| ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
| ความสมบูรณ์ บริบูรณ์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=66349 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
| เจ้าของ: | รสมน [ 23 ธ.ค. 2025, 05:42 ] |
| หัวข้อกระทู้: | ความสมบูรณ์ บริบูรณ์ |
“คั่นอยากไปนิพพาน ให้วางให้เบิ๊ด บาปกะบ่เอา บุญกะไปเอา ให้เฮดใจคือผ้าเช็ดเท้า เขาสิเหยียบกะอย่าใส่ใจ เขาสิยกกะอย่าไปดีใจ” โอวาทธรรม #หลวงปู่ปั่น สมาหิโต อายุ ๙๙ ปี คนเราส่วนใหญ่อยู่คนเดียวไม่เป็น พออยู่คนเดียวแว่บเดียวก็เหงา คิดถึงเพื่อน นี่คือความอ่อนแอของจิตใจ ความทุกข์ที่คนมักมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหา คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ที่สามารถฝึกจิต ให้มีสติตื่นรู้อยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง จะมีความรู้สึกว่า ไม่ขาดอะไรสักอย่าง จะอยู่คนเดียว อยู่น้อยคน อยู่มากคน ความรู้สึกนี้คงที่ จะคบเพื่อนก็มีความสุขได้ จะอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้เหมือนกัน ความสุขจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยภายใน ไม่ต้องพึ่งคนอื่นจึงมีความสุขได้ ความคล่องแคล่ว ความเป็นอิสระอย่างนี้ ไม่น่าปรารถนาหรือ ... พระอาจารย์ชยสาโร สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี นครราชสีมา ..บางบุคคล มีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติมากมายดีแล้ว แต่จะจำแนกแจกทานให้กับคนจนก็ไม่ได้ สงเคราะห์อะไรนิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้ หวงแหนทรัพย์สมบัติ อะไรทุกอย่าง หวงแหนไว้หมดเป็นคนตระหนี่ ชาติต่อไปมันก็จะตกระดับลงไปเรื่อยๆ วัดก็ไม่เข้าพระเจ้าก็ไม่ไหว้ สวดมนต์สวดพรไม่มีเมตตาแก่ใคร นั่นแหละเขากำลังหลงสมบัติที่เขามีอยู่ มันก็จะถอยหลัง ถอยหลังไปทุกภพทุกชาติที่ไม่ได้ทำเอาไว้ มันก็จะถอยลงไปเรื่อยๆ.. ..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป.. "..บุญภายใน ได้แก่ การดัดตัวของเราเองให้เป็นบุญกุศล ตัวเราเปรียบเหมือนต้นไม้ในป่า เช่น ต้นตะโก ถ้าเรานำมาใส่กระถาง ดัดแปลงกิ่งก้านให้สวยงาม ก็จะมีราคาสูงขึ้น คนที่ไม่ดัดกายวาจาใจของตัวเอง ก็เรียกว่าเป็นคนที่มีราคาต่ำ เราควรดัดมือดัดแขนให้รู้จักไหว้กราบพระ ดัดเท้าให้รู้จักเดินไปวัดดัดหูให้รู้จักฟังธรรมและคำที่เป็นคุณประโยชน์ ดัดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราให้สิ่งที่ไหลเข้าไป ล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศล จมูก ก็อย่าหายใจเปล่า ให้หายใจเอาพุทโธเข้าออก เหมือนกับน้ำที่ไหลเข้าไปในร่างกาย ใจของเราก็จะเย็นสบายเป็นสุข ปาก ก็หมั่นสวดมนต์ภาวนา อย่าด่าแช่งเสียดสีหรือพูดเท็จต่อใคร กล่าวแต่สิ่งที่เป็นธรรมและไม่ดื่มเหล้าเมายา ให้เก็บบุญเอาตามตัวของเรามีมือ เท้า แขน ขา ตา หู จมูก ลิ้น เหล่านี้เป็นต้น ส่วนแก่นของบุญ นั้น คือ ใจ ต้องทำใจของเราให้สงบระงับ จากโลภะ โทสะ โมหะ.." ธมฺมธโรวาท พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔ ) เราจะต้องปฏิบัติในลักษณะปล่อยวาง ปล่อยวางเป็นอย่างไร บางคนก็เข้าใจว่า ปล่อยวางแปลว่า ไม่ทำดีกว่า ไม่ยุ่ง แต่หลวงปู่ชาท่านสอนพวกอาตมาว่า ต้องปล่อยวางภายในการกระทำ ไม่ได้ปล่อยวางตัวการกระทำ แต่ปล่อยวาง อัตตาตัวตน ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ว่าเราว่าของเราภายในการกระทำ สิ่งใดเป็นหน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่ ด้วยความขยันมั่นเพียร ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรค ใจสู้ แต่สิ่งที่เราต้องระวัง อย่าให้เป็น เรื่องของเรา ของเรา ชีวิตมนุษย์ … พระพุทธองค์สอนว่าเป็น โชคอย่างยิ่ง เป็นลาภอย่างยิ่ง เพราะมนุษย์ เรามีศักยภาพในการละบาป บำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาด แล้วเราเข้าถึงชีวิตที่มีแก่นสารมีสาระ ชีวิตที่มีความหมาย ชีวิตที่มีความสุขด้วยการ ฝึกตน พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่ามนุษย์ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึก ขอให้ญาติโยมทุกๆ คน มีแต่ความสุข ความเจริญ ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา ให้มีกำลังใจ กำลังปัญญา ในการสร้าง ประโยชน์ สร้างความสุข มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา ในการสร้างความสุข สร้างประโยชน์ แก่ตนและส่วนรวม … พระพรหมพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ชยสาโร) ณ ฟิช แทงค์ วัฒนา ๗ มกราคม ๒๕๖๖ #เพราะหลง "ร่างกายของเรานั้นที่เราเห็นว่างาม ก็เพราะมีของไม่สะอาดเต็มท้องเต็มไส้อยู่ ถ้าในท้องในไส้ไม่มีอะไรเลย ลองดูซิมันจะงามไหม ถ้าของในท้องในไส้ไหลออกหมด มันก็เหี่ยวแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ถ้าพูดกับความจริงแล้ว ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยของเสียทั้งหมด ถึงอย่างนั้นก็ยังหลงไปว่าเป็นของสวยงาม แต่ใจมันไม่ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดหนา เราต้องภาวนาพิจารณากลับไปกลับมา ทบไปทวนมาอยู่นั้นแหละ เราไปหลงของไม่งาม จับอันนั้นต่ออันนี้เลยเห็นว่างามจนติดจนหลง" ..... หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ “คั่นอยากไปนิพพาน ให้วางให้เบิ๊ด บาปกะบ่เอา บุญกะไปเอา ให้เฮดใจคือผ้าเช็ดเท้า เขาสิเหยียบกะอย่าใส่ใจ เขาสิยกกะอย่าไปดีใจ” โอวาทธรรม #หลวงปู่ปั่น สมาหิโต อายุ ๙๙ ปี "...เวลานี้โลกมันร้อน เราอย่าไปตำหนิว่าโลกมันร้อน หัวใจเรามันร้อนเพราะหัวใจเราไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมก็เท่ากับรถมีเบรกห้ามล้อเอาไว้ อยากก็ตามเถอะ คนเราไม่ใช่คนตายมันต้องอยาก แต่สิ่งที่ห้ามความอยากหักห้ามความอยาก เบรกห้ามล้อคือธรรมมี เราเอามาห้าม เมื่อห้ามวันนี้ได้แค่นี้แล้ว วันหลังจะค่อยอ่อนตัวลงไปๆ ถ้าเราเสริมแล้วตรงกันข้าม วันนี้มีกำลังเท่านี้ ได้รับการส่งเสริมยิ่งมากขึ้นไป สุดท้ายก็แหวกแนวไปได้คนเรา นี่ละเรื่องการส่งเสริม เป็นของสำคัญมากในสิ่งที่ไม่ควรส่งเสริม ให้เราส่งเสริมในสิ่งที่ควรส่งเสริม นี่ละชาวพุทธ ถ้าเราอยากจะเห็นคุณค่าของเราและสังคมมีความดีงามราบรื่น ก็ให้พึงเป็นผู้รักษาศีลรักษาธรรม เป็นผู้มีความใฝ่ใจในธรรม เพราะธรรมนี้ไม่เคยเอารัดเอาเปรียบผู้ใด เป็นความเสมอภาค เขาจึงเรียกว่าขอความเป็นธรรม ขอความเป็นธรรมคืออะไร คือขอความถูกต้องตามอรรถตามธรรม สม่ำเสมอเป็นกลางๆ ไปเลย ไม่เอียงโน้นเอียงนี้ ไม่รักคนนั้นไม่ชังคนนี้ หนักไปทางโน้นหนักไปทางนี้ นั่นเขาเรียกว่าลำเอียงหรืออคติ ๔ ส่วนธรรมไม่มีคำว่าอคติ ขอให้เราทั้งหลายได้นำธรรมะนี้ไปประพฤติปฏิบัติในครอบครัวหนึ่งๆ จะเห็นความร่มเย็นภายในตัวของเรา เฉพาะอย่างยิ่งการจิตตภาวนาเป็นธรรมสำคัญมากที่จะเห็นประจักษ์ในธรรมทั้งหลาย ดังพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้น แบบสดๆร้อนๆ นรกเราก็ไม่ต้องว่าละ บาปบุญไม่ต้องว่า ถ้าลงปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าโดยทางจิตตภาวนาแล้ว จะสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา และยอมกราบพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นเต็มพระทัยมาแล้วจึงมาสอนโลก ไม่ได้โกหกพกลมโลกนี่ สอนตามความสัตย์ความจริง เมื่อเราปฏิบัติไปตามแนวทางนี้แล้ว ทำไมจะไม่รู้จริงเห็นจริงตามที่ท่านสอนไว้ นี้ละธรรม ท่านถึงเรียกว่า สวากขาตธรรม ขอให้นำไปประพฤติปฏิบัติ ให้เราพยายามอุตส่าห์ภาวนา วันนี้ได้แค่นี้ วันหลังให้ได้มากกว่านี้ ด้วยการตั้งอกตั้งใจทำจริง สุดท้ายก็เคยชิน ทีนี้ไม่ได้ภาวนาไม่ได้ ยิ่งภาวนาลงไปใจมีความสงบร่มเย็น ยิ่งมีความขยันหมั่นเพียรเข้าไป ดูดดื่มภายในจิตใจ จนกระทั่งถึงว่าเป็นผู้มีความเพียรกล้า ต้องได้รั้งเอาไว้ นั่นฟังซิ ความขี้เกียจขี้คร้านในการภาวนากับภาวนาได้รั้งเอาไว้เป็นยังไง คือมันจะเลยเถิดด้วยความเพลิดความเพลินในธรรมทั้งหลายที่ได้รู้ได้เห็น มีความดูดดื่มไปโดยลำดับ เพราะการเห็นธรรมรู้ธรรมผิดกับรู้อะไรเห็นอะไรอื่น..." หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ญาติโยมทั้งหลายจงเป็นผู้ขยันขันแข็ง หมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติ ไม่มีอะไรแล้วจะยิ่งกว่าธรรมะ ธรรมะนี้ เป็นเครื่องที่ค้ำจุนโลกเหลือเกิน ทุกวันนี้ เราจะไม่สบายกระสับกระส่ายก็เพราะ ไม่มีธรรมะ ถ้าเรามีธรรมะก็จะสบาย อาตมาก็ดีใจที่ได้ช่วยท่านอาจารย์และช่วย ญาติโยมด้วย จึงขอฝากความอาลัยไว้ บางทีพรุ่งนี้คงได้จากไป ไปที่ไหนก็ยัง ไม่ทราบ อย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา มาแล้วก็ต้องไป ไปแล้วก็ต้องมา สุขแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็สุข ได้แล้วก็เสียไป เสียไปแล้วก็ได้มา เป็นเรื่องธรรมดา ญาติโยมจงเข้าอยู่ในธรรมะ จะไม่มีความ เดือดร้อนทุกๆ คน ผลที่สุดนี้ขอให้ญาติโยม ทั้งหลาย เป็นคนมีโชคดี โชคอย่างใหญ่หลวง คือ โชครู้จักธรรมะ นั่นแหละเป็นโชคดี ที่สุดแล้ว ... - พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท) ___ คติธรรมคำสอน ___ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม จ. สมุทรปราการ ทุกข์เกิด...ก็ให้อยู่กับทุกข์ สุขเกิด...ก็ให้อยู่กับสุข ให้รู้จักมัน ให้รู้จักจิตว่าคราวไหน เกิดอะไร ให้อยู่กับมัน สังเกตุดูมัน ควรดูมันโดยกำหนดจดจ่อ ดูมันให้ตลอด ผลที่สุด มันก็จะจืดจางหายไป เช่นเดียวกับนั่งทับหญ้านานๆไป มันก็จะค่อยๆตายไปเอง เราจะเห็นว่า เมื่อใดเราละบาปแล้วนั่น เราเข้าถึงหลักพุทธศาสนา เมื่อเราละบาปแล้ว ใจเรามันก็สบายไม่มีอะไรวุ่นวาย ไม่มีอะไร อยู่ในใจนั้น เป็นจิตใจที่สะอาด ผ่องใส อันนั้น ท่านว่าเป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้นในตรงนั้น เป็นความสงบเกิดขึ้นตรงนั้น ก็เพราะ หัวใจพระพุทธศาสนามาซ่อนแทรก อยู่ในหัวใจเรา ... ... หลวงปู่ชา สุภัทโท "ให้ทราบว่าในโลกนี้ไม่มีแก่นสารอันใด เกิดมาแล้วก็ต้องตาย เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ที่จะเอาได้ก็เป็นเรื่องของดวงจิตเท่านั้น ฉะนั้น จึงให้รู้จักทำจิตคลายจากความชั่ว ความเศร้าหมอง ทำจิตใจให้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นจิตที่สงบผ่องใส เป็นสมาธิ ให้รู้จักใช้ปัญญา พิจารณารูปนาม ให้เห็นตามความเป็นจริงของสังขาร จนสามารถละวางตัณหาอุปทานทั้งหลายได้" .... หลวงปู่ฝั้น อาจาโร จะไปหาความสุขที่ไหนเล่า จะไปหาความสุขตามข้าว ตามของ เงินทอง ไม่ใช่ทั้งนั้น จะหาความสุข จากทำการทำงาน ไม่ใช่ทั้งนั้น เราก็ทุกข์เพราะ เราหาข้าวของเงินทอง นั่นซิ ความสุขนี้ ต้องทำหัวใจของเราให้มันนิ่ง พุทโธ พุทโธ ทำใจให้เยือกให้เย็น ทำใจให้เบา ทำให้ใจสบายแล้ว หัวใจเราสบายแล้ว การงานมันก็สบาย ข้าวของเงินทองก็สบาย ชาวบ้านร้านตลาดก็สบาย ประเทศชาติก็สบาย #โอวาทธรรม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา #อริยสัจสี่ครอบคลุมหลักการของพระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หลัก “เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์” หลัก “ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” หลัก “เราบัญญัติแต่ทุกข์และความดับทุกข์” หรือ หลัก “อิปัปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท กับ นิพพาน” ทุกหลักรวมอยู่ในหลักอริยสัจสี่ ทั้งนั้น ขอย้ำว่า “อริยสัจสี่” คือ #หลักที่โยงความจริงในธรรมชาติมาสู่การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เพราะลำพังกฎธรรมชาติเอง ตามธรรมดาถ้าเราไม่รู้วิธีปฏิบัติ ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้ลำดับ เราก็สับสน พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้เราได้ประโยชน์จากกฎธรรมชาติโดยสะดวก จึงนำมาจัดรูป ตั้งแบบ วางระบบไว้ให้ เรียกว่า อริยสัจสี่ โดยลำดับให้เห็นชัดเจน เป็นทั้งวิธีสอน วิธีแก้ปัญหา และวิธีลงมือทำ เมื่อทำตามหลักอริยสัจสี่ ความจริงของธรรมดาที่ยาก ก็เลยง่ายไปหมด/ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) “ภาวนา... ไม่ใช่ว่า จะไปนั่งหลับตาภาวนา บางคน ก็มาวัดทุกวัน วันพระก็มานั่งหลับตาภาวนา พอกลับไปบ้าน ทิ้งเลย ทะเลาะกับลูกกับผัว ทะเลาะกับใคร ต่อใคร เขาเข้าใจว่าเวลานั้น... เขาออกจากการภาวนาแล้ว เมื่อจะภาวนา ก็ มานั่งหลับตาเอาบุญ พอออกไปแล้ว... บุญ ไม่ไปด้วย เอาแต่บาปไปเท่านั้น ไม่อดไม่กลั้น ไม่ประพฤติธรรมไม่ปฏิบัติธรรม อะไรต่ออะไรหลายๆอย่าง ความเป็นจริง การประพฤติการปฏิบัติภาวนานี้ เมื่อไรก็ตามเถอะ จะอยู่ในวัดก็ตามนอกวัด ก็ ตาม เหมือนกับเราได้เรียนหนังสือในโรงเรียนที่ดีๆ เมื่อเราเรียนหนังสือ ในโรงเรียนที่ดีๆแล้ว เราเรียนหนังสืออ่านหนังสือได้ในโรงเรียนแล้ว แล้วจะไปอ่านอยู่ที่บ้าน ก็ได้ จะอ่านอยู่ในทุ่งในป่า ก็ได้ จะอ่านในที่ชุมชน ก็ได้ อ่านคนเดียว ก็ได้ อ่านที่ไหน ก็ได้ ถ้าเราเข้าใจดีแล้ว ไม่ใช่ว่า..เราจะอ่านหนังสือจะต้องวิ่งมาโรงเรียนถึงจะอ่านหนังสือได้ ไม่ใช่อย่างนั้น... การภาวนานี้...ก็เหมือนกัน ฉันนั้น เมื่อเรามีปัญญาแล้ว มันจะไปในทุ่งก็ดี จะเข้า ไปในป่า ก็ดี อยู่ในคนจำนวนมาก ก็ดี อยู่ในคนจำนวนน้อย ก็ดี จะถูกนินทา ก็ดี จะถูกสรรเสริญ ก็ดี เป็นต้น ก็มีความรอบรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอ เรียกว่า...คนที่ภาวนา ให้มันรู้เท่าอารมณ์ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านั้น เช่นนี้ ก็เรียกว่าเราสบายแล้ว นี่เรียกว่า... คนภาวนาเป็น มีอารมณ์เป็นอันเดียว ภาวนา ก็คือ... รู้ให้ทั่วถึง รู้รอบคอบนั่นเอง ท่านจึงให้เป็นผู้ มีสติความระลึกได้ เป็นคนมีสัมปชัญญะความรู้ตัว เป็นผู้มีปัญญา ความรอบคอบในการยืน การเดิน การนั่ง การนอน สามารถจะมองเห็นความบกพร่อง และความสมบูรณ์บริบูรณ์ ด้านจิตใจ อยู่...ทุกเวลา นั่น! เรียกว่า...คนภาวนา ถ้าเรารู้เสมอ เช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรจะมากระทบกระทั่งเราได้ จิตใจก็สบาย ราบรื่นอยู่เสมอ นั่นเรียกว่า... จิต เป็นปกติ..” หลวงพ่อชา สุภัทโท ที่มา : หนังสือ “อุปลมณี” หน้า ๔๙๐-๔๙๑ ใจนี่แล คือ สมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจ คือ ไม่สนใจปฏิบัติต่อใจ ดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติ ก็คือ ผู้เกิดผิดพลาดนั่นเอง #โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต "..ยิ่งพูดมาก ยิ่งผิดมาก ยิ่งพูดน้อย ยิ่งผิดน้อย ยิ่งไม่พูด ให้เขามองว่าโง่แหละดี.." โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต |
|
| หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|