วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 06:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2023, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…เราต้องลุยต้องบุก
อย่ารอให้กิเลสบุกแล้วค่อยสู้มัน
ถ้ามันบุกแล้วจะสู้ไม่ได้
พอกิเลสออกฤทธิ์แล้ว
เราจะอ่อนปวกเปียกไปหมดเลย.
…………………………………………

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๑๗ กัณฑ์ที่ ๓๙๘
วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๒







มองตัวเองให้มากจึงจะกลายเป็นคนดีได้ มัวแต่มองท่านผู้อื่นแล้วไซร้ ก็กลายเป็น คนพาลไป ไม่รู้ตัว

เพราะนิสัยคนพาลย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร พุทธศาสนาก็ยืนยันว่า "สอนตนดีแล้ว จึงสอนท่านผู้อื่น"

จึงจะไม่เดือดร้อนในภายหลัง เรื่องอุปสรรคในโลกทั้งปวง และก็เป็นยาวิเศษทั้งปวงไปในตัว

คำสอนหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี จ.มุกดาหาร






พวกเราก็เหมือนกันนะ
พุทธันดรหนึ่งๆ สติถึงโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง

ปัญญา แย็บบ้างก็ไม่ได้เท่าแสงหิ่งห้อย มืดมิดปิดตาไปอีก จนเลยพุทธันดรก็ไม่รู้แหละ วันหนึ่ง ๆ จะระลึกแค่ไหน ได้แค่ไหนก็ไม่รู้
สองพุทธันดร สามพุทธันดร ระลึกสติได้ทีหนึ่งก็ไม่รู้

ส่วนปัญญา
น่าจะสี่ห้าพุทธันดรกว่าจะแย็บออกมาได้เท่าแสงหิ่งห้อย
นอกนั้น จมน้ำอยู่ในสุญญกัปเสียทั้งนั้น

พระธรรมคำสอน
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕







#อานิสงส์ของศีล_๕_เมื่อรักษาได้
๑.ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
๒. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
๓. ระหว่าง ลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำ กล้ำกราย ต่างครองกันอยู่ด้วยความผาสุข
๔. พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์
เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ ด้วยศีล
๕. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่ เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลก ให้มีแต่ความอบอุ่นใจ ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต





"ความตื่น...
ในตัวของเรานั้น เป็นของดีมาก
เป็นเหตุให้รู้สึก ตื่นตัว...
ทำความดีทั้งทางกาย และทางใจ

อย่างเช่นเรา ไม่เคยมีศีลเลยสักตัว
ปีนี้เอาให้มันได้ศีลตัวหนึ่ง
ปีต่อไปได้อีกเป็น ๒ตัว พอ ๔ปี ๕ปี ก็ได้ศีล ๕ครบบริบูรณ์
ก็มีความอุ่นใจแล้ว สบายใจแล้วคราวนี้

เมื่อมีศีล สมบูรณ์แล้ว
ต่อไปก็ตื่นทำสมาธิ หัดทำสมาธิภาวนา
จิตใจ...ยังไม่ทันเป็นสมาธิ
ก็หัดให้เป็นสมาธิ จิตใจแน่วแน่สงบลงเป็นหนึ่ง
มันยังไม่ทันเป็นจึงต้องหัด หัดให้มันเป็นภาวนา
ปีนี้ ได้แค่นี้...ปีหน้า ให้ได้ต่อจากนี้ไปอีก

ทำสมาธิ...ให้ได้แน่วแน่
ปีต่อไปให้ได้ชำนิชำนาญกว่านี้อีก

ทำสมาธิ...ได้บ้างไม่ได้บ้าง
มันส่งส่ายวอกแวกไปมาสารพัด ทุกอย่าง...
ทำทีแรก มันเป็นอย่างนั้น ก็ดีอยู่...เราเห็นจิต
ดีกว่า...ไม่เคยเห็นจิตเสียเลย ทีหลังต่อไป
ให้มันแน่วแน่ลงไป

ปีหนึ่งทำสมาธิ ให้ได้สักครั้งหนึ่งก็ยังดีอยู่
ดีกว่า...ที่เราอยู่เฉยๆ
ไม่ได้หัดสมาธิเลย ไม่ทราบว่า...เกิดมากี่ภพ
กี่ชาติ ยังไม่เคยทำสมาธิ สักที

ชาตินี้...
ทำให้มันได้สักครั้งหนึ่ง ก็ยังนับว่า...ดีอยู่
ปีต่อไป ก็หัดให้มันได้บ่อยเข้า
หัดให้มันชำนิชำนาญ คล่องแคล่วเข้า
ทำให้มันได้เป็นขั้น เป็นตอนไป จนกระทั่ง...
มันชำนาญ ทำเวลาใดให้มันได้เวลานั้น

อันนั้นเรียกว่า...
ต่ออายุ ต่อวรรณะ สุขะ พละ ขึ้นไป
นี่แหละ ! ของที่ควรตื่น ควรตื่นทำสมาธิภาวนา
ถ้าหากไม่เช่นนั้น...
จิตใจของเรา มันอยู่เสมอภาค อยู่...เสมอเก่า."

----------------------------------------------------------------------
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมาเป้ง.







ในการที่จะสร้างเมตตาขึ้นมา คือ เป็นตัวที่เรามีความต้องการให้เกิดขึ้นมาให้จงได้นั้น มันจะไปนึกเอาไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ นึกเท่าไหร่มันก็เป็นไปไม่ได้ จะไปนึกว่า มีเมตตา เมตตาแล้ว เรานึกได้แล้ว นึกไปแล้ว แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ถ้าหากเราไม่ทำเมตตาตัวนี้ให้เกิดเป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริง มันก็เหมือนกับว่า เรานึกว่า เราต้องการจะเป็นเศรษฐี นึกเอาได้ แต่มันไม่ใช่ นึกได้ แต่มันแค่เดี๋ยวเดียว แค่ 5 นาที หรือไม่ถึง 5 วินาที นาทีเดียวก็นึกได้ แต่มันไม่เป็นจริง เพราะอะไร เพราะมันแค่นึกเอา

ก็เช่นเดียวกับ "เมตตา" ไม่ใช่เราจะมานึกเอา ท่านทั้งหลายจงพากันทำความเข้าใจ และจงพากันหาหนทางสร้างเมตตานี้ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อที่พวกเราจะได้มีชีวิตของเรานี้ให้เกิดคุณค่ามหาศาล

หนทางที่หลวงพ่อจะบอกนั้น มันเป็นสิ่งที่ง่ายนิดเดียว แต่ไม่มีคนทำ ไม่มีคนอยากทำ เพราะฉะนั้นจึงต้องแสดงไว้ว่า ถ้าไม่ทำ ปล่อยให้ตัวของเรานี้เสียคุณค่าไปแล้ว ชีวิตก็หมดความหมายโดยประการทั้งปวง

ธรรมะรุ่งอรุณ 5 หน้า 7
************************
พระพรหมมงคลญาณ (วิ.)
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล
ประธานผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ







..เกิดชาติใดภพใดถ้ายังเกิดอยู่ก็ขอให้มีความผาสุข ขอให้มีสติปัญญารักษาตนเองตั้งอยู่ในความดีอย่างนั้น ก็เรียกว่าพากันตั้งใจทำคุณงามความดี ชีวิตก็เลยมีประโยชน์ มีกำไรในชีวิตของบางบุคคล ถึงแม้ไม่มาก บางคน 40 ปี 50 ปี 60 ปี ก็เสียไปก็มีบางคน แต่ถ้าหากทำคุณงามความดีเอาไว้ก็มีกำไร ถ้าหากบุคคลพากันมีอายุยืนมากเท่าไหร่ ได้ทำคุณงามความดีไว้มากเท่าไรก็จะยิ่งมีกำไรมากในชีวิต ก็เลยไม่เปล่าประโยชน์ มองดูชีวิตของตนเองก็ชื่นใจว่า เอ.. เราได้ทำคุณงามความดีเอาไว้น้อ.. เกิดชาติใดภพใดก็ไม่ทุกข์ยากลำบากแน่ จะอยู่ก็มีความสุขความเจริญแน่นอน นี้ก็มั่นใจได้ ใจก็เลยมีความสุข ใจได้กินอาหารดีคือตั้งอยู่ในคุณงามความดีนั้นเอง..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่





สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้ง ๖ ก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกกรณีอยู่แล้ว คือเป็น จิตหนึ่ง หรือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่โอกาสอำนวยให้ทำก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ







ชีวิตเรามันก็ใกล้เข้าไป
พญามัจจุราชคอยจ้อง คอยท่า
ซึ่งเราก็ไม่เห็น ไม่รู้ตัว

แต่ที่รู้แน่ก็คือ มัจจุราชคือความตายมาแน่
เรารู้ว่าต้องตาย
แต่เราไม่รู้ว่าจะตายวันไหน เดือนไหน ปีไหน
อายุเท่าไร ตายตอนเวลาเท่าไร
ปุบปับบางทีเห็นหน้ากันหยก ๆ
ตายเสียแล้ว

เมื่อตอนเช้าเคล้าชื่นระรื่นรส
พอสายหมด ลาลับลงดับขันธ์
เมื่อตอนสายยังเป็นสุขสนุกครัน
พอบ่ายพลันชีวาตม์มาขาดรอน
เมื่อตอนบ่ายรายล้อมพร้อมหน้าญาติ
พอเย็นขาดชีวาลงคาหมอน
เมื่อตอนเย็นเป็นสุข ไม่ทุกข์ร้อน
ค่ำม้วยมรณ์ โอ้ชีวิตอนิจจา
นอนไปไม่ตื่น ก็มีอยู่

ทุกคนต้องให้รู้ว่าเราต้องจากโลกนี้ไป
เรามีสิ่งใด เราก็ต้องจากสิ่งนั้น
การที่จะปรารถนาอย่าให้จาก อย่าให้พลัดพราก
มันไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้พิจารณาอยู่เป็นประจำ
เพื่อจะได้บรรเทาความโศกเศร้าเวลาสูญเสีย
ให้จิตเราพิจารณาจนเกิดการชิน เกิดการยอมรับ
จิตที่เข้าไปรักไปผูกพันบุคคลใดสิ่งใด
เวลาสูญเสียพลัดพราก มันก็จะเศร้าโศกเสียใจมาก
แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้
ความโศกเศร้าไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย
กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่

การพิจารณาเนือง ๆ
เรามีความแก่เป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นไปได้
เรามีความตายเป็นธรรมดา
ไม่ลวงพ้นไปได้
เราจะต้องพลัดพรากของรักของเจริญใจทั้งหลายไป

เรามีกรรมเป็นของของตน
เรามีกรรมเป็นกำเนิด
เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
เราเป็นทายาทของกรรม
เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม
เราก็จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมเหล่านั้น

พิจารณาไว้มาก ๆ
จะทำให้เราไม่ประมาทในความที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว
ไม่ประมาทที่เรายังแข็งแรงอยู่
ไม่ประมาทในชีวิต
แล้วก็เราจะได้รู้จักคลายออกสละออก
จากความหลงใหลเพลิดเพลิน
ความรักความใคร่ ความพอใจติดใจ
ซึ่งมันจะเป็นเหตุนำมาซึ่งความเศร้าโศก

เปลี่ยนจากความรักที่เป็นตัณหา
มาเป็นความรักที่เป็นเมตตา
คือความปรารถนาดี
อยากให้เขามีความสุข
อยากให้เขาไม่มีความทุกข์
อย่างนี้ดี ไม่เศร้าโศก

ธรรมบรรยาย ชีวิตประเสริฐ ถ้าเกิดในธรรม
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา






"เรื่องของบุญท่านเปรียบเหมือนว่าฝนตกลงในโอ่งใหญ่ๆเรื่องทำบุญก็เหมือนกันเรามีน้อยเราก็ใส่ตามที่เรามีตามฐานะที่เราหามาได้ด้วยความบริสุทธิ์เราก็ได้บุญมากเหมือนเม็ดฝนที่ตกลงในโอ่งมันตกทีละเม็ดแต่มันตกตลอดทั้งวันทั้งคืนมันก็เต็มโอ่งใหญ่ๆได้"

โอวาทธรรม:หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร






"...รู้สึกตัวไว้ ศัตรูของความรู้สึกตัวคือ ใจลอย หลงไป
ในโลกของความคิด คิดๆ ทั้งวันทั้งคืน ทั้งยามหลับยาม
ตื่น เวลาที่เราไปคิด เราจะลืมกายลืมใจ เรียกว่าไม่ได้
ปฏิบัติวิปัสสนา เพราะฉะนั้นให้รู้สึกกายรู้สึกใจจนเห็น
ความจริงของกายของใจ

ความจริงเบื้องต้นที่จะเห็นคือ เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเรา
นี่ความจริงอันแรกที่จะเห็นนะ เราเห็นเกิดดับ เกิดดับ
เกิดดับไปเรื่อย ถึงจุดหนึ่งเราจะรู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายนี้เป็นแค่วัตถุธาตุที่จิตใจมาอาศัยอยู่ชั่วคราว
ร่างกายนี้เป็นวัตถุธาตุที่มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก
อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นก้อนธาตุที่ยืม
โลกมาใช้ชั่วครั้งชั่วคราว จิตใจก็มีแต่ความไม่เที่ยง
นี่คือความจริงของมัน

จิตใจไม่เที่ยงคือจิตใจเราทำงานทั้งวันทั้งคืน เคลื่อน
ไหวเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่ง จิตใจก็เป็นอนัตตา
สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ สั่งให้ดีก็ไม่ได้ จะชั่วก็ห้ามไม่ได้
อีก ห้ามทุกข์ก็ไม่ได้ สั่งให้สุขก็ไม่ได้ ทำอะไรกับมัน
ไม่ได้สักอย่าง นี่ดูลงไปจนเห็นความจริงว่ามันบังคับ
ไม่ได้หรอก มันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ร่างกายก็ยืมเขา
มาใช้ ยืมวัตถุธาตุมาใช้ ส่วนจิตใจก็เคลื่อนไหวเปลี่ยน
แปลง บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ใครเห็นความ
จริงอย่างนี้ เรียกว่าพระโสดาบัน..."

#โอวาทธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๐


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 168 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร