วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 23:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2023, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติปารมิตาทั้ง ๖ และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดที่คืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตา ต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และ ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล








"...กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เราดูแล้วรู้ได้
ในขณะจิตที่เกิดความละเอียด แต่หากว่าจิตดำรงตน
เป็นกลางอยู่ในสภาพปกติโดยเที่ยงธรรม ไม่มีการ
ไหวติงในเมื่อสิ่งเหล่านั้นผ่านไป มีแต่ความสว่างไสว
เยือกเย็นอยู่อย่างนั้น สิ่งนั้นคือ #นิโรธ ความดับเพราะ
ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย อาการของกิเลสไม่มี
อาการของกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่มี
เพราะโดยจุดประสงค์อันแท้จริงนั้น นิโรธคือความดับ
ดับอะไร ดับตัณหา ในเมื่อไม่มีความยินดียินร้าย มันก็
ไม่มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหามันดับไป
เหลือแต่นิโรธคือความดับ มีความแจ้งสว่างไสวอยู่
ภายในจิต เพราะฉะนั้น ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ท่านจึงว่า อาโลโก อุทปาทิ ความสว่างไสวเกิดขึ้นแล้ว
ญาณจักษุก็เกิดขึ้นในขณะนั้น ปัญญาก็เกิดขึ้นในขณะ
นั้น วิชาก็เกิดขึ้นในขณะนั้น ในเมื่อวิชาบังเกิดขึ้นแล้ว
ความรู้แจ้งเห็นจริงมันก็ปรากฏชัด อวิชชามันก็หายไป
ด้วยประการฉะนี้..."

#ที่มา หนังสือ กตัญญู กตเวทิตา หน้า ๑๒๗
พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )








บางครั้งคำพูดการพูดของคนอื่น ๆ เราไปห้ามไม่ได้
เราก็มาห้ามใจห้ามจิตใจของเราเอง
พิจารณาให้ดีว่าที่เขาพูดต่าง ๆ
เราเป็นอย่างไร ความจริงเราเป็นอย่างไร
ให้ความสำคัญกับการกระทำของเราไว้เป็นหลัก

เหมือนทองคำหรือเพชรแท้
แต่ว่าคนกล่าวหาว่าเป็นทองปลอมทองเก๊
เพชรเก๊เพชรปลอม
ถามว่าเพชรยังเป็นเพชรอยู่ไหม?
ทองคำยังเป็นทองคำอยู่ไหม?
ใครจะว่าอย่างไร ๆ มันก็ยังเป็นของแท้อยู่นั่นแหละ

แต่ถ้ามันเป็นทองปลอมเพชรปลอม
แล้วตกแต่งให้คนเชื่อ
คนทั้งหลายก็เชื่อนี่เป็นทองคำแท้เพชรแท้
คนก็สรรเสริญคนก็ชมเชย
ถามว่าทองปลอมนั้นมันจะกลายเป็นทองแท้ได้ไหม?
ไม่ได้ เพชรปลอมก็ยังเป็นเพชรปลอม
ทองปลอมก็ยังปลอมอยู่

ฉะนั้นถ้าเราคิดอย่างนี้
ต่อไปเราก็จะได้ไม่ค่อยไปหวั่นไหวกับคำของคนอื่น
ที่ผ่านมานี่หวั่นไหวไหมกับคำคนอื่น
เจอคำพูด เจอการเขียน หวั่นไหวไปหมด ช่างเขา

ถ้าเราดีเราก็พอใจที่เราดี มนุษย์ไม่เห็น เทวดาเห็นไหม?
หรือว่ามนุษย์ใคร ๆ ไม่เห็น
แต่ผู้ที่จะเห็น ผู้ที่จะรู้ได้ดีคือใคร? เรารู้เองเห็นเอง
เราหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้

ถ้าเราทำดี เราเป็นคนดี
เราอยู่ในศีลในธรรมที่ดี
เรานั่งตรงไหนนอนตรงไหนเราจะสบายใจไหม?
เราจะสบายใจ ปลอดโปร่งโล่งใจ
เราไม่กลัวอะไร ไม่มีความผิด

แต่ถ้าเราไปทำผิดทำชั่ว ทำทุจริตผิดศีลผิดธรรม
เราจะหลอกคนอื่นได้
แต่ว่าเราจะนอนไม่เป็นสุขนั่งไม่เป็นสุข จริงไหม
จิตมันจะเศร้าหมอง เดือดเนื้อร้อนใจ ทุกข์ไหมเล่า
เราปรารถนาความสุขหรือความทุกข์กัน
ใครไม่รู้ แต่ตัวเราเองรู้


บุญนำมาซึ่งความสุข
เรามาบำเพ็ญบุญกุศลต่าง ๆ ทาน ศีล ภาวนา
มันก็จะให้ความสุขความเบาใจเบิกบานใจผ่องใสจิตใจ
จะรักษาจิตใจที่ดีงามอย่างนี้ได้ไหมกลับไปนี่
กลับไปบ้านก็จะรักษาใจให้ดีไว้เรื่อย
ให้ผ่องใสอิ่มเอิบผ่องใส

ไม่โกรธไม่เกลียดไม่พยาบาทอาฆาตแค้นใครได้ไหม
รับปากแล้วก็ต้องทำให้ได้
แล้วเรานึกว่าความโกรธที่เราเอามาใส่ใจเรา
นี่มันดีหรือไม่ดี มันให้สุขหรือทุกข์
แล้วเราจะเอามาใส่ไว้ในใจเราทำไม
ความโกรธนี่สละออกไปดีไหม
อย่าหยิบฉวยเข้ามาอีก
ตอนนี้ใจเรามันไม่โกรธแล้วใช่ไหม
กลับไปอย่าไปใส่เข้ามาอีก

ฉะนั้นต้องดูแลจิตใจเราด้วยสติสัมปชัญญะ
อยู่ตรงไหนเราก็มีสติสัมปชัญญะให้ดี
นึกถึงคำสั่งคำสอนไป
เราไปวัดมเหยงคณ์มา สั่งไว้อย่างไรหนอ จำได้ไหม
ไม่หวั่นไหวดั่งภูผา อุเบกขาดั่งวาริณ
หนักแน่นดั่งแผ่นดิน ชาชินด้วยช่างมัน
ช่างมันบ้าง ใจเราร่มเย็นเป็นพอ

"ดีชั่ว อยู่ที่ตัวทำ"
ธรรมปิดคอร์สอบรมกรรมฐานสั้น
๒๖ มิถุนายน๒๕๖๕
............................
ธัมโมวาท โดย‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา







..การเจริญเมตตาภาวนาพินิจพิจารณาเรื่องจิตใจของพวกเรา จิตใจของพวกเราที่คิด คิดแล้วมันเป็นยังไง คิดขึ้นมาแล้วมันมีความทุกข์ คิดอยากให้คนอื่นมีความทุกข์ก็มี บางครั้งมันพลั้งเผลอไป ตนเองมีความทุกข์ก็อยากให้คนอื่นทุกข์ด้วย คิดไม่ดีไม่งาม คิดโกรธคิดเกลียดเคียดแค้นพยาบาทจองเวรซึ่งกันและกันอย่างนี้ มันไม่ดีไม่งามทำให้เกิดทุกข์เกิดขึ้น เราก็พยายามดู พยายามพิจารณาดูความคิดของตนเอง ว่า..โอ..คิดอย่างนี้มันเกิดทุกข์ เอ..อยากให้คนอื่นทุกข์ ตัวเองคิดอยู่ก็ทุกข์ ตนเองไม่อยากทุกข์ ตนเองก็คิดอยู่มันก็ทุกข์ ถ้ามันทุกข์อย่างนี้ เป็นสิ่งที่มันไม่ควรคิด คิดแล้วมันเกิดทุกข์ทั้งผู้อื่นและตนเอง คิดไม่ดีไม่งามต่อกัน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







“การสู้เวทนา” จะทำให้ “จิต" เห็นธรรมง่าย ถ้าหากจะสู้กันจริง ๆ จัง ๆเชื่อมั่นว่าคนนั้นไม่ถึง 7 วันจะต้องเห็นในจิตในใจของตน

คือ เราสู้เอาชีวิตเป็นประกัน มันจะปวดขนาดไหนก็ปวดไป จะไม่ยอมขยับเขยื้อน เรานั่งอยู่ขาใด มือใดท่าใด เราจะนั่งอยู่อย่างนั้น

เวลามันจวนจะตายจริง ๆ มันเจ็บมันปวดนั้น เวทนาใหญ่เกิดขึ้น มันเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่บอกไม่ถูก เหมือนนั่งอยู่ในกองไฟ หรือเหมือนเอาหลาวทิ่มขึ้น ไปบนอากาศ แล้วนั่งอยู่บนปลายแหลน ปลายหลาว

ถ้าหากจิต “ไม่รวม” ให้ใจไม่เป็นธรรม มันก็ทำท่าจะตายถ่ายเดียว คนที่ใจไม่เด็ด ไม่ยอมเสียสละชีวิต มันก็อยู่ไม่ได้ จะต้องลุกต้องหนี ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ

“อิริยาบถ” นี้ปิดบัง “ทุกข์” เอาไว้ไม่ให้เราเห็นชัดเจน ถ้าเราสู้ทนเอา เรานั่งก็ท่านี้แหละ

พิจารณาดู “ตามเป็นจริง” ของมัน “กาย” นี้มัน “ไม่ทราบอะไร” ตายเอาไปเผาไฟ ฝังดิน มันก็ไม่เห็นบ่น

หาก “จิต” ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริงเมื่อไร ตายก็ให้มันตายไป ถ้าหาก “มันไม่ตาย” “สิ่งที่เหนือตาย” คืออะไร เราจะทราบ

“สิ่งใดมันตายไปก็ให้มันตายไป” “สิ่งใดที่มันเหลืออยู่” เราจะเอา “อันนั้น” แหละ “เป็นตัวของเรา” “เป็นของของเรา”

นี่...”นักสู้” ต้องสู้แบบนั้น เวลาต่อสู้กันจริงจัง ระยะนั้นแหละ “ธรรมอัศจรรย์” จะเกิดขึ้น ถ้าเราต่อสู้ได้

เราจะทราบเรื่องของจิตของใจว่าเป็นอย่างไร “ความอัศจรรย์” ที่ไม่เคยเห็น เคยเป็นมาก่อน มันปรากฏขึ้น มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสว่างไสว โล่งอกโล่งใจ เมื่อเวลามันจะตายจริงจังมันก็แบบนี้แหละ
ถ้าเรา “สู้มันได้” เรา “เข้าใจ” “ตามเป็นจริง” “เวทนา” หน้าไหนมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร “จิตใจ” ของเราจะ “ไม่ลุ่มหลง” อีก (กลางคืนสว่างยิ่งกว่ากลางวัน)

ขอทุกท่านจงพากเพียร กระทำบำเพ็ญ ติดต่อกัน ไปเรื่อย ๆ ไม่ให้หยุด ไม่ให้ถอย จนให้เห็นประจักษ์ในตัวของตัวว่า “จิตที่ละขันธ์ได้” “ถอนได้” “ไม่ติดไม่ข้องกับขันธ์” นั้นบรมสุขอย่างไร....

พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
วัดป่าแก้วบ้านชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร






. คนที่ใจไม่อยู่กับตัว เที่ยวแส่ส่ายออกไปรับสัญญาอารมณ์ภายนอกทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งอดีต อนาคต ผู้นั้นก็จะต้องพบกับความร้อนใจด้วยประการต่างๆ
เปรียบเหมือนผู้ที่ไม่อยู่ในบ้านในเรือนของตัว วิ่งออกไปเที่ยวนอกบ้าน มันก็จะต้องโดนแดดบ้าง ฝนบ้าง ถูกรถชนบ้าง ถูกสุนัขบ้ากัดบ้าง
ถ้าหากเราอยู่แต่ภายในบ้านของเราแล้ว แม้จะมีภัยอันตรายบ้างก็ไม่สู้มากนัก และก็จะไม่ต้องประสบกับความร้อนใจด้วย

ถ้าเรามีหลักของใจ ทำใจให้สูงขึ้นแล้ว กิเลสต่างๆ ก็ไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาทำจิตใจของเราให้เศ้าหมองเปื้อนเปรอะได้

คำสอนหลวงพ่อลี ธมกาโร่
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ





#รักแท้

"...ไม่มีใครที่จะรักเราเหมือนกับเรารักตัวเอง เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เดินจงกรมนั่งภาวนา ทำใจให้ปกติเมื่อเขาไม่รักเรา เราก็สมควรที่จะสลัดตัวที่เรารักเขาทิ้ง แล้วให้กลับมารักตัวเองให้มาก สอนตัวเองตลอดว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครที่จะรักเราเหมือนกับเรารักตัวเอง ผู้ที่รักเรามากก็คือพระพุทธเจ้า พ่อเราเข้าสู่นิพพานแล้วเหลือแต่คำสอน ถ้าลูกรักตัวเองปฏิบัติตามคำสอนลูกก็จะได้ดี เดินจงจงกรมนั่งภาวนาสวดมนต์ไหว้พระเอาลูก นั่นแหละสิ่งที่ลูกจะได้รับที่เรียกว่าความสุขที่ลูกจะได้รู้เอง ไม่ได้วุุ่นวายกับคนนั้นคนนี้ว่าจะมารักลูก

ความรัก รักแท้ไม่มี ลูกต้องเข้าใจนะว่าสัตว์โลกไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ จิตวิญญาณ เทวบุตรเทพธิดา ตลอดพรหมโลก หารักแท้ไม่มี เพราะเป็นผู้มีกิเลสเสมอกัน จะแยกว่าผู้ชายเลวก็ไม่ถูก
จะแยกว่าผู้หญิงเลวก็ไม่ถูก พอๆกัน ผู้มีกิเลสก็มีความคิดเสมอกันด้วยผู้มีกิเลส แต่ผู้ที่รักเราแท้คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ไม่มีกิเลส

รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี

ในบางครั้งพ่อต้องดุด่าด้วยเหตุว่าพ่อรักลูกจริง
เมื่อลูกคิดว่าการที่เรารักคนนั้นคนนี้ไม่ดี
เพราะเราตกระกำลำบากตกทุกข์ได้ยาก
เพราะเหมือนกับเรารักคนนั้นคนนี้ข้างเดียว
เขาไม่ได้ดูแลเราเลย ทุกข์ทรมารสมควรที่จะกลับเนื้อกลับตัวใหม่ หาผู้ที่รักเราคือพระพุทธเจ้า
พระองค์วางไว้ซึ่งหลักคำสอน ให้ปฏิบัติตนเป็นปกติ เอาพ่อผู้เลิศในไตรโลกธาตุเป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นที่ฝากเป็นฝากตาย เอาคำสอนมาปฏิบัติลูกก็จะมีความสุขไม่วุ่นวายกับใคร ใครจะมีร้อยเมีย พันเมีย หมื่นเมีย แสนเมียใครจะเป็นยังไงแล้วแต่เขา ไม่มีความกระตือรือล้นเป็นปกติ ใจเป็นปกติ
เรียกว่า #ใจเป็นพุทธะ..."

พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
๒ ธันวาคม ๒๕๖๑
วัดป่าห้วยริน.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 178 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร