วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 06:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2023, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…ความสุขทางโลก
เป็นความสุขหลอกๆ
เป็นความทุกข์กับจิตใจ
เป็นสุขกับกิเลส

.เวลาได้สัมผัส
รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
กิเลสจะดีใจ

.เหมือนแมงเม่าเห็นแสงไฟ
จะบินเข้ากองไฟทันที
แล้วก็จะถูกไฟเผาตายไป
กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา.

…………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๑๕ กัณฑ์ที่ ๓๘๗
วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๑





“ถ้าใจมีธรรมเป็นที่อยู่แล้ว
จะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่มีความเดือดร้อน
แต่ถ้าใจนั้นไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แล้ว
ต่อให้นั่งนอนอยู่ในปราสาททอง
ก็ไม่มีความสุข เพราะ ไฟกิเลสมันเผาผลาญหัวใจ
ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่มิเว้นวาย”

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม





"...เวลาที่ตกทุกข์ได้ยากตกระกำลำบาก พึงอย่าท้อ
ถ้าท้อก็ให้ระลึกถึงบุญของตัวเอง หลวงปู่เคยท้อหลายครั้งที่อยู่ป่าอยู่เขา ท้อ.. ความท้อมันก็ต้องมีในจิตตัวเดียวนั่นแหละ มันก็มีการท้อเป็นของธรรมดา ถ้าท้อให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระองค์หนักกว่านี้สาหัสสากรรจ์กว่านี้สลบไสล ๓ หน ปางตายนับไม่ถ้วน กว่าที่พระองค์จะตรัสรู้เป็นโพธิญาณในสมัยปัจจุบัน แต่ในอดีตชาติล่ะ พระองค์สร้างบารมีขนาดไหน

ลูกต้องเข้าใจนะการสร้างบารมีนี่ไม่ใช่ว่าจะสุขสบาย ถ้าสุขสบายนี่สร้างบารมีไม่ได้นะ #มารไม่มีบารมีไม่เกิด จะไปสร้างกับใครล่ะ มีแต่คนคิดว่าการสร้างบารมีต้องมีความสุขสบายๆ เป็นไปไม่ได้ การสร้างบารมีอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ เหมือนพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระมโหสถ ตกระกำลำบากขนาดไหน เขาไล่ฆ่าไล่อะไร หลบหนีไปทางชายแดน ไปหลบอยู่ ไปขอทานเขากินไปเป็นช่างชุนผ้าหากินพอประทังชีวิตไป ทั้งๆ ที่เป็นขุนนางอยู่ในพระราชวัง ถึงคราวตกระกำลำบาก ก็ต้องตกระกำลำบาก แต่ไม่ทิ้งธรรม คือไม่ทิ้งบุญกุศลที่ตนได้ประพฤติปฏิบัติมา หมายถึงระลึกถึงบุญที่ได้สร้างไว้แล้ว ที่เราจำได้ ปัจจุบันชาติด้วยอดีตชาติด้วยไหลรวมกันมา และ ปฏิบัติให้หนักในช่วงที่เราตกระกำลำบาก
นี่คือการสร้างบารมี..."

พระธรรมเทศนา องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
วัดป่าห้วยริน






. ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

ผู้มีปัญญา ได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ควรรีบทำเสีย

ผู้มีปัญญา ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรแยกกิเลสให้หมดไป จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน

คำสอนหลวงปู่ มั่นภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร







"ความลึกลับสลับซับซ้อนของจิต ล้วนพาเราลุ่มหลง"

เรื่องของจิตเป็นเรื่องลึกลับสลับซับซ้อนมาก เพราะกิเลสพาให้สลับซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องธรรมพาให้สลับซับซ้อน นี่ละโลกเราที่ได้

#หลงกัน

#หลงโลก

#หลงสงสาร

#หลงความเกิดแก่เจ็บตายของตน

ซึ่งเคยเป็นมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่อย่างนั้นยิ่งกว่าฟุตบอล ก็ยังหลงและลบล้างความเป็นมาของตนได้ โดยเห็นว่าตนไม่เคยเกิดตนไม่เคยตาย ตนไม่เคยทุกข์เคยลำบาก ตนไม่เคยตกนรกหมกไหม้ ตนไม่เคยไปสวรรค์ชั้นใดๆ

ความจริงสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจิตดีชั่วทั้งนั้น

#จิตดีก็ไปสูง

#จิตไม่ดีก็ไปต่ำ

#จิตดีก็เป็นสุข

#จิตชั่วก็เป็นทุกข์

สถานที่อยู่ของผู้มีสุขมีทุกข์ก็คือนรกสวรรค์ อบายภูมิทั้งสี่จนถึงพรหมโลก เหมือนกับสถานที่อยู่ของนักโทษและผู้หาโทษมิได้นั่นแล มันมีอยู่อย่างนั้นจะไปลบล้างได้ยังไง

#ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกิเลสพาลบล้าง มันปิดมันบังสิ่งที่เคยเป็นมาของตนเสียอย่างมิดชิดชนิดปิดหูปิดตามองไม่เห็น แล้วก็ยึดเอาความมองไม่เห็นนั้นมาลบล้างสิ่งที่มีว่าไม่มีไปเสียโดยไม่คิดสะดุดใจบ้างเลย นี่ละคนเราที่ทำชั่วปล่อยตัวจนจมมิด และหมดหวังทั้งที่ร่างกายและชีวิตยังมีลมหายใจอยู่ ก็เพราะอำนาจกิเลสตัวพาคนให้มืดบอดนี่แล มิใช่ดินฟ้าอากาศมืดแจ้งพาให้เป็น

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด

#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ








สมาธิ คือจิตที่แน่นอยู่ในอารมณ์เดียวเรียกว่า “สมถะ” จิตที่ไม่ติดต่อกับสิ่งใด มีความสะอาด ปราศจากอารมณ์ภายนอก มีสติสัมปชัญญะ รู้รอบคอบ ปลดปล่อยอารมณ์เสียได้ เรียกว่า “วิปัสสนา” เมื่อสมาธิซึ่งประกอบด้วยวิปัสสนาเกิดขึ้น ความเป็นใหญ่ เป็นอิสระในตัวทั้ง ๕ อย่างก็จะบังเกิดขึ้นพร้อมกันคือ

๑. ”สัททินทรีย์” ศรัทธาความเชื่อก็เข้มแข็งมั่นคง ใครจะมาพูดดีหรือไม่ดีอย่างไร ใจก็ไม่หวั่นไหว

๒. “วิริยินทรีย์” ความพากเพียรก็แก่กล้า ถึงใครจะมาสอนให้หรือไม่สอนให้ ก็ทำไปเรื่อย ไม่ท้อถอยหรือหยุดหย่อน

๓. “สตินทรีย์” สติก็เป็นใหญ่ เป็นมหาสติ ไม่ต้องไปข่มไปบังคับ มันก็แผ่จ้ากระจายไปทั่วตัวเหมือนต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านใบของมันย่อมจะแผ่สาขาลงมาคลุมลำต้นของมันไว้ และพัดกระพือขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครไปจับเขย่าหรือดึงยอดมันลงมา ความรู้ของเราก็จะจ้าไปหมด ทั้งยืนเดิน นั่ง นอนทุกอิริยาบถ มันรู้ของมันได้เองโดยไม่ต้องไปนึก ความรู้รอบอย่างนี้แหละเรียกว่า ”มหาสติปัฏฐาน”

๔. “สมาธินทรีย์” สมาธิของเราก็เป็นใหญ่ จะทำอะไร ๆ อยู่ก็ตาม จิตก็ไม่มีวอกแวก ถึงจะพูด จะคุยกันให้ปากอ้าออกไปตั้งวา ใจก็คงที่เป็นปกติอยู่ กายมันจะอยากกิน อยากนอน อยากนั่ง อยากยืน อยากเดิน อยากวิ่ง อยากนึก อยากคิด อยากพูด อยากทำก็ทำไป ช่างมัน หรือว่ากายมันจะเจ็บ จะป่วย จะปวด จะเมื่อยที่ตรงไหนก็ให้มันเป็นไป จิตใจก็ตั้งเที่ยงอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่วอกแวกไปทางอื่น

๕ “ปัญญินทริย์” ปัญญาความฉลาดรู้ก็เป็นให้เกิดขึ้นในตนเอง อาจสามารถที่จะทำดวงจิตของตนให้บรรลุธรรมสำเร็จมรรคผลเป็นโสดา สกิทาคา อนาคาจนถึง อรหันต์ ก็ได้

-:- ท่านพ่อลี ธมฺมธโร -:-
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ






เราอยากมีอายุยืน
ไม่ต้องไปมองท้ายชีวิตหรอก
เอาให้มีอายุยืนในแต่ละวัน
หมายถึงว่าให้รู้ตัวให้มาก
ในแต่ละวัน จะได้เป็น
ผู้มีชีวิตอยู่มากขึ้นในปัจจุบัน
*ไม่ใช่รอคอยให้ถึงอนาคต*

ธรรมคำสอน พระอาจารย์ชยสาโร







"ความดี ทำที่ไหน จะมีคนเห็ฯ จะมีคนรู้หรือไม่ ก็เป็นความดี ก็เป็นบุญกุศลอยู่อย่างนั้น จะว่าทำความดีแล้วถ้าคนไม่เห็นไม่รู้ จะไม่เป็นบุญเป็นกุศลอันนั้นมันคติของคนพาล

ความชั่ว จะทำที่ไหน จะมีคนไม่รู้ คนไม่เห็นมันก็เป็นความชั่ว เป็นบาปเป็นกรรมอยู่ดี ต่อให้ทำความชั่วอยู่บนสวรรค์ มันก็เป็นบาปเป็นกรรมอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ

กรรมดี กรรมชั่ว มันอยู่ที่ใจ มันรู้อยู่ที่ใจเจ้าของเอง"

...... หลวงปู่แบน ธนากโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 202 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร