วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 10:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2023, 05:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าโยมจะขอความช่วยเหลือจากใคร

ให้ถามเค้าว่า”ได้ไหม” “สะดวกไหม”
เป็นคำถาม ไม่ใช่ออกคำสั่ง
“ได้ไหมครับ” น่าฟังมาก

ไม่ใช่”รบกวนหน่อย” “ขอหน่อย”
พูดแบบนั้นไม่ถูก
เพราะบางทีเขาอาจไม่สะดวกก้ได้

ให้ใช้เป็นคำถาม

หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต
วัดป่าบ้านตาด







เมื่อก่อนเราก็เป็นเด็กไร้เดียงสา เป็นเด็กน่ารักคนนึง แต่พอความโลภครอบงำเนี่ยกลับเป็นปีศาจร้ายแทรกสิงเข้ามากินเลือดกินเนื้อ

ทุกคนที่มาขวางทางเนี่ย ออกกลอุบายต้มตุ๋นหลอกลวงได้หมด ถ้าได้โลภแล้วเห็นไหม ไฟของความโลภมันซ่อนอยู่ในใจ

ความโกรธก็เหมือนกัน ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาทผูกโกรธจองเวรเนี่ย ก็เกิดขึ้นจากความไม่พอใจ

ฝั่งหนึ่งเกิดขึ้นจากความพอใจ อีกฝั่งหนึ่งเกิดขึ้นจากความไม่พอใจ

พอไม่พอใจ มันก็หมายเอาไว้ล่ะ เดี๋ยวจะเอาคืน แล้วก็แสดงอาการออกมาเป็นความโกรธหุนหันพลันแล่น เป็นปิศาจร้ายแสดงตัวออกมา จากเด็กที่ไม่ได้คิดจะไปโกรธ

ทุกคนมาจากความไร้เดียงสา แต่เพราะความหลง เห็นไหม อันนี้คือวิภาวะตัณหา ความหลงในอารมณ์ หลงไปตามความพอใจและความไม่พอใจ

เพราะไม่ได้ศึกษาว่ามันหลอกให้เราถลำไปของทั้งสองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นความพอใจและความไม่พอใจ คือเราหลง

คือเราไม่ได้ศึกษานั่นเอง เราก็เลยไม่รู้ว่ามันหลอกเรา

นั่นแหละคือ ความโลภ ความโกรธความหลง ก็ทำให้เราติดอยู่ในทุกข์ ออกจากทุกข์ไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ศึกษาไว้ก่อน

ทีนี้การศึกษาวิธีที่จะออกจากทุกข์ก็คือ การยอมรับตามความจริงของความโง่ของตัวเอง

เมื่อไหร่ที่เรายอมรับว่าเราเป็นคนโง่ได้นั่นแหละ เราจะรู้เลยว่าเราเองนี่แหละ ทำให้ตัวเองทุกข์

ในโลกนี้ไม่มีใครไทำให้เราเป็นทุกข์นะ มีแต่ตัวเองนี่แหละที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์

เมื่อประจักษ์ด้วยตัวเองปุ๊ป เราก็จะไม่โทษใครแล้ว เราจะรู้ว่าเราเองนี่แหละ

เมื่อเรารู้จักว่าเรานี่แหละเป็นต้นเหตุของทุกข์ เราก็จะมามีสติ มันเอาตัวเองนี่แหละเป็นบทเรียน

แล้วก็เรียนรู้จากอดีตที่เราผ่านมา เพื่อจะมองเห็นว่าตัวเอง เราจะดำเนินไปยังไงโดยที่เราจะไม่วนกลับไปทุกข์เรื่องเดิม นั่นแหละคือการเรียนรู้

เราจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองในการเจริญสติสมาธิปัญญา

ประสบการณ์ของเรานั่นแหละคือครูของเรา ยอมรับกับความทุกข์นั้น แล้วก็ละตัณหา ละกิเลส

ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยการเจริญสติ สมาธิ ปัญญา ฟังธรรม มันก็จะแก้ความเข้าใจผิด ความหลง ความติดอยู่ได้ จากการได้ยิน ได้ฟัง

#พระอาจารย์ตะวัน #ปัญญาวัฒฑโก
#สำนักสฃฆ์ถ้ำแจ้ง #ลำปาง








..อย่าไปหวังเพิ่งใคร
มากยิ่งกว่า..การเพิ่งตัวเอง
..เวลาจะเป็นจะตาย
ก็เพิ่งคนนั้น เพิ่งคนนี้
..ตอนนั้นละ..จะเพิ่งไม่ได้
เราต้องสร้างที่เพิ่งคือ “บุญ”
ไว้เสียแต่บัดนี้..ให้เป็นที่พึ่งได้
ไปอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ท่านเรียกว่า “สุคโต”
ไปดีไปอย่าง..สะดวกสบาย

..#โอวาทธรรมหลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน..







#จิตสงบแล้ว_รู้เห็นความเกิดดับในจิต

"...เมื่อจิตสงบแล้ว กระแสจิตไม่ส่งออกนอก
แล้วไม่วิ่งเข้ามาในกาย แต่ไปกำหนดรู้จิตเพียงอย่าง
เดียว ก็จะรู้เห็นอารมณ์ที่เกิดดับกับจิตอยู่ตลอดเวลา

เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา
ในเมื่อความรู้มันเกิดขึ้น ผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมา อย่างกับ
น้ำพุ ผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อไป
ถึงจุดหนึ่ง จิตจะหยุดนิ่ง สว่างไสว รู้ ตื่น เบิกบาน
เป็นจิตพุทธะแท้ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์

ในจุดนี้ ท่านอาจารย์มั่นท่านบัญญัติศัพท์ของท่าน
เรียกว่า ฐีติภูตัง

ฐีติ คือ จิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสว
ภูตัง มีสภาวะที่เป็นปรากฏการณ์ในจิต
รู้เห็นจิตนั้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป
อยู่ตลอดเวลา..."

#ที่มา หนังสือ สว่าง หน้า ๑๐๑
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)






ใครจะเกลียด เราก็ไม่เสียใจ
ใครจะรัก เราก็ไม่ลืมตัว
เมื่อเรา ทำใจเป็นกลาง
เราถือว่า ทุกอย่างเป็น อนิจจัง
ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน

โอวาทธรรม หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ






ธรรมะหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย

เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต
หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"
หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด

ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆ

หาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ

ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
อยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต
ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง

พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล







"... พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านไม่ได้อยู่เพราะหวังลาภสักการะ ท่านไม่ได้หวังอยู่เพื่อความสวยงามท่านไม่ได้อยู่เพื่ออาหาร​ ท่านไม่ได้อยู่เพื่อยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านไม่ได้อยู่เพื่อความสรรเสริญเยินยอ ท่านอยู่เพื่อความสงเคราะห์ ทนเอา จะเหม็นก็ทน จะอึดอัดก็ทน ทนเอาถือว่าเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ว่าเราจะไปรังเกียจเสียเลยทีเดียวก็ไม่ได้ ที่เราดีก็เพราะขันธ์ อันนี้​ ร่างกายอันนี้ พื้นแผ่นดินเลว​ ๆ​ อันนี้ ที่เต็มไปด้วยความโสโครกอย่างนี้ เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้ เต็มไปด้วยเหตุทรมานอย่างนี้ เต็มไปด้วยความกระสับกระส่ายอย่างนี้ ถึงอย่างไรก็ดีมันก็เป็นแผ่นดินให้เราอาศัย
ในเมื่อเรามาอาศัยมันได้แล้วตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เรามีจิตที่ยังไม่บริสุทธิ์ จนขณะนี้จิตของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว ทำไมเราจะทนไม่ไหว​ มันจะเป็นอย่างไรก็ยิ้มรับ จะแก่เมื่อไหร่ จะพังเมื่อไหร่ มันจะสลายเมื่อไหร่ก็ตามที ที่อยู่ของฉันมีคือพระนิพพาน
พระนิพพานนี่มีความสุขจริง​ ๆ ดินแดนพระนิพพานไม่มีความเดือดร้อน นิดหนึ่งก็ไม่มี ขึ้นชื่อว่าความขัดใจกัน ความขัดข้องของใจนิดหนึ่งไม่มี เป็นดินแดนที่ละเอียดบริสุทธิ์​ เต็มไปด้วยความเมตตาปราณี นึกน้อมไปหาพระนิพพานอย่างนี้ ว่านี่เราต้องการพระนิพพาน ต้องการแดนที่มีความสุขจริงๆ.. "

จากหนังสือครบรอบ ๑๐๐ ปี (ชาตกาล)
​ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า ๒๒







ทุกครั้งที่โยมมีทุกข์
ให้นึกถึงบุญกุศลที่โยมได้ทำมา
ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
บิดามารดาผู้ให้กำเนิด
ให้อธิษฐานจิตขอเวรภัยทั้งหลาย
จงปราศจากหายไป
บุญเท่านั้นที่จะคุ้มครอง
บุญเท่านั้นที่จะรักษา

สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2023, 23:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 125 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร