีอหวงแหนเอาไว้ ด้วยเหตุนี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสย้ำเป็นคำสุดท้าย ก่อนที่พระองค์ท่านปรินิพพานว่า

“ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความไม่ประมาทนั้นคือ ควรระลึกถึงกุศลกรรมที่ตนได้กระทำมาดีแล้ว และพากเพียรกระทำต่อไปมิให้ขาดสาย”


เป็นส่วนหนึ่งที่หลวงปู่ท่านเคยนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอบรมให้เหล่าเทพและเทวดาฟังในป่าเขา เมื่อท่านถูกนิมนต์ให้เทศน์

คุณโยมเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลาย ผู้มีความปีติสุข ความอิ่มเอิบในทิพยสมบัติเป็นเครื่องอยู่ เป็นผู้นิราศแล้วจากทุกข์ทั้งปวง แม้กระนั้นคุณโยมก็มิได้อยู่บนความประมาท หลงอยู่ในทิพยสมบัติ มีจิตปรารถนาจะได้รับรสพระธรรม เป็นที่น่ายินดีอนุโมทนา ความปรารถนาในกุศลธรรมนั้นเป็นบุญที่ควรอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง

คุณโยมทั้งหลายที่เสวยทิพยสมบัติอยู่ จงพิจารณาให้ดี จะเห็นว่ายังเป็นโลกที่ไม่มีแก่นสาร อาจกล่าวได้ว่าเป็นโลกที่ไม่มีตัวตน เป็นแต่แสงสว่างแผ่ซ่านอยู่ อันเป็นโลกที่ละเอียดอ่อน ด้วย

อำนาจของจิตที่เป็นอกุศลธรรม ให้โยมปรากฏให้อาตมาได้เห็น ก็ด้วยอำนาจของจิตอธิษฐาน

“จิต” เป็นนามธรรม ไม่มีรูปที่จะประกอบกรรมดี หรือชั่วได้อย่างมนุษย์ แต่จิตก็สามารถบริจาคทาน เจริญสมาธิ รักษาศีล ได้เช่นกัน คุณโยมผู้เป็นเทพทั้งหลายพึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิตเจริญสมาธิ ได้เช่นกัน คุณโยมผู้เป็นเทพทั้งหลายพึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิตเจริญสมาธิ

การบริจาคทานด้วยจิต ก็คือให้ความกรุณา ให้ความเมตตา แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย นับได้ว่าเป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่

“ศีล” ก็ย่อมรักษาได้ด้วยจิต จิตของคุณโยมเป็นกุศลจิต จึงนับได้ว่า ได้รักษาศีลไว้โดยสมบูรณ์

“สมาธิ” ก็คือทำจิตให้ตั้งมั่น อะไรที่เป็นอุบายให้จิตตั้งมั่น? ก็คือการตามระลึกถึงอนุสติ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีนึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า เป็นต้น จิตภาวนาคำว่า พุทโธ ให้เป็น

อารมณ์จิตอยู่สม่ำเสมอต่อเนื่อง กุศลธรรมก็จะสูงขึ้นเป็นลำดับ

เมื่อคุณโยมผู้เป็นเทพได้ตระหนักชัดว่าความเป็นเทพนั้นยังเป็นโลกียสมบัติ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่คงทนถาวร เสื่อมได้ หมดได้ สิ้น

ไปได้ ก็จงอย่ามีความประมาท เวลาสวรรค์แม้แต่จะยาวนานกว่าโลกมนุษย์ถึงร้อยเท่า พันเท่า จะพ้นจากไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นไม่ได้ สิ่งสมมุติทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วย่อมดับ จงขวนขวายละสมบัติไปสู่ “วิมุตติ” เถิด จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายในวัฎสงสาร




หลวงปู่สี ท่านมิได้ติดยึดอยู่กับที่ ท่านจะธุดงค์แสวงหาความวิเวกไปยังสถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งโปรดเทพเทวา สรรพสัตว์และมนุษย์ ไปยังดินแดนต่าง ๆ อันเป็นการปฏิบัติตามครูบาอาจารย์แต่เดิมมา

การธุดงค์แสวงหาความวิเวกนั้น ครูบาอาจารย์แต่เดิมมา ท่านไม่ให้ติดที่อันเป็นสัปปายะ ดินแดนที่สุขสบาย จะต้องละจากไปเรื่อยๆ ลำบากบ้าง สบายบ้าง อดบ้าง ฉันบ้าง ไม่ยึด ไม่ให้ถือ ให้เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ ให้ระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป

“ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติ คือ ธรรม”

มองไปตามพื้นดินในป่าใหญ่ เราจะมองเห็นธรรมหล่นเกลื่อนกลาด ธรรมเหล่านั้นก็คือใบไม้แห้ง เป็นสิ่งที่แสดงสภาวธรรมให้เห็นถึงความเป็นอนิจจัง ใบไม้หลุดร่วงลงมาจากต้น แปรสภาพสลายกลายเป็นอื่นในที่สุด หรือไม่ก็รอการถูกเหยียบย่ำป่นปี้แหลกสลายกลายเป็นผง เป็นดินไปในที่สุด เมื่อเป็นดินแล้ว ต่อมาเมล็ดพันธุ์หล่นลงมา จากสูงมาต่ำ กลายเป็นฐานรองรับให้เมล็ดพันธุ์นั้นงอกงาม เป็นต้น เป็นใบเจริญเติบโต แตกกิ่งก้านสาขา ออกดอก ออกผล ผลิใบอ่อน เจริญไปตามกาล กลายเป็นใบแก่ จากเขียวเป็นเหลือง แล้วก็หลุดร่วงลงมา หมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่เช่นนี้

ยามใดที่เงยหน้ามองขึ้นไปเบื้องบน ก็จะพบใบไม้บนต้น ยังมีมากมายเป็นแสนเป็นล้านๆ ใบ พระพุทธเจ้าพระองค์จึงรับสั่งแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปว่า ธรรมที่พระองค์ได้แสดงมาแล้ว เป็นเพียงใบไม้แห้งเพียง ๑ กำมือเท่านั้น ส่วนธรรมที่ยังมิได้แสดง ตลอดอายุของพระองค์ ยังมีมากดุจดังใบไม้ในป่า


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 11:18, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled4.jpg
untitled4.jpg [ 118.25 KiB | เปิดดู 21706 ครั้ง ]
โปรดญาติโยม

หลวงปู่ลี ฉนฺทสิริ นอกจากท่านจะอบรมสั่งสอนธรรมกับชาวบ้านตามที่ทุรกันดาร ตามป่าดงพงเขาเป็นกลุ่มชนที่ห่างไกลความเจริญซึ่งมีพระน้อยรูปที่จะเข้าไปอบรมสั่งสอน เพราะผู้คนนักบวชส่วนใหญ่ชอบที่จะอยู่ในถิ่นที่มีความเจริญทางวัตถุมากกว่า นอกจากชาวบ้านทุ่ง ชาวบ้านป่าก็พวกเทพเทวาอารักษ์ และพระเณร ผู้ปฏิบัติธรรม หลวงปู่ท่านมีอุบายธรรมในการอบรมสั่งสอนอย่างลึกซึ้ง ท่านจะยกพระพุทธองค์ พระธรรมของพระพุทธองค์เป็นคำสอน เป็นผู้สืบทอดต่อ เช่น การอบรมพระเณรในเรื่องการเดินบิณฑบาต พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนให้เดินบิณฑบาต เดินจงกรม เดินธุดงค์ เป็นการรักษาสุขภาพร่างกายทำให้ไม่เมื่อยขบ ไม่หนาว เวลาเดิน ท่านให้เดินอย่างสำรวม เดินอย่างมีสติ เอาจิตจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เวลาเดินจะแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ หรือไม่ก็ภาวนามนต์บทใดบทหนึ่ง อย่างเช่น “สัมมาอะระหัง หรือ พุทโธ”

เวลาเข้าไปรับบาตร ก็ให้มองพิจารณาลงในบาตร เพื่อมิให้ตาสอดส่าย เพื่อมิให้จิตปรุงแต่ง การคิดปรุงแต่งย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต ถ้าตาไปเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส แม้ไม่ได้สัมผัส จิตมันก็ปรุงแต่งจากสัญญาขึ้นมาได้

เมื่อสัมผัสแล้วทำอย่างไร?

เมื่อจิตเกิดปรุงแต่งท่านก็ให้พิจารณาถึงสิ่งตรงกันข้ามเสีย ความสวยในที่สุดมันก็ไม่สวยได้ ยามชราเนื้อหนังมังสามันก็เหี่ยวย่น ยามตายผิวมันก็จะบวมฉุ แตกปริเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็น

มันจะสวยไหม? ท่านบอกไว้ทุกอย่างทุกทาง แม้กระนั้นเจ้าความอยากในกามคุณมันก็ยังเล็ดลอดออกไปได้

ท่านก็สอนให้มีสติ คอยระวังรักษาจิต คอยรู้เท่าทันอารมณ์กิเลส

คำสอนของพระองค์ แม้จะประเสริฐยอดเยี่ยมอย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้วก็ยากที่จะพ้นทุกข์ได้ ถึงเราจะประกอบงานอาชีพอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ทำด้วยตนเอง อาศัยจมูกคนอื่นหายใจคอยให้เขาทำให้ ก็จะไม่เกิดผลแก่ตน ธรรมปฏิบัติที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ เราต้องรู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง จึงจะเกิดปัญญารู้แจ้งถึงทางพ้นทุกข์นั้น การตอบแทนคุณท่านก็คือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์

ผู้มีบุญวาสนาได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ ได้ฟังธรรมจากหลวงปู่ ต่างก็เกิดความปีติซาบซึ้งในรสพระธรรมคาสั่งสอน และทุกคนก็จะได้ยินคำสอนของหลวงปู่ที่พยายามกล่าวย้ำให้ทุกคนหมั่นปฏิบัติธรรม ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม “ความดีสิคงทน แต่ความจนสิอยู่นาน”

คติธรรมของหลวงปู่ที่ว่า “ความดีสิคงทน” นั่นก็หมายความว่า ให้ทุกคนสร้างแต่ความดี เพราะความดีเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ทั้งปัจจุบันและอนาคต ส่วนคำที่ว่า “ความจนสิอยู่นาน” นั่น ท่านหมายถึงคนที่จนปัญญา ไม่รู้จักแสวงหาใส่ตัวก็เป็นคนจนตลอดไป

นอกจากธรรมะอันเป็นของวิเศษ ที่ให้แก่สานุศิษย์ ทั้งเพศบรรพชิต และฆราวาส ที่ไปกราบหาท่าน พวกลูกศิษย์ใกล้ชิดต่างทราบดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของหลวงปู่ล้วนเป็นของศักดิ์สิทธิ์ควรแก่การจดจำและเก็บรักษา

เทวดาบอกเหตุ

คืนวันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่สีนั่งบำเพ็ญสมาธิภาวนาอยู่นั้น เป็นเวลาดึกสงัดประมาณกว่าสองยามเห็นจะได้ จิตของท่านอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิคือ สมาธิอย่างอ่อนๆ กำลังพิจารณาสังขารธรรมอยู่อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ ไม่ลดละความเพียร พลันทันใดก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นในห้วงสมาธิ มีชายผู้หนึ่งนุ่งขาว ห่มขาว ได้เดินเข้ามาคุกเข่าก้มลงกราบท่านแล้วพูดว่า

“นิมนต์หลวงพ่อย้ายกลดขึ้นไปอยู่บนเขาเสียเถิด ด้วยคืนนี้จะมีน้ำป่าพัดผ่านมาที่นี่ หลวงพ่อจะเป็นอันตรายถึงชีวิต”

แล้วภาพนิมิตของเทวดาผู้นั้นก็หายไป หลวงปู่สีท่านจึงอธิษฐานจิตบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เพื่อขอตรวจดูเหตุการณ์ด้วยทิพยจักษุญาณ พลันก็พบว่า

ไกลออกไปทางเหนือ ฝนกำลังตกหนักมืดครึ้ม มีพายุและฟ้าแลบน่ากลัวมาก เห็นน้ำป่ากำลังทะลักทลายลงมาจากภูเขา พัดพาถล่มต้นไม้ในป่าเสียงดังกึกก้องไปหมด น่ากลัวมาก กระแสนำป่านั้นกำลังพัดมาทางจุดที่ท่านกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่อย่างรุนแรง

หลวงปู่สีรู้สึกประหลาดใจระคนสงสัย จึงถอยจิตออกจากสมาธิลืมตาขึ้นดู พบว่าบริเวณหุบเขาที่ท่านพักอยู่ แสงเดือนหงายยังแจ่มจรัส อากาศก็เย็นสบายปลอดโปร่งรื่นรมย์ไม่มีเค้าเมฆฝนอยู่ในท้องฟ้าเลย

แต่เหตุการณ์ผ่านไปสักชั่วอึดใจใหญ่ ทันใดนั้น ท่านก็ได้ยินเสียงอื้ออึงดังมาจากเบื้องทิศเหนือ เสียงนั้นน่ากลัวมาก คล้ายเสียงรถไฟหลายขบวนวิ่งแข่งกันเข้ามาในป่าไม่มีผิด ทำให้ท่านแน่ใจทันทีว่า โอปปาติกะ เทพเทวาปรากฏกายเข้ามาแจ้งเหตุในนิมิตนั้น บอกกล่าวเป็นความจริง และทิพยจักษุญาณของท่านก็เห็นภาพแน่ชัดไม่ใช่ภาพหลอนหลอกแต่อย่างใด เสียงอื้ออึงนั้นเป็นเสียงน้ำป่าห่าใหญ่เกาลงพัดมาอย่างรวดเร็ว รุนแรงมากอย่างแน่นอน

นี่คือภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล ไม่มีใครจะไปห้ามมันได้ เราผู้เป็นสมณะผู้บำเพ็ญธรรมไม่บังควรจะกีดขวางธรรมชาติ

รำพึงเช่นนี้แล้ว ท่านก็ถอนกลดจัดแจงย้ายขึ้นไปอยู่บนเขาสูงให้พ้นอันตราย แต่หาได้ตื่นกลัวแต่อย่างใดไม่

พอแบกกลดใส่ป่าข้างหนึ่งสะพายบาตรอีกข้างแล้ว ท่านก็ออกเดินจะขึ้นเขาไป กระทำจิตให้มั่นคงภาวนาไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอะไร เพราะเสียงน้ำป่าอื้ออึงนั้นยังอยู่ไกล คงไม่มาถึงตัวท่านรวดเร็วแน่ เดินภาวนาไปสักครู่ก็ขึ้นเขาสูง

ท่านมองลงมาจากหน้าผา เห็นกระแสน้ำมหึมาไหลกรากท่วมต้นไม้ใบหญ้าบริเวณที่ท่านนั่งภาวนาอยู่ในหุบเขานั้น กลายเป็นทะเลสาบไปหมดในพริบตา ช่างอัศจรรย์ใจในธรรมชาติที่งดงามแต่ฝังแฝงด้วยภยันตรายนานัปการ

พอรุ่งเช้าน้ำป่านั้นก็หายวับไปกับตา นี่แหละธรรมชาติของน้ำป่ามาเร็วหายไปเร็ว และเป็นภยันตรายร้ายแรงน่ากลัวยิ่งนัก หลวงปู่สีนับว่ามีบุญญาภิสมภารสูงถึงรอดตายมาได้ในครั้งนี้ จะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาช่วยชีวิตไว้ก็ให้น่าสงสัยมาก

ป่าหลวงพระบาง

จากพม่า หลวงปู่สีท่านก็ข้ามแม่น้ำโขง จาริกธุดงค์ไปยังหลวงพระบาง รอนแรมบุกป่าฝ่าดงอันหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ และขวากหนาม เส้นทางทุรกันดารยากลำบาก วกไปเวียนมา มองไปทางไหนมีแต่ป่าแต่เขาสูงใหญ่ จนอ่อนล้าเพราะหลงทิศทาง เดินไปทั้งวันก็วกกลับมาที่เดิม ไม่น่าเชื่อ สัตว์ตัวกระจ้อยร่อยประเภทดูดเลือด เช่น ฝูงทากก็มากมาย คอยรบกวนให้ได้รับความรำคาญอยู่ตลอดเวลา ตะวันยอแสงฉาบสีทองเอิบอาบขุนเขาสูงใหญ่เบื้องหน้า เป็นภาพสวยงามตระการตาราวกับมณีวิเศษอันมีสีต่าง ๆ

ท่านรู้สึกชื่นชมกับธรรมชาติในยามใกล้สนธยาเบื้องหน้า จึงรุดตรงไปยังเชิงเขา เพื่อจะยึดเอาเขาลูกนี้เป็นที่พักแรมคืน ภูมิภาพอันสวยงามเบื้องหน้า เงาหมู่ไม้อันทอดยาว แสงสะท้อนจากกลุ่มเมฆสีขาวสลับซับซ้อนเบื้องบนเป็นสีระยับวะวับวาว ทำให้หุบเขาแห่งนั้นหลายเป็นสีรุ้ง ดั่งว่าเนรมิตไว้ฉะนั้น

ค่ำวันนั้น หลวงปู่สีท่านได้หยุดปักกลดที่เชิงเขาในคูหาถ้ำอันกว้างขวางสะอาดสะอ้านคล้ายมีคนมาคอยปัดกวาดไว้เป็นประจำ ที่ใกล้ๆ มีลำน้ำใสไหลเย็นไหลผ่าน.

หลังจากลงไปสรงน้ำในลำธารเป็นที่ชุ่มชื่นเย็นกายเย็นใจแล้ว ท่านก็กลับเข้ามาในถ้ำนั่งพักผ่อนอยู่พักหนึ่ง ต่อจากนั้นจึงได้นั่งสมาธิภาวนาด้วย “พุทโธ” เป็นวัตถุปกติเสมอมา แสงเดือนกระจ่างนวลใสสาดเข้ามาในถ้ำ กระแสลมที่พัดอยู่รวยรินทำให้สดชื่นเย็นสบายใจ บรรยากาศภูมิประเทศก็เงียบสงัดวิเวก เหมาะสำหรับบำเพ็ญสมณธรรมพิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ ด้วยประการทั้งปวง

เวลาผ่านไปอย่างสม่ำเสมอ ท่านจึงถอนจิตจากสมาธิเปลี่ยนมาเป็นเดินจงกรมที่บริเวณหน้าถ้ำ ท่ามกลางแสงเดือนกระจ่างสว่างพราวเหมือนกลางวัน

ผจญเสือโคร่ง

มีเสียงกระหึ่มร้องดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เสียงร้องรับกันทางโน้นที ทางนี้ที แสดงว่ามีเสือออกหากินในยามราตรี เสียงร้องของมันทำให้ป่าที่วังเวงด้วยเสียงจักจั่นเรไรที่ร้องระงม เงียบเสียงไปหมดสิ้น ดั่งต้องมนต์อาถรรพณ์

หลวงปู่สีมิได้สนใจ ไม่ได้นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด ถือว่าสัตว์ป่าออกหากินไปตามประสาของมัน ท่านคงเดินจงกรมไปตามปกติ ด้วยอิริยาบถสม่ำเสมอ มี “มหาสติปัฏฐาน” เป็นหลักคอยควบคุมกายและใจอยู่ตลอดเวลา ไม่วอกแวก

เสียงเสือขานรับกันคำรามใกล้เข้ามาทุกที แล้วในที่สุดเสียงกระหึ่มร้องนั้นก็เงียบหายไป

ท่านเดินจงกรมกลับไปกลับมาอยู่พักใหญ่ รู้สึกเฉลียวใจว่ามีอะไรผิดปกติข้างทางเดินจงกรมจึงชำเลืองมองไป

พลันก็ได้เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่มาก ตัวใหญ่เกือบเท่าม้าล่ำพีมีจำนวน ๒ ตัว กำลังจ้องมองดูท่านอยู่อย่างเงียบๆ ท่านรู้สึกสงสัยว่า มันมายืนจ้องมองท่านอยู่เช่นนี้เพี่อต้องการอะไรหนอ? ถ้ามันต้องการจะจับตะครุบท่านกินเป็นภักษาหาร มันน่าจะทำลงไปแล้ว ไม่น่าจะพากันจ้องมองไม่กระดุกกระดิกเช่นนี้เลย ดูๆ ไปแล้วก็น่ารักน่าสงสาร สวยงามสง่า ในจิตใจของท่านมีแต่เมตตา

พอท่านคิดเช่นนี้ พลันทันใดเสือใหญ่ทั้ง ๒ ตัว ก็ส่งเสียงคำรามร้องกระหึ่มขึ้นมาพร้อมๆ กัน ดังสนั่นหวั่นไหวไปหมดจนแก้วหูอื้อ เมื่อได้ยินเสียงคำรามขึ้นพร้อมๆ กันเช่นนั้น ท่านก็คิดในใจว่า ชะรอยพวกมันคงจะพูดบอกความในใจกับท่านอันเป็นภาษาของมันละกระมัง พอท่านคิดเช่นนั้นมันก็พามันร้องสนั่นขึ้นมาอีก จนสะเทือนไปทั้งป่า

หลวงปู่สีคงเดินจงกรมผ่านหน้ามันไปมาเป็นปกติ มันก็ไม่ทำอะไรได้แต่จ้องมองตามอิริยาบถเคลื่อนไหวของท่านอย่างเงียบ ๆ อยู่เป็นเวลานาน แล้วพวกมันก็พามันถอยห่างเดินหนีหายไปในป่า คงทิ้งไว้แต่ความเงียบสงัดดุจดังเดิม


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 11:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 88.15 KiB | เปิดดู 21700 ครั้ง ]
บรรลุธรรม

หลวงปู่สีเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ภาคเหนือ พม่า-หลวงพระบาง และธุดงค์ลัดเลาะข้ามลำแม่น้ำโขง ตัดเข้าภาคอีสานของประเทศไทย เป็นเวลานานถึง ๙ ปี ตลอดเวลา ๙ ปี ท่านจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ นับไม่ถ้วน หลังจากท่านบรรลุธรรมวิเศษ จึงปรากฏว่าค่อยมีพระลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้น

พระลูกศิษย์ทั้งหลายที่บุกบั่นรอนแรมเข้าป่าดงไปหาหลวงปู่สี ท่านจะให้อยู่กับท่านไม่นานนัก แล้วท่านก็จะสั่งให้แยกย้ายกันออกหาที่วิเวกตามที่ต่างๆ เพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนามุ่งทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

ท่านให้พักตามถ้ำบ้าง ตามชายเขาและยอดเขาบ้าง การขบฉัน อาหารก็ให้ออกบิณฑบาตไปตามหมู่บ้านชาวป่าชาวเขา บางครั้ง ๗ - ๘ วันถึงได้ออกบิณฑบาตกัน เพราะมัวแต่เพลิดเพลินเจริญในสมาธิวิปัสสนาจนลืมเวล่ำเวลา ลืมคืนลืมวัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าหิวโหยอ่อนเพลียเจ็บไข้ได้ป่วยกันแต่อย่างไร เพราะจิตสงเคราะห์มีความสุข ชุ่มชื่นเย็นใจ เย็นกาย ด้วยอำนาจบารมีธรรม

มีพระลูกศิษย์ของท่านบางองค์มีอำนาจจิตแก่กล้า บุญญาบารมีสูง ทรงอภิญญา ๖ สามารถทรงตัวอยู่ในสมาธิวิปัสสนาได้เป็นเวลานานถึง ๓ เดือน ก็มี โดยที่ไม่ขบฉันอาหารเลย นอกจากฉันแต่น้ำอย่างเดียวนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์

พระธุดงค์กรรมฐานศิษย์หลวงปู่สี ล้วนเป็นผู้เด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก เที่ยวแสวงหาธรรมกันในป่าในเขาถิ่นอันตรายแบบเอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ ไม่อาลัยชีวิตยิ่งกว่าธรรม ที่ใดมีเสือ มีอำนาจป่าเร้นลับ น่าสะพรึงกลัว หลวงปู่สีจะสั่งให้พระไปอยู่ที่นั่น เพราะเป็นสถานที่ช่วยกระตุ้นเตือนสติปัญญามิให้นิ่งนอนใจ ความเพียรก็จำต้องติดต่อกันไปเอง และเป็นเครื่องหนุนใจให้มีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น ท่านเองก็บาเพ็ญสุขวิหารธรรมอยู่โดดเดี่ยว ในป่าในเขาอันชุกชุมด้วยสัตว์ร้ายสงัดเงียบปราศจากผู้คนทั้งกลางวัน กลางคืน

การติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม พญานาค และภูตผีที่มาจากที่ต่างๆ ท่านถือเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นเรื่องมีจริง เป็นเรื่องลี้ลับพิสดารที่พระธุดงค์กรรมฐานเท่านั้นจะพานพบรู้เห็นได้ เหลือวิสัยที่จะพูดที่จะอธิบายให้ปุถุชนชาวบ้านเข้าใจได้ เพราะปุถุชนชาวบ้านทั่วไปมีความช่างสงสัย เป็นนิสัย

ชาวบ้านศึกษาเรียนรู้ ช่างจด ช่างจำ ช่างสงสัย หมายรู้เอาด้วยทางวัตถุสิ่งมีตัวตนจับต้องได้.มองเห็นได้ แต่ทางพระ ศึกษาเรียนรู้ทางจิตที่ไม่ใช่วัตถุ การรู้เห็นทางจิตจึงเป็นอาจรู้ด้วยสติปัญญานามธรรม ดังนั้นการเห็นการรู้ของพระและของชาวบ้านจึงแตกต่างกัน




หลวงปู่สีท่านมีการติดต่อกับพวกกายทิพย์จากโลกวิญญาณ เช่นเดียวกับมนุษย์ติดต่อไปมาหาสู่กันกับพวกมนุษย์ชาติต่างๆ ที่รู้ภาษากันนั่นเอง เพราะท่านชำนิชำนาญในทางนี้มานานแล้ว

การพบเห็นพวกวิญญาณของท่าน ไม่ใช่สิ่งลวงตาลวงใจ หรือเป็นเพียงภาพมายา หากเป็นเรื่องจริงที่ท่านพิสูจน์เห็นแท้แน่นอนในทุกแง่ทุกมุมไม่ผิดพลาด

ท่านพักอยู่ในป่าในเขา โดยมากก็ได้ทำประโยชน์ไปรดสัตว์ อบรมสั่งสอนข้ออรรถธรรมแก่พวกกายทิพย์ แต่ละภูมิแต่ละชั้น ตามภูมิปัญญาแต่ละชั้น ให้พวกเขาได้ซาบซึ้งในอรรถธรรม

พวกชาวป่าชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่นอีอ้อ ขมุ มูเซอ แม้ว เย้า เหล่านี้นับถือผีสางนางไม้ หลวงปู่สีได้แผ่ธรรมะเข้าไปถึงชีวิตจิตใจพวกเขา ทำให้พวกเขาเคารพเลื่อมใสท่านมาก ทั้งทำให้ชาวป่าชาวเขาเป็นคนดีมีสัตย์ มีศีล หันมานับถือพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




showimage.jpg
showimage.jpg [ 42.48 KiB | เปิดดู 21698 ครั้ง ]
.jpg
.jpg [ 42.48 KiB | เปิดดู 21696 ครั้ง ]
20090217203123_luangpubudda.jpg
20090217203123_luangpubudda.jpg [ 34.68 KiB | เปิดดู 21694 ครั้ง ]
พบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ป่าหลวงพระบาง



เมื่อคราวที่หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ เดินธุดงค์อยู่ในป่าหลวงพระบาง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๘ ได้พบกับพระภิกษุมั่น ภูริทัตโต เดินธุดงค์ในป่าหลวงพระบาง พระภิกษุลีและพระภิกษุมั่น ได้พบกันและร่วมเดินธุดงค์ด้วยกัน ยามพักผ่อนก็สนทนาธรรมกัน

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พรรษาอ่อนกว่าหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ๖ พรรษา หลวงปู่สี อุปสมบทเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อุปสมบท พ.ศ. ๒๔๓๖ ส่วนอายุ อ่อนกว่าหลวงปู่สี ๒๑ ปี หลวงปู่มั่น ชาตะ วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๑๓

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ชาตะ วันอังคาร เดือน ๕ ปีระกา ตรงกับวันอังคารที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๓๙๒

พระอาจารย์ทั้งสองถึงจะอายุต่างกัน แต่มีปฏิปทาในการปฏิบัติ มุ่งมั่นในพระพุทธศาสนา จากวัยที่ต่างกัน หลวงปู่มั่นจึงให้การเคารพหลวงปู่สี เรียกหลวงปู่สีว่า ”หลวงพี่”

ในขณะที่ร่วมเดินธุดงค์ ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า ไม่เฉพาะแต่พระอาจารย์มั่นเท่านั้น ในขณะที่หลวงปู่ปฏิบัติธรรมอยู่ในดง ในป่า หลวงปู่สีท่านได้พบพระที่ชอบปฏิบัติอยู่ตามป่าดงอีกหลายรูปด้วยกัน แต่หากไม่มีใครถาม ท่านก็จะไม่พูดไม่เล่าให้ฟัง เพราะหลวงปู่ท่านเป็นพระพูดน้อย สำรวม มุ่งแต่ปฏิบัติธรรมเป็นชีวิต



ทราบจากคำบอกเล่าของหลวงปู่บุดดา ถาวโร (อายุ ๑๐๑ ปี) เมื่อคราวนวดให้ท่านตอนท่านอายุได้ ๙๙ ปี


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 11:36, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 88.15 KiB | เปิดดู 21686 ครั้ง ]
กลับสู่บ้านเกิด

ปีพุทธศักราช ๒๕๐ หลวงปู่ธุดงค์กลับมายังบ้านหมกเต่า บะฮี ตำบลเบิด อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิด และจำพรรษาอยู่ที่วัดอิสานหมกเต่า

หลวงปู่กลับสู่บ้านเกิดของท่านอย่างพระเถระผู้รุ่งเรืองด้วยบารมีธรรม นับจากบรรพชาหลวงปู่สีท่านก็ได้ผ่านช่วงของการฝึกฝนอบรมตนเองอย่างเข้มข้น ตามปฏิปทาทางดำเนินของพระธุดงค์กรรมฐานอย่างแท้จริงเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี

หลวงปู่สีท่านเป็นผู้มีบุญบารมี มีวาสนาที่ได้มีโอกาสได้รับการวางพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมจากท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ธนบุรี ตั้งแต่สมัยที่ท่านเป็นเด็กวัดรับใช้สมเด็จฯ และบวชเป็นสามเณร อยู่นานถึง ๙ ปี และติดตามอาจารย์อินทร์ ธุดงค์อยู่ป่าอีกหลายปี หลวงปู่สีจึงมีพื้นญาณที่แข็งแกร่ง มั่นคงในทางธรรม จวบกับท่านได้มีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตหลายรูปแบบ ทั้งพรานป่า พ่อค้า ข้าราชการ ทหารกล้า อาสาศึก ตำรวจหลวงในสมัย รัชกาลที่ ๕ จวบจนท่านมาบรรพชาเป็นพระมุ่งปฏิบัติธรรมตามป่าดง มุ่งแสวงหาธรรมในป่าเขา มิได้เป็นอยู่สบายเช่นพระเมือง

หลวงปู่สี ท่านได้กลับมาโปรดโยมพ่อ โยมแม่ของท่าน และญาติพี่น้องด้วยกตัญญูและเมตตาธรรม

อาจารย์ประสงค์ ดีนาน อดีตอาจารย์ใหญ่ และเป็นหลานชายแท้ๆ ของหลวงปู่สี ได้เล่าว่า

วันหนึ่งมีคณะมาสำรวจประวัติของพระภิกษุในวัดต่างๆ อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้สำรวจถามหลวงปู่ถึงชื่อ และฉายา หลวงปู่บอกว่าชื่อ “ลี” นามฉายา “จันทสิริ”. (คำของภาษาท้องถิ่น) นั่นคือหลวงปู่ชื่อ “ลี จันทสิริ” แต่ต่อมาเมื่อท่านมาจำพรรษาอยู่ที่ตาคลีนครสวรรค์ คนทางตาคลีเรียกชื่อท่านเพื้ยนไปว่า หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ เป็นพระผู้มักน้อย สันโดษ พูดน้อย ฉันน้อย แต่ทำมาก คือใช้เวลาส่วนใหญ่ในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน สมถวิปัสสนา ทุกอิริยาบถ ๔ ท่านมุ่งมั่นในการฝึกฝน อบรมจิตด้วยสมาธิภาวนา โดยเพ่งกสิณเป็นอาจิณ ยกระดับจิตให้พ้นตัณหาโอฆะทั้งปวง มุ่งความสะอาด สงบ สว่างแห่งจิต เป็นจุดหมายสำคัญ ปฏิบัติเพี่อหลุดพ้น ตามแนวทางที่พระบรมครูสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้แนะไว้ (กักขาตาโร ตถาคตา)

หลวงปู่สีท่านรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานที่และของบริหารเครื่องใช้ต่างๆ เป็นอย่างมาก หลวงปู่จะเช็ดถูกุฏิน้อยของท่านด้วยผ้าขี้ริ้วที่สะอาดอยู่เสมอ เช็ดถูจนพื้นขึ้นมันเป็นเงา ท่านจะปัดกวาดใต้ถุนกุฏิน้อย และบริเวณข้างเคียงเป็นประจำ จึงดูสะอาดตาโล่งเตียน และยังได้การบริหารกายคลายเมื่อยขบอีกด้วย

เรื่องความสะอาดนี้อาจารย์สุพจน์ ผู้อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่สีได้เล่าเน้นให้ฟังอีกเช่นกัน

สบง จีวร เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องใช้ต่างๆ ของหลวงปู่สีจะดูสะอาดตาอย่างมาก ในการซักผ้านั้น ท่านไม่ให้ใช้สบู่ (สมัยโน้นมีสบู่กรด สบู่ซันไลต์) เป็นอันขาด ท่านจะใช้ต้มซักหรือซักด้วยน้ำร้อนเท่านั้น เมื่อซักแล้วท่านไม่ค่อยชอบย้อม สีจึงซีดแต่ดูสะอาดตามาก ถ้าจะพึงย้อมผ้า หลวงปู่ก็ให้ยอมด้วยน้ำต้มแก่นขนุน ตามอย่างโบราณของผ้าอาสาวะ

ตามปกติหลวงปู่สีจะปลงผมทุกวันโกน กลางเดือนและสิ้นเดือน ท่านจะปลงผมด้วยตนเอง โดยไม่ส่องกระจกเงา และปลงผมได้เกลี้ยงเกลาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

พระปัจจุบันที่เห็นปลงผมด้วยตนเองก็มีอย่างเช่นครูบาสร้อย อยู่ที่ท่าสองยาง แม่ตะวอ จังหวัดตาก ติดชายแดนพม่า

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ (ลี จนฺทสิริ) ไม่ฉันเนื้อวัว เนื้อควายเป็นอันขาด ด้วยวัวควายเป็นสัตว์ที่มีคุณต่อมนุษย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ท่านหลวงปู่เป็นผู้ที่สำรวมระวังในอาหารการขบฉันตามแบบอย่างของสมณะ อาหารง่าย ๆ ที่ท่านชอบฉัน เมื่ออยู่ที่วัดอิสานหมกเต่า คือข้าวสุกคลุกด้วยกากกะทิที่เคี่ยวเอาน้ำมันมะพร้าวแล้ว และท่านมักแบ่งให้แจกแก่เด็กนักเรียนช่วงพักกลางวัน (เพล) ด้วย

สมัยนั้นยังไม่มีน้ำมันก๊าดใช้เพื่อให้แสงสว่าง จึงต้องใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวเอาเอง สำหรับน้ำที่ใช้ฉันนั้น ท่านหลวงปู่จะฉันน้ำต้มสุกทุกเวลา ถ้าต้มไม่สุกท่านจะไม่ฉันด้วย ส่วนมากจะเป็นน้ำใบชา น้ำมะตูม น้ำใบกะเพรา น้ำใบเตย รวมทั้งน้ำต้มพืชสมุนไพร ยาสมุนไพรด้วย

หลวงปู่สีท่านไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่ ท่านขออยู่ด้วยความวิเวกเงียบสงัด ให้เหมาะแก่การปฏิบัติเพื่อสลัดตัดเสียซึ่งบ่วงแห่งตัณหาทั้งปวง เมื่ออยู่ที่วัดอิสานหมกเต่า ท่านก็เป็น “ครูบาใหญ่” เท่านั้น ไม่รับตำแหน่งเจ้าอาวาส และไม่ว่าจะอยู่ที่วัดไหนๆ ด้วย

โดยปกติหลวงปู่ท่านจะแยกตัวไปอยู่กุฏิน้อยเพียงรูปเดียว “กุฏิน้อย” ของหลวงปู่สีนั้น ท่านจะให้ยกขึ้นแบบง่ายๆ เป็นการชั่วคราว มีความกว้างยาวพอประมาณ ยกพื้นเตี้ยๆ มีบันไดไม่เกิน ๓ ขั้น แบ่งพื้นเป็น ๒ ระดับ เรียกกันว่าพักล่าง/พักบน พักบนเป็นที่ปฏิบัติกรรมฐาน สมาธิภาวนา จำวัด พักล่างเป็นที่นั่งปกติ ที่ฉัน และทำกิจบางอย่าง ถ้ามีพระเณรญาติโยมไปเยี่ยมไปหา ก็จะนั่งได้เพียงคราวละ ๒-๓ ท่านเท่านั้น

หลวงปู่สีมีวิธีป้องปรามเด็กๆ ส่งเสียงดังในบริเวณวัด ด้วยการใช้หน้าไม้ชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “หน้าถุน” ท่านจะให้ใช้ดินเหนียวคลึงให้กลม ขนาดเท่าผลพุทราเขื่องๆ ตากให้แห้งเก็บไว้ใช้เป็นลูกหน้าถุน ถ้ามีพวกเด็กๆ ส่งเสียงดังให้รำคาญหู แม้จะอยู่ห่างกุฏิน้อย หลวงปู่ก็จะยิงด้วยหน้าถุน ให้ถูกกิ่งไม้ใกล้ๆ เด็ก จนลูกดินเหนียวแตกกระจาย.เด็กๆ จะเงียบกริบทีเดียว ท่านไม่ใช้ปากปรามเด็กๆ อันเป็นการส่งเสียงดังเสียเอง และเป็นการระวังปาก ระวังเสียงของท่าน

เหตุที่หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ชอบอยู่ที่กุฏิน้อยตามลำพังนั่นเอง ในการปฏิบัติธรรมกรรมฐานสมาธิภาวนา ธุดงค์จาริกอันเป็นอุบายกำราบ ลด ละกิเลสทั้งปวง. จึงสรุปเอาเองว่า ท่านหลวงปู่สีเป็นพระที่ไม่เข้าหมู่เข้าพวก ไปอยู่วัดไหน ก็ให้ยกกุฏิน้อยให้อยู่องค์เดียว ฉันองค์เดียว พอออกพรรษาก็มักจะหนีไปเที่ยวในที่ต่างๆ ไปๆ มาๆ อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่แน่นอน ญาติโยมนิมนต์ไปงานบุญในละแวกบ้านก็มักจะไม่ไป และที่มองว่าหลวงปู่สีเป็นพระตระหนี่ เห็นแก่ตัวก็มีด้วย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่เอื้อให้หลวงปู่ท่านได้อยู่ตามลำพังอย่างสงบเงียบไม่วุ่นวาย เสมือนพระสิทธัตถะได้โอกาสอยู่ลำพัง พระองค์จึงตรัสรู้ได้ เพราะเหตุที่พระเบญจวัคคีย์ฤๅษี พากันหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั่นเทียว

ท่านหลวงปู่สีเองก็ไม่เคยอวดตัว ไม่บอกให้รู้ด้วยซ้ำว่าท่านกำลังทำอะไร? กำลังปฏิบัติอะไร? เพื่ออะไร? อันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกหลานและญาติโยมทางบ้านเดิมไม่ได้สนใจท่าน ไม่ได้ติดตามถามถึงท่านเท่าที่ควร จะมีก็เพียงในฐานะเป็นญาติใกล้ชิดเท่านั้น

จึงเป็นเสมือนใกล้เกลือกินด่าง ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมบุญบารมีธรรม เมตตาธรรม จากท่านหลวงปู่สี ในเมื่อท่านเข้าสู่ความเป็นผู้พ้นโลกแล้ว

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ภาพถ่ายสุดท้ายที่หลวงปู่ ให้หลานชายเป็น “พระทองคำ”


เมื่อปี ๒๕๐๓ ขณะที่หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ยังอยู่ที่กุฏิน้อยวัดอิสานหมกเต่า พ่อจารย์อ๋อม ดำริห์ หรือ บุญมี แห่งบ้านหนองกระทุง หลานผู้เป็นลูกชายน้องสาวคนที่ ๒ ของท่านหลวงปู่ฝันไปว่า หลวงปู่นำพระพุทธรูปทองคำมาให้ถึงที่บ้าน พ่อจารย์อ๋อมดีใจมากที่ได้พระทองคำ แต่พอตื่นจากหลับก็ไม่เห็นได้ดังฝัน

เมื่อใคร่ครวญดูก็รู้แก่ใจว่า หลวงปู่สีจะให้ภาพถ่ายของท่านแก่ลูกหลานในคราวนี้อย่างแน่นอน พ่อจารย์จึงไปว่าจ้างช่างภาพจากบ้านหนองหลวง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหนองกระทุง ให้ไปถ่ายรูปหลวงปู่สีไว้ให้ (แทนพระทองคำ) โดยพ่อจารย์เป็นผู้นำไป เมื่อได้กราบนมัสการและแจ้งความประสงค์ต่อหลวงปู่แล้ว ก็ขออนุญาตถ่ายภาพท่านไว้ (ถ้าท่านหลวงปู่ไม่อนุญาตจะถ่ายไม่ติด และบางทีกล้องถ่ายรูปก็เสีย/แตกด้วย) หลวงปู่ถามหลานชายว่า

“กล้องดีไหม จะถ่ายติดหรือ”

พ่อจารย์ก็ตอบว่า “ต้องติดแหละครับ เพราะได้ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”

หลวงปู่บอกว่า “ถ้าจะเอาจริงๆ ก็ให้ท่านปลงกรรมฐานเสียก่อนจึงจะถ่ายได้”

แล้วหลวงปู่ก็เข้ากุฏิน้อยปลงกรรมฐาน จึงครองผ้าลดไหล่ใส่สังฆาฏิ ออกมานั่งบนเตียงอุปโป (อุโบสถ-ธรรมาสน์ปาติโมกข์) ให้ช่างภาพคนนั้นถ่ายรูปท่าน นับเป็นภาพถ่ายล่าสุดที่ลูกหลานทางบ้านเดิมได้ไว้ เพราะหลังจากนั้นอีก ๒-๓ ปี หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ก็ไปจำพรรษาที่วัดบ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (หนองบัวลำภูปัจจุบัน) และนานๆ ท่านจะกลับมารัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ สักคราวหนึ่ง

เจัาปู่เขาภูเกศา ก็เคารพเชื่อฟังหลวงปู่สี

บ้านหนองลุมพุก อำเภอโนนสัง อยู่ห่างจากเขาภูเกศาแค่ไปหาของป่าเช้า/เย็นกลับ ไม่พอเหนื่อย ชาวบ้านหนองลุมพุกเคารพนับถือเจ้าปู่ภูเกศามาก และติดข้างกลัวอำนาจลึกลับของเจ้าปู่มากกว่าอย่างอื่น เคารพเกรงกลัวมาตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ พากันเรียกเจ้าปู่ (ชื่อ ผีตาหลุบ) ว่า “หลวงปู่” บ้าง “ผู้เพิ่นเทิงภู” บ้าง แม้แต่พระเณรก็นับถือเกรงกลัวเจ้าปู่ภูเกศา กระทั่งท่านหลวงพ่ออินทร์ หลานหลวงปู่สี ก็ยังเคยถูกเจ้าป่าภูเกศาย่ำยีบีฑามาแล้ว จนเข้าวัดไม่ถูก แต่สำหรับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ แล้วท่านพูดกับเจ้าปู่ภูเกศารู้เรื่อง เข้าใจกันได้ดี และเจ้าปู่ภูเกศายังเคารพเชื่อฟังท่านอีกด้วย

เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเจ้าปู่ภูเกศา เข้ามาซ่อนอยู่ใต้กุฏิน้อยของหลวงปู่ ในร่างของงูใหญ่ มีหงอนคล้ายพญานาค เป็นเชิงข่มขู่ให้หลวงปู่กลัว หลวงปู่สีรู้ด้วยญาณและด้วยเมตตาบารมีธรรมจึงพูดขึ้นว่า

“มาหลบซ่อนอยู่ทำไม เด็กเล็กลูกหลานเห็นเข้า เขาจะกลัวรีบหนีกลับไปให้พ้นบริเวณเสีย”

พอจบคำพูดของหลวงปู่สี เจ้างูใหญ่ก็เลื้อยหนีหายไปโดยมิชักช้า เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง และมีบ่อยครั้งที่ลูกหลานชาวบ้านหนองลุมพุกถูกเจ้าปู่ภูเกศารังควาญ ก็ได้อาศัยหลวงปู่สีให้ท่านช่วยเหลือ ช่วยพูดจาว่ากล่าวให้เจ้าปู่ภูเกศาเลิกราไป ไม่ก่อกวนให้ได้รับความเดือดร้อน หลวงปู่ก็พูดขอกับเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าปู่ก็ไม่มารบกวนลูกหลานชาวบ้านอีกต่อไป

หมายเหตุ

ที่ยกข้อความดังกล่าวมานี้เป็นคำบอกเล่าของอาจารย์ประสงค์ ดีนาน โดยท่านอาจารย์ชนินทร์ ดีนาน หลานชายของหลวงปู่อีกคนรวบรวมข้อมูลและประวัติของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ส่งมาให้ผู้เขียนเพื่อมิให้ประวัติของหลวงปู่ที่แท้จริงต้องสูญหาย

โยมพ่อ โยมแม่ของหลวงปู่เป็นคนแข็งแรงมีอายุยืน ต่อมามีการใช้นามสกุล โยมพ่อของท่านได้มาใช้นามสกุล “ดำริห์”

เชียงผา ดำริห์ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ อายุได้ ๑๐๐ ปี ตอนนั้นหลวงปู่สีมีอายุได้ ๘๓ ปี และต่อมา ปี พ.ศ.๒๔๘๕ แม่ข้อล่อ ดำริห์ ก็ถึงแก่กรรมลง อายุ ๑๑๕ ปี หลวงปู่สีอายุตอนนั้น ๙๓ ปี เป็นครูบาใหญ่ อยู่วัดอิสานหมกเต่า อำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์

ตอนโยมแม่อายุมาก ท่านให้โยมแม่มาถือศีลอยู่ที่วัดในตอนนั้น ท่านให้ต่อโลงศพ ตั้งไว้บนศาลาวัดด้วยไม้กระบากแผ่นใหญ่ (ใกล้วัดขณะนั้นเป็นดงไม้กระบาก-ไม้ตะเคียน)

หลวงปู่สีท่านดูแลเอาใจใส่แม่ท่านอย่างดี จวบจนถึงแก่กรรมลง ท่านจัดแจงงานศพโยมแม่ของท่านเป็นอย่างดี ในช่วงตอนนั้น ท่านจะไม่ไปธุดงค์ที่ไหนไกลๆ เพราะท่านเป็นห่วงโยมแม่ โยมพ่อของท่าน

จวบจนโยมพ่อโยมแม่ของท่านสิ้นลง ท่านจึงธุดงค์จากวัดอิสานหมกเต่า ไปอยู่ที่วัดหนองเหมือดแอ่ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเป็นหนองบัวลำภู) แต่ก่อนจะจากวัดอิสานหมกเต่า หลวงปู่ท่านได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ ๒ ต้นคือที่หน้าวัด ๑ ต้น และหลังวัด ๑ ต้น ปัจจุบันนี้ (๒๕๓๙) ต้นโพธิ์ทั้งสองใหญ่มาก อยู่คู่วัด “หมกเต่า” อำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled.bmp
untitled.bmp [ 115.12 KiB | เปิดดู 21680 ครั้ง ]
พบศิษย์จังหวัดเลย (ปี พ.ศ. ๒๔๕๓)



ในคำบันทึกบอกเล่าของหลานและศิษย์หลวงปู่ลีและจากคำบอกเล่าของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เกิด ๑๖ มกราคม ๒๔๓๐ มีจิตใจใฝ่ในธรรม อายุ ๑๒ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดโพธิ์ชัย บ้านโป่ง จังหวัดเลย พออายุได้ ๒๒ ปี ในพ.ศ.๒๔๕๒ อุปสมบทที่วัดสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา (ปัจจุบันเป็นอำเภอม่วงสามสิบ) จังหวัดอุบลราชธานี

พระภิกษุแหวน สุจิณโณ ได้ออกจาริกธุดงค์ไปแต่ลำพังผู้เดียว โดดเดี่ยวดั้นด้นเข้าสู่ป่าเขาลำเนาไพรด้วยดวงใจอันเด็ดเดี่ยว

พระภิกษุหนุ่มแหวนท่องเที่ยวจาริกไปเรื่อย ๆ หยุดพักตามโคนต้นไม้ชายทุ่งบ้าง ชายป่าห่างไกลจากหมู่บ้านบ้าง เข้าไปในป่าลึก พักบำเพ็ญเพียรตามชะโงกเขาบ้าง ตามเงื้อมผาหรือในถ้ำบ้าง

บางวันก็ออกมาโคจรบิณฑบาต บางครั้ง ๒-๓ วัน ถึงบิณฑบาตครั้งหนึ่ง อาหารที่บิณฑบาตได้ส่วนมากเป็นข้าวเหนียวนึ่งเป็นปั้นๆ เมื่อได้มาแล้วก็นำมาฉันตามมีตามเกิด เป็นการฉันหรือกินข้าวด้วยความไม่มีอุปาทาน คือไม่มีเจตนากินให้อร่อย แต่เป็นการกินเพื่อให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ได้ เพื่อใช้กรรมตามกฎแห่งนามธรรม

เมื่อท่านฉันข้าวแบบไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในรสชาติอร่อยเช่นนี้ ปัญญาเรื่องอาหารการขบฉันจึงเป็นเรื่องไม่สำคัญ มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะจิตใจมีความสุขชื่นฉ่ำสำราญในสมาธิอยู่แล้ว ทุกอิริยาบถ เพ่งเพียรภาวนาเดิน ยืน นั่ง และหลับในสมาธิเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ และถูกต้องตามหลักผู้มีสติไม่ประมาท อันได้แก่การเจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือ กรรมฐานนั่นเอง

ย้อนกลับไปในระหว่างที่พระภิกษุหนุ่มแหวนท่องเที่ยวธุดงควัตรอยู่แถวอีสาน แถบถิ่นอุบลราชธานีเข้าสู่จังหวัดเลย ได้พบปะกับพระธุดงค์ในป่าอยู่บ่อยๆ บ้างก็มาจากถิ่นไกล ข้ามมาจากฝั่งลาวก็มี

แต่แล้วพระภิกษุแหวนก็ได้พบกับพระธุดงค์องค์สำคัญ รูปร่างสูงใหญ่ เป็นพระภิกษุที่อยู่ในวัย ๖๒ ปี ผู้เคร่งครัดในพระวินัย มีปฏิปทาสูง ลักษณะเป็นผู้มากบุญ จิตเมตตา นั่งปฏิบัติธรรมอยู่บนหน้าผาบนหุบเขาในป่าจังหวัดเลย

ในเย็นวันนั้น พระภิกษุแหวนจึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบพระภิกษุผู้เคร่งปฏิบัติธรรม เพราะตลอดระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ท่านนั่งปฏิบัติอยู่ พระภิกษุแหวนก็มิได้เข้าไปรบกวน จวบจนพระภิกษุผู้เคร่งปฏิบัติท่านออกจากฌาน

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเพ่งมองอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยถามพระภิกษุแหวน

“ท่านมาจากไหน?”

“ผมมาจากจังหวัดเลยครับ ผมเข้าป่ามาตั้งใจจะแสวงหาที่วิเวกปฏิบัติธรรม” พระแหวนตอบ

“..อือม..ตั้งใจดี หมั่นภาวนานะ”

เป็นคำพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความ

ในวันต่อมาหลวงปู่สีได้สอนกรรมฐาน โดยย้ำว่าการภาวนาเป็นพื้นฐาน จงมีสติเป็นเพื่อนอยู่เสมอ

การเรียนรู้ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วย หลวงปู่แหวนได้รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมีความเพลิดเพลินในการปฏิบัติ เมื่อติดขัดอะไรก็เข้าไปเรียนถามหลวงปู่สี หลวงปู่ก็แนะนำให้เป็นอย่างดี และแจกแจงข้อธรรมอย่างละเอียด อย่างเช่นท่านสอนให้รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราให้ดี จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทุกอย่างต้องน้อมเข้ามาหากาย น้อมเข้าหาใจ พระธรรมทั้งหลายให้ยกใจขึ้นเป็นหัวหน้า

ชำระใจให้บริสุทธิ์ รักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ไว้ รักษาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ไว้ หมั่นภาวนา พิจารณาให้ดีนะ...ดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า

“ละในสิ่งที่ควรละ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ นั่นแหละคือทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน”

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ พิจารณาเห็นว่า พระภิกษุแหวน เป็นผู้ตั้งใจในการปฏิบัติธรรม มีความวิริยะ อุตสาหะ อย่างสม่ำเสมอ วันหนึ่งข้างหน้าจะเป็นผู้สืบสานพระพุทธศาสนาต่อไปได้ดี

หลวงปู่ และพระภิกษุแหวน อาจารย์ และศิษย์ได้ออกธุดงค์ บำเพ็ญเพียรเสาะแสวงหาสัจธรรม ร่วมอยู่ในป่าจังหวัดเลย ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๓-๒๔๕๔

พระภิกษุแหวนติดตามหลวงปู่อยู่ ๒ ปี หลวงปู่สีท่านก็ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้พระภิกษุแหวน สุจิณโณ หลายประการ ก่อนแยกย้าย หลวงปู่ก็เน้นสั่งสอนในข้อปฏิบัติของการออกธุดงค์...คือ

- อย่าปักกลดที่ไหนเกิน ๗ วัน จะทำให้ติดที่

- ห้ามนอนปักกลดขวางทางสัตว์เดิน

- ห้ามปักกลดริมน้ำ (นอน) เพราะธรรมชาติสัตว์จะต้องมากินน้ำริมลำธาร

- ห้ามปักกลดนอนใต้ต้นไม้ใหญ่เกิน ๓ ราตรี เพราะต้นไม้ใหญ่มีรุกขเทวดาอยู่ จะทำให้รุกขเทวดาเดือดร้อน ไม่กล้าอยู่ จะเข้าออกขึ้นลงก็ลำบาก หากไม่จำเป็นห้ามนอนปักกลดใต้ต้นไม้ใหญ่

จงอย่าลืม ต้องหมั่นพิจารณากรรมฐาน ทุกเช้าจะต้องตื่นมาพิจารณารับอรุณ เดินจงกรม ทำอานาปานสติ ทำจิตให้เป็นสมาธิ ทุกย่างก้าวต้องมีสติเน้อ...
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




showimage.jpg
showimage.jpg [ 42.48 KiB | เปิดดู 21678 ครั้ง ]
พบเพชรเม็ดงามที่หนองคาย

(พ.ศ. ๒๔๖๗)

หลวงปู่บุดดา ถาวโร เกิดที่หมู่บ้านหนองเต่า ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี นามเดิม (มุกดา มงคลทอง) เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๓๗

บิดาชื่อ น้อย มงคลทอง มารดาชื่อ อึ่ง มงคลทอง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน ชาย ๔ หญิง ๓

พ.ศ.๒๔๕๘ มีอายุได้ ๒๑ ปี ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารสังกัดกองทัพบก ถ้าใครใกล้ชิดหลวงปู่บุดดา ท่านก็จะพลิกท้องแขนของท่านให้ดูหลักฐานที่สักเอาไว้ คือ ท.บ. ๓ / ๒๕๘๕ หมายถึงทหารบก ปืน ๓ สมัยรัชกาลที่ ๖ ปี ๒๔๕๘

ปี พ.ศ. ๒๔๖๐ เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขึ้น หลวงปู่อาสาไปรบยุโรป ตอนนี้ท่านเล่าให้ฟังอย่างสนุก ว่าท่านอยากไปรบ ถึงได้ไปสมัคร แต่เขาตัดออก เพราะเหตุอย่างเดียวคือ ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาบอกกับท่านว่า กินเหล้าไม่เป็น ไปไม่ได้ เพราะยุโรปหนาวมาก ทหารที่ไปรบในยุโรปจะต้องกินเหล้าเป็น เพราะเหล้าจะช่วยลดคลายหนาวเย็น ท่านจึงไม่ได้เข้าไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑

ต่อมาพ้นทหารแล้วก็ออกมาช่วยพ่อแม่ ประกอบสัมมาอาชีพ ในด้านเกษตร จนอายุได้ ๒๘ ปี ท่านจึงอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๕

อุปสมบทที่วัดเนินยาว ตำบลโนนทอง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี มีท่านพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูเรือง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านได้ฉายาว่า “ถาวโรภิกขุ”

หลวงปู่ท่านกล่าวเสมอว่า ท่านถือพระอุปัชฌาย์ และพระสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นครูบาอาจารย์ของท่านเป็นปฐม ท่านสอนปัญจกรรมฐานให้ในวันอุปสมบท คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยให้พิจารณาเรียงไปตามลำดับและย้อนกลับจนเห็นได้ชัดเจน

เมื่อพิจารณาก็เกิดเห็นความเป็นจริง คือ ความไม่เที่ยงแท้ มันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งกายและจิตใจ เป็นของหาตัวตนไม่ได้ จะยึดว่าเรา ว่าเขาไม่ได้ ถ้าไปยึดติดในสังขาร ร่างกายก็จะเป็นคน

ในวันหนึ่งขณะที่ผู้เขียนบีบนวดให้ท่านหลวงปู่บุดดา ท่านจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังพร้อมทั้งอบรมธรรมต่าง ๆ ให้ได้รู้ ไม่ว่าจะเรื่องสมัยที่ท่านรับราช ธุดงค์การทหาร และการธุดงค์ไปตามป่าเขา หลวงปู่บุดดา

ท่านเป็นผู้ที่มีความจดจำ แม่นยำมาก เวลาท่านเล่าให้ฟัง สนุกสนาน ท่านจะเล่าให้ฟังทุกครั้งที่นวดให้ท่าน

วันหนึ่ง ผมเอ่ยถามท่านว่า “หลวงปู่ครับ หลวงปู่พบหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ เขาถ้ำบุญนาค ตาคลี เมื่อไหร่ครับ”

หลวงปู่บุดดา ท่านนิ่งไปสักครู่ ท่านจึงตอบว่า

“หลวงพ่อลี (สี) น่ะ ท่านเป็นคนสุรินทร์ พบท่านเมื่อบวชได้ พรรษาที่ ๓ ที่ป่าจังหวัดหนองคาย

ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ดี มีความรู้มาก ได้ติดตามธุดงค์กับท่าน ตอนหลังท่านมาอยู่ที่ถ้ำเขาบุญนาค ตาคลี นครสวรรค์

ธรรมะของหลวงพ่อสี ท่านให้ไว้เมื่อคราวติดตามธุดงค์นั้น หลวงพ่อสีท่านให้ไว้...

เป็นพระป่า

- อย่ากลัวอด

- อย่ากลัวเจ็บ

- อย่ากลัวตาย

ถ้าไม่กลัว ในสิ่งเหล่านี้ รักษาวินัย หมั่นภาวนา พิจารณากรรมฐาน ก็จะธุดงค์ไปได้อย่างไม่มีอันตราย”

หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านเล่าว่าพรรษาที่สาม หลวงปู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พอออกพรรษาท่านก็ออกธุดงค์เข้าป่าแถบป่าเมืองหนองคาย และได้พบหลวงพ่อสี (หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ) และได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สี ขณะนั้นหลวงปู่อายุได้ ๙๕ ปี พ.ศ.๒๔๖๗

ในเรื่องการเคารพนับถือที่หลวงปู่บุดดา ถาวโร ที่มีต่อหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ นั้น จะเห็นได้จากแม้ในบางครั้งท่านจะเจ็บป่วยอย่างไร เมื่อถึงวาระท่านจะต้องไปกราบหลวงปู่ ทุกปี บางครั้งอาพาธจนลงจากรถไม่ได้ ก็ให้คนขับรถพาท่านไปที่เขาถ้ำบุญนาค แล้วท่านก็กราบนมัสการหลวงปู่จากในรถตู้ที่เป็นพาหนะของท่าน

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น ที่หลวงปู่บุดดา ถาวโร ที่มีความเคารพศรัทธามั่นคงต่อหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ

นอกจากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่บุดดา ถาวโร ที่พบพานหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ในระหว่างธุดงค์อยู่ในป่า มีความศรัทธาในปฏิปทา อาจรักษาพระวินัยที่มั่นคง มีความรอบรู้แตกฉานในข้อธรรม จนมอบตัวเข้าเป็นศิษย์ แล้วยังมีพระอาจารย์อีกหลายรูปด้วยกัน ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สี อาทิเช่น.:.

- หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ตาคลี นครสวรรค์

- หลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์

- หลวงพ่อเจริญ วัดตาลานใต้ ผักไห่ อยุธยา

- หลวงพ่อจ้อย วัดสายชลรังษี (วัดแหลมบน) จังหวัดฉะเชิงเทรา

- พระครูนิวิปริยคุณ (อาจารย์สมบูรณ์ ปริสัมปุณโณ) เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค ตาคลี นครสวรรค์

- พระอาจารย์รักษ์ เตชธัมโม (อยู่พิษณุโลก) เป็นผู้ดูแลหลวงปู่สีตอนอยู่วัดเขาถ้ำฯ

- พระอาจารย์สุพจน์ (อาจารย์เจ็ก) ฉนฺทชาโต วัดเขาถ้ำบุญนาค ตาคลี

- พระอาจารย์จันทร์ (ญาครูจันทร์) วัดจันทราราม จังหวัดสุรินทร์

- พระอาจารย์ประเทือง พุทธธมฺโม วัดสัมปทวนนอก ตำบลบางแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา

- หลวงปู่เย็น ทานรโต วัดสระเปรียญ ชัยนาท

- พระครูวิศิษธ์สมโพธ์ วัดโพธิ์ท่าเตียน กรุงเทพฯ

- พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

ที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงบางองค์เท่านั้น เท่าที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากหลวงปู่บุดดา ถาวโร และหลวงปู่เย็น ทานรโต เพราะพระอาจารย์ทั้ง ๒ องค์นี้ผู้เขียนได้มีโอกาสไปถวายการนวดหลายครั้งจึงมีโอกาสถามเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากพอสมควร แต่ก็คงมีอีกหลายองค์ด้วยกันที่มิได้กล่าวถึงในที่นี้

โดยเฉพาะหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ จนถึงกาลมรณะของหลวงปู่สี

ในส่วนพระสหธรรมมิกของหลวงปู่ที่ปรากฏชัดเจนก็มีหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อยุธยา หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท หลวงพ่อป่าน วัดคลองด่าน (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ

พระอาจารย์ของหลวงบู่สี ฉนฺทสิริ

๑. พระอาจารย์อินทร์ พระธุดงค์ จังหวัดสุรินทร์ (พ.ศ.๒๔๐๒)

๒. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง บางกอกน้อย ธนบุรี (พ.ศ. ๒๔๐๓-๒๔๑๑)

๓ พระครูธรรมขันธ์สุนทร พระอุปัชฌาย์ (พ.ศ.๒๔๓๑) วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

๕. พระเทพโลกอุดร (ตอนธุดงค์อยู่ในป่า) (คำบอกเล่าของหลวงปู่เย็น ทานรโต วัดสระเปรียญ ชัยนาท พระสหธรรมมิกของหลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงปู่กอง วัดสระมณฑล สหายธรรมของปู่โทน หลำแพร อายุ ๑๐๐ ปี ปู่โทนเป็นสาย “หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร เป็นอาจารย์คนหนึ่งของอาจารย์สมบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้แนะนำอาจารย์สมบูรณ์ สำนักสงฆ์เขาถ้ำบุญนาค ให้ไปนิมนต์หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ให้มาช่วยสร้างสำนักสงฆ์เขาถ้ำให้เป็นวัดในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ )

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร