วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 18:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2023, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอาส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคนมีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยวค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคยมองแต่ดี มีคุณจริง”

ท่านพุทธทาสภิกขุ






“คนบางคน มีความทะเยอทะยาน
อยากมีชื่อเสียงว่าเป็นคนใหญ่โต เป็นสำคัญ
อยากให้ใครๆ เห็นว่าตนสำคัญ
ด้วยความทะเยอทะยานนี้ ทำให้ คิดไป
พูดไป ทำไป อย่างวุ่นวายในสิ่งที่เชื่อว่า
จะทำให้ผู้เห็นความสำคัญของตน

และถ้าบังเอิญ จะมีใครสักคน
เห็นความสำคัญของเขาขึ้นมา ก็ใช่ว่า
เขาจะพอใจเพียงเท่านั้น ความทะเยอทะยาน
ย่อมจะทำให้เขาดิ้นรน คิด พูด ทำ อย่างวุ่นวาย
ต่อไป เพื่อให้ใครอีกหลายๆ คน
เห็นความสำคัญของเขาเพิ่มขึ้นอีก

เขากำลังเป็นทุกข์
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นทุกข์
เมื่อเขาไม่รู้ว่าเขากำลังเป็นทุกข์
เขาก็จะไม่หาทางแก้ทุกข์ ตรงกันข้าม
เขายิ่งจะเพิ่มทุกข์ของเขาให้หนักขึ้น
ด้วยความไม่รู้จักหน้าตาของทุกข์”

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ








โยมที่อายุมากก็ตาม แก่ชรา
อย่าให้แก่ชราไปฟรี ๆ
เอาความแก่ชราเป็นประโยชน์ให้ได้
เอาเป็นประโยชน์ทางสติปัญญาให้ได้

เพราะเมื่อเรากำหนดพิจารณาความชรา
ความที่กำลังชราภาพมันอยู่กับตัว
มันจะได้ความสลดความสังเวช
ความเห็นเหตุเห็นผล
เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัยของสังขาร
ว่าสังขารนี้มันเป็นทุกข์เป็นโทษ
มันต้องมาแก่ชรา มันทรมาน
มันเหนื่อย มันเมื่อย มันเจ็บ มันปวด
มันไม่สบาย มันไม่มีเรี่ยวมีแรง

หรือเราจะพิจารณาผิวหนัง
เคยเต่งตึง มาหย่อนยาน ตกกระ
ผมก็เคยดำขลับ กลับมาขาว
ตาเคยแจ่มใส ก็มาฝ้าฟางเสียอีก
ฟันที่เคยเต็มปาก ก็มาหลุดไป
เอามาพิจารณาว่าสังขารมันไม่จีรังยั่งยืน
มันแป๊บ ๆ เลย

เราลองพิจารณาคนที่เรารู้จักกัน
ไม่ทันไรเดี๋ยวก็แก่ แก่ลงไป หน้าตาผิวพรรณ
มันไว ชั่วไม่นานร่างกายที่เคยสวยสดงดงามเต่งตึง
ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไว
เราก็พิจารณาแล้วมันจะได้ธรรมะขึ้นมา
ได้ความสังเวชสลดใจ
มีภาพถ่ายตอนเป็นเด็ก เป็นหนุ่มเป็นสาว
มาเทียบกับภาพชราดู
คนคนเดียวกัน ไว
คือการที่มีสังขารมีชีวิตมันต้องเป็นอย่างนี้
จะตกอยู่ในความแก่ ความเจ็บ แล้วก็ความตาย

แม้ความเกิดก็หัดพิจารณาด้วย
เห็นเด็กเล็ก ๆ เกิดขึ้นมา
ให้รู้ว่านี่คือก้อนทุกข์เกิดขึ้นมา
รู้ว่าเขาจะต้องเผชิญต่อความทุกข์นานัปการ
เพราะฉะนั้นทำให้จิตใจจะน้อมไปสู่ความพ้นทุกข์
คือน้อมไปคิดถึงว่า
การออกจากสังสารวัฏได้ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
นี่ต่างหากที่จะพ้นทุกข์

มีทางไหนบ้างที่จะออกได้?
ก็มีทางเดียวคือการเจริญสติปัฏฐาน
เจริญสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น

เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว
มัคโค สุตตานัง วิสุทธิยา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หนทางนี้เป็นหนทางที่เป็นไปอันเอก
สำหรับที่จะทำให้สัตว์ทั้งหลายเข้าถึงความบริสุทธิ์

จิตจะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔
จะทำให้พ้นจากความโศก ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กายทุกข์ใจ
ทำให้บรรลุธรรมมรรคผลนิพพาน
ดับทุกข์ให้ตนเองต้องอาศัยเจริญสติปัฏฐาน
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา





. คนเรานี้ย่อมมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญ หรือ เป็นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจักเป็นทายาท ให้เราได้รับผลของกรรมนั้นสืบต่อ ๆ ไป”

“กรรมนี้แหละ ย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นไปต่าง ๆ นานา ให้เลว ให้ดี ให้ชั่ว ให้ประเสริฐ ก็เป็นเพราะผลของกรรมที่ทำไว้”

โอวาทธรรมหลวงปู่ เสาร์ กันตสีโล
วัดดอนธาตุ จ.อุบลราชธานี






"คนเราหากปฏิบัติมั่นคงในศีลธรรม ถ้าบ่มีกรรมหนักเข้าแทรก เมื่อถึงคราวคับขันอำนาจศีล อำนาจธรรม จะแสดงปาฏิหาริย์ออกมาให้เห็น ปาฏิหาริย์ธรรมบ่ได้เกิดขึ้นทุกเวลา ธรรมมาปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับผู้มีบุญที่ยังบ่ถึงฆาตเท่านั้น ถ้าอยากรู้ว่าตนเองมีบุญบารมีแค่ไหนให้ดูในเวลาที่ตนเองตกอยู่ในภาวะคับขัน เมื่อนั้นจะเห็นปาฏิหาริย์แสดงออกมา บุญบันดาลคุ้มภัย"

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม






#เจริญแต่ปากไม่ได้ประโยชน์อะไร

..." การเจริญพรหมวิหารนี้ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแต่ว่า อะหัง สุขิโต โหมิ, นิททุกโขโหมิ, อะเวโรโหมิ นี่เพียงแต่คำพูด แต่ข้อปฏิบัติในการทำจิตทำใจไม่มีการกระทำในการที่พูดไปนั้น อันนั้นไม่เป็นการเจริญพรหมวิหารที่สมบูรณ์ เจริญแต่ปาก

' อะหัง สุขิโต โหมิ 'บางทีใจมันไม่พอใจคนนั้นคนนี้

' นิททุกโข โหมิ ' จะพูดยังไงมันก็ไม่เป็น

' อะเวโร โหมิ ' ตัวใจที่มันไม่พอใจ ตัวนั้นเป็นตัวเวร ตัวกรรมตัวเวร ตัวอัปปรีย์จัญไร ไม่มุ่งที่จะกำจัด แล้วคำพูดอันนั้นมันจะได้ประโยชน์อะไร เพราะไฟมันมีอยู่ ไม่มุ่งที่จะดับมัน
ดับไฟๆ แต่ไฟมันเผาหัวใจที่ไม่สนใจที่จะแก้ไข เพียงแต่พูดว่าดับไฟๆ มันจะได้ประโยชน์เหรอ "

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







.ศีลอยู่ที่ตัวเว้น..

คำว่า สมาทานศีลก็ไม่ต้องหวังพึ่งพระเสมอไป ศีลนี่จะมีกับเราได้ หรือไม่มีไม่ใช่อาศัยพระสงฆ์ คือการไปหาพระสงฆ์ให้ศีลมันแค่การศึกษาเท่านั้น ศีลจะมีได้หรือไม่มีอยู่ที่ตัวเว้น เวรมณี นี่เขาแปลว่า ตัวเว้น

• ปาณาติปาตาเวรมณี ข้าพเจ้าเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้าอารมณ์ของเรามีตัวเว้นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเรามีศีล

อย่างสมมุติว่า สัตว์เล็ก ๆ คลานมาข้างหน้า
พอที่เราจะฆ่าได้ อย่างพวกมด พวกปลวก เป็นต้น อย่างนี้เราคิดว่าสัตว์ประเภทนี้เป็นศัตรูกับเรา กัดเราคัน กัดเราเจ็บ เราจะฆ่าเสียให้ตายก็ได้ แต่ว่าวันนี้เราไม่ฆ่า ปล่อยให้มันผ่านไป วันนั้นเรามีศีล

• ถ้าเจอะทรัพย์สินของใครพอที่เราจะลักขโมยได้ พอที่จะโกงได้ เราไม่โกง งดเว้นเสีย วันนี้เรามีศีล

• ถ้าเจอะบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ตามเรามีโอกาสที่จะทำลายความรักได้ เราไม่ทำ
วันนั้นเรามีศีล

• เจอะคนที่โง่กว่าเราพอที่เราจะโกหกได้ แต่เราไม่โกหก นี่เรียกว่าความเมตตา
วันนั้นเรามีศีล

• เจอะสุราเมรัยพอจะดื่มได้เราไม่ดื่ม
วันนั้นเรามีศีล

รวมความว่า ศีล นี่แปลว่า ปกติ
ปกติของเรา
๑) ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๒) ไม่รักไม่ขโมยของของใคร
๓) ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ละเมิดความรักของบุคคลอื่น
๔) ไม่พูดมุสาวาท
๕) ไม่ดื่มสุราและเมรัย

ทำได้ไหม เป็นอันว่าถ้ามีปกติ สมาธิก็เกิด
เพราะศีลมีความรัก ความเมตตา กรุณาคือความสงสาร เป็นตัวค้ำจุนทรงให้ศีลอยู่ ในเมื่อเรามีศีลแล้วสมาธิก็เกิด

คำว่า สมาธิ แปลว่า ความตั้งใจ
ในเมื่อความตั้งใจมีขึ้น จิตก็มีอารมณ์สงบจากนิวรณ์ ๕ ประการ เมื่อจิตสงบจากนิวรณ์ ๕ ประการ ปัญญาก็เกิด พูดอย่างนี้ก็ยังยากอยู่อีก เอาให้ง่ายกว่านี้อีกนิด

เอาอย่างนี้นะ ทุกคนเริ่มต้นนึกถึง "ไตรลักษณญาณ" แล้ววันแรก ๆ จะนึกไม่ได้มาก แค่
อนิจจัง ร่างกายไม่เที่ยง
ทุกขัง ร่างกายมันทุกข์
อนัตตา ร่างกายตายไปในที่สุด

มันอาจจะคิดแค่ผิวเผินก็ได้ก็ช่างมันเถอะ ให้คิดหน่อยก็แล้วกัน

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากหนังสือธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๑ หน้า ๘๗-๘๙







"...กายของเรานี้มีธรรมอยู่พร้อมเบ็ดเสร็จทุกอย่าง จะพิจารณาให้เห็นอสุภก็ได้ ให้เป็นกัมมัฏฐานอะไรๆ ได้หมด และเป็นที่ตั้งทั้งสมถะ และวิปัสสนาด้วยจะพิจารณาให้เห็นโทษเห็นทุกข์เป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ก็ได้ อย่าไปทิ้งกายอันนี้ก็แล้วกัน จะทิ้งไม่ได้เพราะเราเกิดขึ้นมาได้ตัวตนมาแล้วจะไปทิ้งให้ใคร จะทิ้งไว้ที่ไหน ไปฝากใครไว้ จะขายให้ใคร ถึงขายตัวของเราไปมันก็อยู่ที่นี่แหละจะฝากคนอื่นไว้ก็ยังเป็นตัวตนของเรา อย่างเดิมนี่แหละ ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อตัวของเราเองอยู่ทุกประการ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นที่สุดที่จะต้องยกกายนี้ขึ้นมาพิจารณา ผู้ต้องการเห็นทุกข์โทษในวัฏฏสงสาร ต้องยกกายนี้ขึ้นมาพิจารณาเพราะเป็นของมีอยู่กัมมัฏฐานทั้งปวงหมดล้วนมีอยู่ในกายนี้ทั้งนั้น เลือกยกเอามาพิจารณา ไม่ใช่ไปเอาของไม่มีมาพิจารณา

พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจธรรม ก็ทรงรู้ของมีอยู่ทั้งนั้น ถ้าเป็นของไม่มี ไม่จริง พระพุทธองค์ก็จะไม่ได้ตรัสรู้ มันเป็นอยู่อย่างไรก็ให้รู้ตามเป็นจริงของมันอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนตรงนี้ ทรงสอนให้เห็นจริงทั้งด้วยตาและด้วยใจ เช่น ตัวของเรานี้เกิดขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์ ใครๆ ก็เห็นว่าเป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครก็เห็นเป็นทุกข์ทั้งนั้น ถามใครใครก็รู้ เจ้าของเราก็รู้ ใจก็รู้ ตาก็เห็น นั้นเรียกว่าของจริง.."

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 192 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร