ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

มีสติรู้ตัวตลอด
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=66104
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 01 ต.ค. 2025, 04:56 ]
หัวข้อกระทู้:  มีสติรู้ตัวตลอด

“ไปเถอะไปถือศีลภาวนามันเป็นเรื่องดี
คนบางคนอยู่วัดนาน เข้าวัดนานจนยึดว่า
วัดเป็นของเขา ของวัดเป็นของเขา
พระในวัดก็เป็นพระของเขา อยู่จนชินชินบาป
ชินกรรม”

หลวงปู่หา สุภโร






"การพยายามบำรุงรักษาร่างกาย
ให้มีกำลังแข็งแรงเสมอเป็นการดี
แต่การพยายามบำรุงรักษาจิตใจ
ให้เข้มแข็งสมบูรณ์ด้วยความดียิ่งๆขึ้น
เป็นการดียิ่งกว่า"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ






"สัตว์เกิดมาในโลก มีนิมิต ๕ คือ

ชีวิตนั้น กำหนดไม่ได้ ๑
พยาธิป่วยไข้ กำหนดไม่ได้ ๑
กาลมรณะ กำหนดไม่ได้ ๑
สถานที่ทิ้งศพ กำหนดไม่ได้ ๑
คติที่จะไปเกิดภพหน้า กำหนดไม่ได้ ๑

นี้แหละ นักปราชญ์เขาไม่ไว้ใจในชีวิต"

หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร





#ถ้ารู้แจ้ง ก็สบายแล้ว
พุทโธ ธัมโม สังโฆ เกิดขึ้นเอง
เพราะคำว่าพุทโธเป็นโลกุตรธรรม
(พ้นโลก) ทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นแล้ว
จิตใจสบายนิ่งเฉย ไม่ต้องไปคิดแล้ว

พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

เมื่อปฏิบัติได้แล้ว แจ่มแจ้ง ดับความทุกข์
พอเจริญภาวนาถูก เจริญมหาสติ
ได้ยินสักแต่ได้ยิน ดับหมดถึงธรรม

รู้ธรรม ความเห็นอย่างอื่นดับ ทุกข์มัน
ดับหมด ที่เคยมีแต่ก่อน ปัญหาเรา
ปัญหาเขา ปัญหาโลกฆ่าตัวตาย
มันไม่มีแล้ว ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ
ตั้งแต่ยอดพรหมจนถึงก้นนรกมันไม่มีแล้ว

เหมือนปลาทั้งหลายว่ายในทะเล มันไม่รู้
อะไรสักอย่าง จิตมืด ถ้าว่ายพ้นเงามืด
จากท้องฟ้าเจอแสงอาทิตย์ แจ๋วทันที
แจ๋วคลื่น แจ๋วน้ำ เกิดแสงสว่างพุทธปัญญา
รู้จักคลื่น รู้จักนั้น

คลื่นกับน้ำไม่มี distance หรอก
มันถึงเข้าใจกันยาก ระยะจากคลื่นถึงน้ำ
มีที่ไหน ได้ยินสักแต่ได้ยิน เป็นมหาสติ
เป็นปัญญาเกิด ไม่ต้องมาถามว่าอยู่ที่ไหน
นิพพานเหมือนท้องฟ้า มันก็มีอยู่อย่างไร
อย่างนั้น

ถ้าเกิดมาตาบอดจะไปเห็นได้อย่างไร
ถ้าจิตเห็นแสงสว่างแล้วตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป
ก็สบายแล้ว รู้แน่ว่านิพพานเท่านั้นที่เป็น
ที่พึ่งได้ แล้วก็ได้พึ่งแล้วตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป
อันนี้เป็นของแน่นอน แต่ต่ำกว่านั้นยังเป็น
ปุถุชน

แม้เป็นปุถุชนหากคิดดี ทำดี พูดดี ทานศีล
พอสมควร มันก็มีส่วนได้รับความสุขบ้าง
เกิดเป็นคนมีโชคดี นิสัยดีด้วย เป็นเทวดา
เป็นพรหมก็ค่อยยังชั่ว

ที่เขาฝันน่ะฝันดีก็ยังดีกว่าฝันร้าย ฝันเกิด
เป็นคนพิการ เป็นคนชั่ว เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เป็นสัตว์นรกมันก็แย่ ฝันดีไว้ คนที่แนวเดิม
มันดีแล้วรู้จักดี รู้จักชั่ว ก็ดีไป คนที่ไม่รู้จักดี
ไม่รู้จักชั่ว มันโง่ขนาดหนัก ก็ช่วยไม่ได้...

#หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต







“ ทำทุกอย่างต้องมี
" สติสมาธิ "
ตั้งใจดีทุกอย่างก็ดีเอง ,,
#โอวาทธรรม
#หลวงปู่เจ้าคุณศิลา_สิริจันโท








"ไม่มีอะไรจะประเสริฐ
เท่ากับการ
มีสามีเดียวมีภรรยาเดียว
ต่างคนต่างมีความซื่อสัตย์ต่อกัน
มีความรัก..มีความเคารพ
กันไปตลอดจนวันตาย"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี








แต่ก่อนอายุห้าสิบมันก็ไม่เป็นอย่างนี้
ตอนนี้อายุแปดสิบมันก็เป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่า
แก่ เรียกว่า กำลังแก่ ต้องยอมรับความจริงว่า
ชีวิตเรามีจำกัด เหมือนเรา คล้าย ๆ ว่าเรา
อ่านหนังสือ แต่ว่าไม่สามารถจะเห็นหนังสือ
ทั้งหมด เราอ่านวันละหน้า วันละหน้า
โดยไม่รู้ว่า หนังสือนี้มีกี่หน้า ชีวิตเรามัน
เป็นอย่างนั้น ถ้าเรารู้ว่าขนาดนี้ ขนาดนี้
ก็ว่าไปอย่าง มันอาจจะขนาดนี้ก็ได้
หนังสือหนา ๆ ก็มี หนังสือบาง ๆ ก็มี ชีวิตคน
มีอายุยืนก็มี อายุสั้นก็มี เราก็ไม่มีเครื่องรับรอง
ว่า เราจะอยู่ได้ถึงเจ็ดสิบ แปดสิบ เก้าสิบ
มันตายได้ทุกวัน เราไม่มีสิทธิอะไรที่จะอยู่
ให้ครบแปดสิบปี เก้าสิบปี เพราะชีวิตเรา
ไม่แน่นอน เพราะความตายแน่นอน แต่เวลา
ที่จะตายไม่แน่นอน นี่จึงทำให้ชีวิตมีคุณค่า
ทำให้เวลามีค่า

พระพุทธศาสนาจึงมีหลักว่า ชีวิตที่ประเสริฐ
ชีวิตที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ
ความหลง เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเมตตา
กรุณาและปัญญา เป็นชีวิตที่เป็นอิสระอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่า สำนวนที่เรามักจะใช้กัน ก็พูด
ในทางลบมากกว่า ว่า ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
นี่ก็ฟังบ่อย ๆ แต่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้ว
ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเหลือ ว่างเปล่า
แต่พอสิ่งที่ไม่ดีไม่อยู่ สิ่งที่ดีก็งอกงาม ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร







อย่าทำชีวิตอันมีค่านี้ให้เสียเปล่า
การได้เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก
และการได้พบพระศาสนาที่สุดประเสริฐ
คือพระพุทธศาสนาก็ยิ่งแสนยาก
จงภูมิใจให้อย่างยิ่งทุกเวลา ที่ได้เกิดมา
เป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาแล้ว
อย่าให้เสียชาติเปล่า ...
...
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร








ฝึกตัดร่างกายไว้ตายเมื่อไรไปพระนิพพาน
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ในเมื่อนึกถึงความตายได้ นึกถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ได้ ทรงศิลได้ ก็ตั้งอารมณ์
ไว้โดยเฉพาะพระนิพพาน ให้มีความเข้าใจตาม
ความเป็นจริงว่าร่างกายของเรามีสภาพไม่เที่ยง
มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สลายตัวไปในที่สุด
ให้ถือว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกาย
เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันก็ตาย
ถ้ามันตายเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆ อย่างนี้
เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการนิพพานจุดเดียว

ถ้าคิดอย่างนี้ทุกวันนะ เวลาที่ป่วยหนักใกล้จะตาย
อารมณ์ทั้งหมดที่คิดวันละเล็กวันละน้อย มันจะ
รวมตัวเพื่อนิพพานโดยตรง จะวางเฉยทั้งหมด
การที่จะไปนิพพานได้จริงๆ อารมณ์จิตมันจะ
วางเฉยในทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมด ขณะที่เราป่วย
ไร่นาสาโทบ้านช่องทรัพย์สินต่างๆ มันก็เฉยเมย
ก็ไม่สนใจ จิตมันเฉยมีอารมณ์ทรงเกาะเฉพาะ
พระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ หรือพระธรรม พระสงฆ์
ด้วยก็ได้ตามใจชอบ แต่มันจะไม่สนใจใน
ทรัพย์สิน ไม่สนใจกับร่างกาย ถือว่าร่างกายมัน
จะตายก็เชิญตาย เราจะไปนิพพาน

เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฝึกไว้ทุก
วันนะ ถึงเวลาใกล้จะตายเมื่อไร ไปนิพพานเมื่อนั้น

จาก : หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๔
โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง







โปรดทราบไว้เสมอว่า สติเป็นของสำคัญ ทุก ๆ ครั้งและทุก ๆ ขั้นของจิตขึ้นอยู่กับสติ อย่าให้ขาดไปในขณะอบรม จิตจะขาดธรรมเครื่องบำรุง การภาวนาจะกำหนดลมหายใจเข้าออกที่เรียกว่า อานาปานสติ เป็นต้นก็ตาม จงทำความพยายามให้สติอยู่กับลมจริง ๆ ทั้งลมเข้าและลมออก ตลอดความหยาบ ความละเอียดของลมทุกระยะไป จนปรากฏผลคือความสงบสุขขึ้นมา วิธีนี้เรียกว่า “สมาธิอบรมปัญญา”... .

ต่อไปนี้เป็น “ปัญญาอบรมสมาธิ” ปัญญาอบรมสมาธินั้นเป็นธรรมที่ควรนำมาใช้ในเวลาที่จิตมีความฟุ้งซ่านรำคาญจนเกินควร เช่น จิตประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ จนเกิดความเสียอกเสียใจอย่างรุนแรง หรือเกิดความเพลิดเพลินจนเกินตัว ปัญญาทำการพิจารณาหักห้ามกีดกันจิตที่กำลังฟุ้งซ่านกับอารมณ์ในเวลานั้น ให้จิตรู้สึกตัวด้วยเหตุผลโดยวิธีต่าง ๆ จนจิตยอมรับหลักเหตุผลและยอมจำนนต่อปัญญา ผู้พร่ำสอนแล้วกลับตัว แล้วย้อนเข้าสู่ความสงบได้เช่นเดียวกับสมาธิอบรมปัญญา

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








เราอยากให้พี่น้องชาวพุทธเราสนใจทางด้านจิตตภาวนาบ้าง จุดนี้เป็นจุดที่เด่นของพระพุทธศาสนา เด่นมากทีเดียวจุดนี้ เป็นสักขีพยานของพระพุทธเจ้าได้เลย แล้วยอมรับพระพุทธเจ้า จะเห็นองค์ไม่เห็นองค์ก็ตาม พอเข้าถึงจุดนี้หนักเท่าไรพระพุทธเจ้าก็เหมือนว่าติดอยู่ข้าง ๆ อยู่กับตัวของเราไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เหมือนองค์ศาสดาไปด้วยกันเลย ถ้าลงถึงขั้นธรรมธาตุ แล้วเป็นเหมือนศาสดาไปด้วยกันเลยตลอด

นั่นล่ะ จึงว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต คือ เห็นธรรมชาติที่หายสงสัยกัน พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จะรวมลงในจุดธรรมธาตุอันเดียวกันหมดเลย ไม่มีแง่ ไม่มีสงสัยย
.
--- คำสอน หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ๗ มีนาคม ๒๕๔๗







"..ฉะนั้นการทำสมาธิภาวนา จึงเป็นวิธีปฏิบัติต่อใจได้ดีและถูกทาง ยิ่งเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแล้ว สติปัญญายิ่งมีความสำคัญมากในการตามรู้และรักษาจิต ตลอดการต้านทานทุกขเวทนาไม่ให้มาทับจิตในเวลาจวนตัว ซึ่งเป็นเวลาเอาแพ้เอาชนะกันจริง ๆ ถ้าพลาดท่าขณะนั้นก็เท่ากับพลาดไปอย่างน้อยภพหนึ่งชาติหนึ่ง เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดใดก็ต้องเสียเวลานานเท่าชีวิตของสัตว์ในภพภูมินั้น ๆ ขณะที่เสียเวลายังต้องเสวยกรรมในกำเนิดนั้นไปด้วย ถ้าจิตดีมีสติพอประคองตัวได้ อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่านั้นก็ไปเกิดในเทวสถาน ชมวิมานและเสวยทิพย์สมบัติอยู่นานปีถึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ลืมศีลธรรมที่ตนเคยบำเพ็ญรักษามาแต่บุพเพชาติ ทำให้เพิ่มอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารขึ้นโดยลำดับ จนจิตมีกำลังแก่กล้าสามารถรักษาตัวได้ การตายก็เป็นเพียงการเปลี่ยนร่างจากต่ำขึ้นไปสูง จากสั้นไปหายาว จากหยาบไปหาละเอียด จากวัฏจักรไปเป็นวิวัฏจักร ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนเครื่องเสวยมาเป็นลำดับ สุดท้ายก็หมดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอะไรต่อไปอีก เพราะจิตที่ได้รับการอบรมไปทุกภพทุกชาติจนฉลาดเหนือสิ่งใด ๆ กลายเป็นนิพพานสมบัติขึ้นมาอย่างสมพระทัยและสมใจ ซึ่งล้วนไปจากการฝึกฝนอบรมจิตให้ดีไปโดยลำดับทั้งสิ้น.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส
ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








ทองคำมีความโดดเด่นอยู่ตรงที่ค่อนข้างบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเกล็ดหรือก้อน ไม่ต้องใช้วิธีถลุงออกมาเหมือนสินแร่ชนิดอื่น อีกทั้งยังมีความเหนียวเป็นพิเศษ ดัดโค้ง ยืดหรือตีให้เป็นแผ่นบางๆ ได้ ทองหนึ่งกรัมสามารถตีเป็นแผ่นทองคำเปลวได้ถึงหนึ่งตารางเมตร หรือตียืดเป็นเส้นลวดได้ยาวสองกิโลเมตร

พระสูตรเก่าแก่จะส่งเสริมผู้ที่ต้องการศึกษาเรียนรู้ว่า อย่าน้อมรับคำสอนของพระพุทธองค์เพียงเพราะศรัทธา แต่ให้นำมาพิสูจน์ด้วยตนเอง เช่นเดียวกับช่างทองที่ทดสอบความบริสุทธิ์ของทองคำ วิธีหนึ่งที่แนะนำกันคือการเอาทองมาฝน อาตมาเองก็เพิ่งทราบไม่นานนี้เองว่าทำกันอย่างไร สมัยโบราณในอินเดีย ช่างจะเอาทองที่คนเอ่ยอ้างมาฝนกับ ‘หินลองทอง’ ซึ่งเป็นหินที่อุดมไปด้วยแร่ซิลิกา เช่น หินแจสเปอร์สีดำ ผงทองจะฝนติดกับหินแจสเปอร์ซึ่งแข็งกว่า และริ้วทองอันเหลืองอร่ามจะบอกได้ว่าทองนั้นบริสุทธิ์จริง

บางคราว อาจพบทองคำปะปนกับสินแร่โลหะอื่น ๆ เช่น เงินหรือดีบุก พระพุทธองค์ทรงอุปมาสิ่งเจือปนเหล่านี้กับนิวรณ์ทั้งห้าอันบุคคลพึงละระหว่างเจริญสมาธิ ทรงเปรียบจิตที่ตั้งมั่นว่าเหมือนทองบริสุทธิ์ โดยทรงแสดงคุณสมบัติบางประการของจิตนั้นว่า อ่อนโยน ยืดหยุ่น และผ่องใส ครั้นไม่แตกหรือหักง่าย จิตนั้นย่อม ‘ควรแก่งาน’

งานสำหรับทองคำคือการสร้างสรรค์สิ่งงดงาม งานที่มุ่งหมายสำหรับจิตอันบริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเศร้าหมอง โดยอาศัยความเพียรชอบ คือการพิจารณากายใจว่าไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) และไม่ใช่ตัวใช่ตนอย่างแท้จริง (อนัตตา)

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ








"..อนัตตา ถ้าหากตายไปในวันนี้ พรุ่งนี้ สิ่งต่างๆที่เคยมีและผ่านเข้ามาตะเกียกตะกายดิ้นรนไข่วคว้า ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเรา.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







"สมมุติ, วิมุติ"

โลกนี้อยู่ได้ด้วยสมมุติ
พุทธเจ้าจึงให้ความสำคัญเรื่องสมมุติ
ว่าให้เรารู้จักปฏิบัติให้ถูกต้องตามสมมุติ
แต่รู้จักปฏิบัติอย่างรู้เท่าทัน
ไม่หลงตามสมมุติ แต่ก็ไม่ผิดสมมุติด้วย
ถ้าผิดสมมุติก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
...
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม







#ขอบคุณเครดิตจากเพจ100พระชันษา สมเด็จพระสังฆราช

ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปิ อกฺขาตาโร ตถาคตา
ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา

“ ท่านทั้งหลายต้องทำความเพียรเอง
ตถาคตเป็นแต่ผู้บอก ผู้มีปกติเพ่งพินิจ
ดำเนินไปแล้ว จักพ้นจากเครื่องผูกของมาร ”

นี้เป็นพระพุทธภาษิต
พระพุทธภาษิต คือ พระดำรัสที่เป็นภาษิต
ของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมเด็จพระบรมครูผู้ยิ่งใหญ่
ไม่มีผู้เปรียบเสมอ ผู้มีปัญญาทั้งหลาย
จึงไม่ละเลยพระพุทธภาษิต
จึงให้ความเคารพอย่างสูงสุด
ด้วยการพยายามปฏิบัติ
ตามที่ทรงมีพระพุทธดำรัสสอนทั้งปวง
เพื่อประโยชน์ใหญ่หลวงได้เกิดแก่ชีวิตของตน
.
--- พระนิพนธ์ : “แสงส่องใจ มาฆบูชา ๒๕๔๙”
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร








"...หลวงปู่เทสก์ ท่านให้โอวาทว่า... คราวหนึ่ง
ไปกราบเยี่ยมท่าน พอกราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า
'เจ้าคุณมาแล้วก็ดีแล้ว จะเว้าอะไรให้ฟัง' หลวงพ่อ
ก็บอกว่า 'ถ้าจะเว้าก็รีบเว้า อยากฟังอยู่เหมือนกัน'
เสร็จแล้วท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า 'สมาธิในฌานมันโง่
สมาธิในอริยมรรคมันฉลาด' สมาธิในฌาน จิตสงบ
นิ่งแล้วรู้ในสิ่งๆ เดียว ความรู้อื่นไม่ปรากฏ แต่สมาธิ
ในอริยมรรค พอจิตสงบแล้วมีความรู้ความคิด
ผุดขึ้นๆ อย่างกับน้ำพุ จิตก็มีสติกำหนดรู้ตามไปทุก
ระยะ พอไปถึงจุดหนึ่ง จิตก็จะนิ่งกึ๊กลงไปแล้วสว่าง
ไสว กิเลสทั้งหลายมาวนรอบจิตอยู่ เมื่อมาถึงความ
สว่างของจิต มันจะตกไปๆ เหมือนแมลงบินเข้ากอง
ไฟ อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทสก์

ทีนี้โอวาทของ หลวงปู่ฝั้น 'อย่าปล่อยให้จิตมันอยู่
ว่าง' คำว่าอย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่างนี้ เราควรทำ
ความเข้าใจอย่างไร เราจะสร้างความคิดให้มัน
ไม่หยุดยั้งอย่างนั้นหรือ... ไม่ใช่ อย่าไปเข้าใจผิด
คำว่า อย่าปล่อยให้จิตมันอยู่ว่าง คือ ให้มีสติ
กำหนดรู้จิตตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง
นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติรู้ตัวตลอด
เวลา ท่านหมายความว่าอย่างนั้น

โอวาทของ หลวงปู่แหวน 'เจ้าคุณอย่าไปไขว่คว้า
อะไรให้มันมากมายนัก ให้กำหนดสติรู้จิตเพียง
อย่างเดียว บาปมันเกิดที่จิต บุญมันเกิดที่จิต
ดีชั่วเกิดที่จิต สวรรค์นิพพานเกิดที่จิต มันไม่ได้
เกิดที่อื่น เพราะฉะนั้น เราอยากจะรู้จริงเห็นจริง
ในธรรมะคำสั่งสอนหรือจะสำเร็จมรรคผลนิพพาน
ให้กำหนดสติรู้จิตเพียงอย่างเดียว' องค์นี้สอน
อย่างนี้..."

#ที่มา หนังสือ รักษ์วงศ์กรรมฐาน
พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )
.............................................................

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/