ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความโลภ ความโกรธ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=66147
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 13 ต.ค. 2025, 05:30 ]
หัวข้อกระทู้:  ความโลภ ความโกรธ

"จิตปล่อยจิต" เป็นธรรม "อันเดียว"

"..เป็นธาตุที่บริสุทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ ทาง "สมาธิปัญญา" ใดที่เคยผ่านมา

พอ "จิตวางปั๊บ" ฮุกหมัดเด็ดคือ "วิปัสสนาญาณ" เข้าปลายคาง ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

ตามดูลมหายใจไปด้วย ผ่อนลงไป...ผ่อนลงไป... ทีแรกมันอยู่ตรงนี้ พออยู่ตรงนี้หมด... หมด... หมด... หมดขึ้นมาเรื่อย หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิดๆ

เราก็พิจารณาอยู่ ยังไม่หมดนี่ พิจารณาค้นอยู่อย่างนั้นตลอด

พอพิจารณาตรงนี้มันดับหมดแล้ว เราก็ "หยุดความคิด" คือเรียกว่า “หยุดความค้น”

ลองวางปั๊บ แหม !! มันขาดเชียว

การ "ขาด" ครั้งนี้ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา

พอจิตวางปั๊บ... "จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด" ปล่อยวาง "สังขารโลก" "คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะ" อันเป็นประดุจตาข่าย

ด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือวิปัสสนาญาณ เข้าปลายคาง

"อวิชชา" ถึงตาย ไม่มีวันฟื้น !!

พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ คำว่า "เป็นหนึ่ง" นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก

"ภพ" "ชาติ" ที่หมุนวนมา ตั้งกัปตั้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้

"ชาติ" "สังขาร" อยู่ที่ใด "ใจ" ไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วย "ธรรมชาติ" ที่เป็น "หนึ่ง" นั้น

จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดเดาได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

สำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว

"ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" ไม่มีช่องทางให้ "อวิชชา" เดิน ถูกปิดด้วย "มหาสติ มหาปัญญา"

"วิปัสสนาญาณ" ตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้าง "อวิชชา" อันเป็นตัวการ

"จิตปล่อยจิต" เป็น "ธรรมอันเดียว" เป็น "ธาตุที่บริสุทธิ์" เป็น "มหัศจรรย์" ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทาง "สมาธิปัญญาใด" ที่เคยผ่านมา.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง






“ความอดทนอดกลั้นย่อมก่อให้เกิดการยั้งคิด
และเป็นธรรมดาของมนุษย์เรา เมื่อยั้งคิดได้แล้ว
ย่อมมีโอกาสที่จะพิจารณาเรื่องที่ทำ คำที่พูด
ทบทวนดูใหม่อีกคำรบหนึ่ง ถ้าท่านทั้งหลาย
มีสติยับยั้ง และทบทวนการกระทำอยู่เสมอ
ย่อมจะช่วยให้ท่านสามารถวินิจฉัย
ที่จะกระทำหรือไม่กระทำการใด ๆ ได้
ถ่องแท้ละเอียดมากขึ้น”
...
พระโอวาท สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







"คำว่ากฐิน ไม่เกี่ยวกับเงินล้านเงินแสน
คนมีสตางค์น้อยก็เลยไม่กล้าทำกฐิน
พวกมัคทายักษ์นี้ดูถูกนินทา
โอ๊ย! กฐินกระจอกได้นิดเดียว
คนมีสตางค์น้อยก็เลยไม่กล้าทอดกฐิน
ไม่ได้เกี่ยวกับเงินล้าน
คำว่า กฐินะ เป็นชื่อไม้สะดึง เป็นไม้สี่เหลี่ยม
ใช่กางเย็บผ้า คือสมัยโบราณ
สมัยหลวงปู่มั่น ใช่การเย็บมือ ผ้าฝ้าย
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม้สะดึงสำหรับกางเย็บผ้า
ทำผ้าให้มันตรึง คำว่ากฐินนะ
อนุญาตให้ภิกษุเปลี่ยนผ้า เพิ่นกะเลยตัดจีวรแขบกัน
สายวัดป่าเฮานี้ใช่ผ้าขาวตอนกฐินนี้
รับแล้วจงกรานด้วยผ้านี้ว่าซันเด๊ะ ผู้กล่าวคำถวาย
เพิ่นกะเย็บ สิย้อม สิตัด ให้เสร็จภายในวันเดียว
ผืนใดผืนหนึ่ง จีวร สบง สังฆา"

โอวาทธรรม

#หลวงปู่ประเวศ ปัญญาธโร

วัดป่าคลองมะลิ ต.อ่างคีรี
อ.มะขาม จ.จันทบุรี








"จิต" ว่างจาก "อารมณ์" นั้นละ ทำให้เกิดความสว่างไสว
"องค์ปัญญา" ก็เกิดขึ้น ในเมื่อองค์ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
"ความมืด" หรือ "กิเลสตัณหา" ยากที่จะซ่อนเร้นอยูในจิตที่สว่างไสว "จิต" ก็สมบูรณ์เป็น "ธรรม" ขึ้นทั้งใจ

ดินฟ้าอากาศไม่เป็นข้าศึกแก่ใจ
"ใจ" ที่ขาด "การสำรวม" นี่แหละเป็นข้าศึกแก่เรา

เมื่อใจของเราได้รับ "การสำรวม" ดีแล้ว
"ศีล" จึงไม่ต้องไปแสวงหา
"สมาธิ" ก็ไม่ต้องไปแสวงหา
"ปัญญา" ก็ไม่ต้องไปแสวงหา เพราะเกิดขึ้นที่ใจ

เมื่อ "ธรรม" ปรากฏขึ้นที่ใจ "กิเลส" จะสลายตัวในขณะนั้น

เมื่อ "ใจ" เราเป็น "ธรรม" ขึ้นทั้งดวง เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ
กิเลสตัณหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจอยู่ไม่ได้

หลวงปู่ แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร







#จิตปล่อยจิตเป็นธรรมอันเดียว

"..เป็นธาตุที่บริสุทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ ทาง "สมาธิปัญญา" ใดที่เคยผ่านมา

พอ "จิตวางปั๊บ" ฮุกหมัดเด็ดคือ "วิปัสสนาญาณ" เข้าปลายคาง ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

ตามดูลมหายใจไปด้วย ผ่อนลงไป...ผ่อนลงไป... ทีแรกมันอยู่ตรงนี้ พออยู่ตรงนี้หมด... หมด... หมด... หมดขึ้นมาเรื่อย หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิดๆ

เราก็พิจารณาอยู่ ยังไม่หมดนี่ พิจารณาค้นอยู่อย่างนั้นตลอด

พอพิจารณาตรงนี้มันดับหมดแล้ว เราก็ "หยุดความคิด" คือเรียกว่า “หยุดความค้น”

ลองวางปั๊บ แหม !! มันขาดเชียว

การ "ขาด" ครั้งนี้ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา

พอจิตวางปั๊บ... "จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด" ปล่อยวาง "สังขารโลก" "คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะ" อันเป็นประดุจตาข่าย

ด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือวิปัสสนาญาณ เข้าปลายคาง

"อวิชชา" ถึงตาย ไม่มีวันฟื้น !!

พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ คำว่า "เป็นหนึ่ง" นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก

"ภพ" "ชาติ" ที่หมุนวนมา ตั้งกัปตั้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้

"ชาติ" "สังขาร" อยู่ที่ใด "ใจ" ไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วย "ธรรมชาติ" ที่เป็น "หนึ่ง" นั้น

จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดเดาได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

สำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว

"ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" ไม่มีช่องทางให้ "อวิชชา" เดิน ถูกปิดด้วย "มหาสติ มหาปัญญา"

"วิปัสสนาญาณ" ตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้าง "อวิชชา" อันเป็นตัวการ

"จิตปล่อยจิต" เป็น "ธรรมอันเดียว" เป็น "ธาตุที่บริสุทธิ์" เป็น "มหัศจรรย์" ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทาง "สมาธิปัญญาใด" ที่เคยผ่านมา.."

โอวาทธรรม
#พระครูสุทธิธรรมรังษี
(หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี








"..ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม คืออาศัยการกำหนดพิจารณาธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยู่ ได้ยินอยู่ สัมผัสอยู่ ปรากฏอยู่ จิตใจเล่าก็มีอยู่ ความนึกคิด รู้สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้ายก็มีอยู่ ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอก ภายใน ก็มีอยู่ ธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมดา เขาแสดงความจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ เช่น ใบไม้มันเหลืองหล่นร่วงลงมา พินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยอุบายมีอยู่เสมอแล้ว ชื่อว่า ได้ฟังธรรมทุกเมื่อแล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








"คนส่วนมาก ยังมีความเชื่อว่ามีผู้ดลบันดาล
ให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น แต่ทางพระพุทธศาสนา
ได้แสดงว่า คนมีกรรมเป็นของตนจะมีสุขหรือทุกข์
ก็เพราะกรรม

พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม
ไม่ได้สอนให้ตกเป็นทาสของกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจของกรรม

แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม
ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ







“ จิตใจของบุคคลเหล่าใด
ไม่ติดอยู่อดีต อนาคต ปัจจุบัน
จิตใจของบุคคลเหล่านั้น
หลุดจากบ่วงของมารโลก
หลุดจาก โลภะ โทสะ โมหะ
ดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญปราศจากเมฆหมอกแล้ว
สว่างรุ่งโรจน์อยู่ท่ามกลางอากาศ ฉะนั้น “
เทศนาธรรมวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
#หนังสือจันโทวาท (รวบรวมธรรมคำสอนหลวงปู่ศิลา สิริจันโท)








#เดินจงกรมกลับไปกลับมา
#ก็ให้นึกพุทโธ

อย่าได้ทิ้งพุทโธ
ผู้ที่ได้สมาธิขณะเดินจงกรมนี้
สมาธิไม่เสื่อมง่าย ตั้งอยู่ได้นาน
จิตมันรวมลงไปได้ง่าย

ส่วนร่างกายก็เบา มิเจ็บแข้งมิเจ็บขา
เลือดลมไปมาสะดวก จะมานั่งก็นั่งได้นาน
เดินตอนกลางวันก็ไม่อืดอาด อาหารถูกธาตุไฟเผาจนหมด
หากจิตรวมแล้วก็จะเห็นได้ว่า มีเทวดา
มายืนถือพานดอกไม้บูชาอยู่หัวท้ายทางจงกรม
บางพวกก็พนมมือไหว้ สาธุ สาธุ อยู่

โอวาทธรรม
#คุณแม่ชีแก้ว_เสียงล้ำ








"คนส่วนมาก ยังมีความเชื่อว่ามีผู้ดลบันดาล
ให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น แต่ทางพระพุทธศาสนา
ได้แสดงว่า คนมีกรรมเป็นของตนจะมีสุขหรือทุกข์
ก็เพราะกรรม

พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม
ไม่ได้สอนให้ตกเป็นทาสของกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจของกรรม

แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม
ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ






#ทุกวันนี้โลกเราขาดศีลธรรมนะขาดมากเลย​

มีแต่ความโลภ​ ความโกรธ​ ความหลงทั้งนั้น
เต็มไปด้วยสมมุติต่าง​ ๆ ก็หลงสมมุติต่าง​ ๆ
เที่ยวสมมุติให้เป็นโน่น​ เป็นนี่​ เป็นนั่น
บุญทั้งหลายก็มีกาล​ มีเวลาอยู่
ไม่ใช่ไม่มี แล้วก็ให้ผลนะ ให้ผลมาทีนี้เป็นยังไง
เมื่อเราสร้างไปแล้ว​ ทำไปแล้ว​ ใครจะรับให้
เพราะเราทำ​ เราก็ต้องได้
นี่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้อย่างนี้ สอนไว้อย่างนี้
ธรรมะของครูบาอาจารย์ท่านว่าไว้อย่างนั้น
ใครทำ​ ใครได้​ ใครไม่ทำ​ ก็ไม่ได้
บุคคลทำเช่นไร​ ย่อมได้อย่างนั้น
คนให้ของดี​ ย่อมได้ของดี
บุคคลทำดี​ ก็ย่อมได้ดี
ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน
พระพุทธเจ้าไม่ทรงหนีออกจากราชวัง
ออกจากบ้าน​ จากช่อง​ พระพุทธเจ้าท่านประเสริฐ
ขนาดคนรวยในเมืองของเรายังไม่เท่าเลย
เรายังไม่เท่าเลย ท่านไปทำไม
ก็เพราะมองเห็นความทุกข์นี่แหละ
เห็นความเกิดเป็นทุกข์​
แต่พวกเรามันมองไม่เห็นคล้าย​ ๆ​ กับว่า
ยังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว กงจักรปั่นเลือดไหลแดงร่า
ยังว่ามันสวยงามอยู่ เรามันเป็นอย่างนี้
เหมือนกันถ้าคนมืดคนบอด
ยังเห็นโลกนี้ว่าเป็นของสวยของงาม
เป็นของตัวเองทุกอย่าง​ นี่ทุกวันนี้คิดอย่างนี้
มันก็เลยไม่รู้จักว่า​ ของดีที่มีอยู่ ไม่อยากประพฤติปฏิบัติ
และไม่อยากทำเอาสร้างเอา
ลืมบุญเก่าที่ตัวเองได้สร้างมา​ เกิดมา
แล้วบางคนได้ยศถาบรรดาศักดิ์​ใหญ่​โตมโหฬาร
ก็ลืมเลย มันเป็นอย่างนี้​ ทีนี้จะทำยังไงพอมันลืมแล้ว​
ของโลกก็ทิ้งไว้โลก​ ทุกอย่างทิ้งไว้ในโลกนี้หมดนะ​
นี่กายก็เป็น​ของโลก ไม่ได้เอาไปด้วย​
แต่ว่าเหมือนกับคนเราจะข้ามฝั่งโน้นไป
จะข้ามไปก็ต้องอาศัยเรือ หรือว่ายข้ามไป​ จึงจะข้ามได้
ทีนี้การที่คนจะข้ามฝั่ง​ หรือพ้นฝั่งแห่งความทุกข์
มีชาติ ความเกิด
มีชรา​ ความแก่
พยาธิ​ ความเจ็บไข้
มรณะ​ ความตาย
ต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติ
ต้องอาศัย​ ศีล​ สมาธิ​ ปัญญา
ไม่ใช่จะอาศัยเงินอาศัยทองนะ
ต้องอาศัยศีล​ สมาธิ​ ปัญญาเป็นหลัก
ถ้าออกจากเส้นทางนี้ไปแล้ว ไม่มีทาง
คือปัจจัย ๔ วัตถุ​ เงินทอง​ เป็นของโลก
กายของเราทุกคนเป็นของโลกทั้งนั้น​
ไม่ใช่เป็นของใคร
เมื่อเป็นของโลก​ เราจะไป​ ก็ต้องทิ้งไว้โลกอันนี้
มีใครเอาไป​ ไม่มีหรอก
วัตถุเงินทองของโลกทั้งหมด ที่เราใช้
แต่ว่า​ เมื่อมันเป็นอย่างนั้น เราจะทำอย่างไร
จึงจะได้ความสุข ได้ความสบาย หรือยกฐานะของตัวเอง
ที่เกิดมาแต่ละชาติ ๆ​ ขึ้นไปเรื่อย​ ๆ
นี่จะทำยังไง ก็มีแต่คุณงามความดี
ทาน​ ศีล​ ภาวนา
นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรเลย

โอวาท​ธรรม
#พระเทพวัชรญาณเวที วิ.
(หลวง​ปู่​สมบูรณ์​ กันตสีโล)
วัดป่า​สมบูรณ์​ธรรม​ อ.ชาติ​ตระการ​ จ.พิษณุโลก

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/