วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 10:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2023, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของหลวงพ่อชา

สมัยที่ท่านอาจารย์ชยสาโรเพิ่งบวชใหม่ๆ ยังฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ต้องนั่งฟังหลวงพ่อชาเทศน์ เหมือนท่านสอนให้อดทน จึงเทศน์ครั้งละ ๒-๓ ชั่วโมง

พวกพระฝรั่งจะแยกออกไปนั่งสมาธิก็ไม่ได้ ต้องนั่งฟังเทศน์เหมือนกันทุกองค์ เพื่อเป็นการแสดงความสามัคคีพร้อมเพรียง

หากนั่งขัดสมาธิ พระฝรั่งก็พอไหว เพราะฝึกมาบ้าง แต่นั่งฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ต้องนั่งพับเพียบตลอด ทรมานมาก นั่งนานมาก ฟังก็ไม่รู้เรื่อง

แต่ท่านก็อดทนได้ทุกครั้ง...เพราะศรัทธาในองค์แสดงธรรม คือ 'หลวงพ่อชา'

ลักษณาการของผู้เปี่ยมด้วยสติและธรรม งดงามนัก ภาษากาย ภาษาธรรม และความสงบเย็น ดูสง่า มีพลังมากพอที่จะทำให้ท่านนั่งฟังจนจบทุกครั้ง

หลวงพ่อชาท่านไม่มีอะไรที่น่าอัศจรรย์ ตรงกันข้าม "ท่านธรรมดามาก...เป็นความธรรมดาแบบปรกติที่ทำให้ดูพระองค์อื่นๆ ที่รายรอบองค์หลวงพ่อชาอยู่ กลับดูไม่ปรกติเลยสักองค์..."

#พระธรรมพัชรญาณมุนี
(พระอาจารย์ชยสาโร)






"ปัญญาทางพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงว่า เป็นคนไอคิวสูง เป็นคนเฉลียวฉลาดทางโลก

แต่หมายถึงว่า เป็นผู้ฉลาดทางธรรม

ความฉลาดทางธรรม มีความหมายว่า เรามีอุบายที่จะระงับทุกข์ได้ แก้ปัญหาในชีวิตได้ จนถึงระดับไม่มีปัญหา"

พระอาจารย์ญาณธัมโม
#พระเทพพัชรญาณมุนี
วัดป่ารัตนวัน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา






#สิ่งใดที่เป็นของรักสิ่งนั้น_ย่อมเป็นศัตรูแก่ดวงใจ
จึงควรละสิ่งนั้นเสีย แล้วตนเอง ก็จะมีความสุข

ฉะนั้น คนเราจึงอย่าไปเหยียดหยาม ดูถูกในคนที่เขามีปัญญาน้อย หรือฐานะกำเนิดชาติสกุลของเขาที่ตกอยู่ในความต่ำต้อย เพราะสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่ที่กรรมแห่งบุคคลซึ่งทำไว้ในกาลก่อน จึงส่งผลจำแนกให้มาเป็นในลักษณะต่างกัน
บางคนแม้จะตกไปอยู่ในสกุลที่ลำบากยากเข็ญใจ ก็สักแต่ว่ากรรมซัดไปเท่านั้น แต่ความดีซึ่งติดอยู่ในจิตสันดานเดิมของเขามีอยู่ เขาก็อาจจะสำเร็จมรรคผลได้ในวันหนึ่ง ที่กรรมนั้นซัดไปให้เกิดในสกุลยากก็เพื่อจะทรมานเขาให้แลเห็นทุกข์เห็นโทษ และใช้หนี้เวรเก่าของเขาให้หมดสิ้นไปก็มี เพราะคนเราทุกคนที่เกิดมานี้ย่อมเกิดมาแต่ผลของกรรมเก่าที่ตนกระทำไว้ทั้งสิ้น

ถ้าผู้ใดมีดวงตาญาณ ผู้นั้นก็อาจจะรู้ชาติภพของตนที่กระทำกรรมอันใดไว้ ผู้ใดที่ดวงตายังมืดอยู่ด้วยอวิชชา ผู้นั้นก็ย่อมมองไม่เห็น
เรื่องของกรรมนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงสอนไว้มิให้เราประมาท
ผู้ใดทำดีก็ย่อมไม่หนีจากกรรมดี ผู้ใดทำชั่วก็ย่อมไม่หนีจากกรรมชั่วนั้น
เหตุนั้น จึงควรมีความสำรวมระวัง อย่าประมาทในสิ่งที่เรามองไม่เห็นอย่าเหยียดหยามติเตียนในวัตถุทานของผู้ใด ในศีลของเขาก็ดี ในภาวนาของเขาก็ดี เขาอาจมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความดีแฝงอยู่ภายใน
แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยกรรมที่มองไม่เห็น ถ้าเราไปประมาทเขาเข้า

กรรมนั้นอาจกลับมาเป็นโทษสนองตัวเราเอง
ให้ได้รับผลวิบากในกาลภายหน้าได้
‘จิต’ นี้ จะว่าตายก็ตาย จะว่าไม่ตายก็ไม่ตาย
จิตที่ตายก็คือจิตที่มีอาการแปรเปลี่ยนไปด้วยบาปอกุศล
จิตคงที่อยู่ในสภาพเดิม หรือเป็นจิตที่เจือด้วยบุญกุศล ก็เป็นจิตที่ไม่ตาย
ร่างกายของเรานี้ เรียกเป็น ๔ อย่าง ๑. รูป ๒. กาย ๓. สรีระ ๔. ธาตุ
กายนี้ก็ไม่ได้ตายไปไหน เป็นแต่มันแปรเปลี่ยนไปเข้าสภาพเดิมของมัน
ธาตุดินก็ไปอยู่กับธาตุดิน ธาตุน้ำก็ไปอยู่กับธาตุน้ำ ธาตุไฟก็ไปอยู่กับธาตุไฟ ธาตุลมก็ไปอยู่กับธาตุลม ฯลฯ

ก่อนที่เราจะเกิดมาจริง ๆ นั้น ก็คือธาตุทั้ง ๔ ไปประชุมสามัคคีกันขึ้น และถ้าเจ้าตัวจิตวิญญาณซึ่งลอยอยู่นั้น เข้าไปแทรกผสมเข้าเมื่อใด ก็จะเกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตขึ้น แล้วก็ค่อย ๆ ขยายตัวเติบโตออกไปทุกที ๆ เป็นเลวบ้าง ประณีตบ้าง เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง แล้วแต่ กรรมของจิตที่เป็น ‘บุญ’ หรือ ‘บาป’

‘จิต’ เป็นผู้รับผิดชอบในบุญและบาปทั้งหลาย คือกรรมดีและกรรมชั่ว ‘ร่างกาย’ นั้นไม่ใช่เป็นผู้รับผิดชอบ.

จากหนังสือท่านพ่อลี ธัมมธโร
พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า







".. สิ่งที่มันชนลูกตาเราอยู่ตลอดเวลานี้แท้ ๆ เรากลับไม่เคยพิจารณา #มันคือความว่างเปล่า.."

".. แท้จริงแล้วมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า แต่เราพากันมองข้ามไป มันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้แหละ ไม่ต้องใช้ตาทิพย์ หูทิพย์อะไรด้วย ใช้แต่สติปัญญาของเราที่ธรรมชาติให้มา ต้องใช้ให้เป็น สิ่งนั้นก็คือ #ความว่างเปล่า อันเป็นสิ่งที่แทรกอยู่ทุกอณู ทุกกาลเวลา ทุกสถานที่.."

".. อย่างเอ็งลองพิจารณาดูสิ ในบรรดาอวัยวะน้อยใหญ่ ตานี่แหละที่สำคัญ มันเพ่งมองอะไร ก็มักจะนำมาให้ซึ่งความลุ่มหลงในทางดีหรือไม่ดี เรารักใครชอบใครตลอดจนถึงข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงสถานที่หรือสิ่งยั่วยวนให้เพลิดเพลินจำเริญใจ ก็ล้วนเริ่มมาจากการมองเห็นเป็นสำคัญ แต่เราเคยพิจารณากันบ้างหรือเปล่าว่า #มันมีความว่างเปล่าคั่นอยู่ตรงกลาง ทำไมเราไม่รู้จักมองและเอาความว่างเปล่าตรงนั้นมาใช้เล่า.."

หลวงพ่อบอกว่า ".. #เพราะเราขาดสติในอายตนะที่ถูกกระทบ ยกตัวอย่างว่าดวงตา ไม่ว่าเราจะมองอะไร มันก็แค่นั้นแหละ จะน่าดูชม หรือไม่น่าดูชมก็ไม่แตกต่างกัน เพราะมันอยู่ห่างออกไปจากดวงตาของเรา มันก็มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน แล้วดับไปเหมือนกันหมด สิ่งที่มันชนลูกตาเราอยู่ตลอดเวลานี้แท้ ๆ เรากลับไม่เคยพิจารณา #มันคือความว่างเปล่า อันนั้นแหละคือของจริง เพราะไม่ได้แปรปรวนไปตามกาลเวลา มันอยู่อย่างไรก็อยู่ของมันอย่างนั้น.."

".. หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะสัมผัสอะไร ความจริงแล้วก็มีความว่างเปล่าแทรกอยู่ทุกอณู แต่เราไม่สติรู้ทันการกระทบเหล่านั้น จึงต้องตกอยู่ใต้อำนาจของความแปรปรวน อันเนื่องมาจากการกระทบเหล่านั้นอยู่ตลอด จึงว่า.. #มีความมีอยู่ที่ใด #ความไม่มีก็อยู่ที่นั่น #เหมือนมีความเกิดอยู่ที่ใด #ความดับก็อยู่ที่นั่น.."

#หลวงพ่อประสิทธิ์ #ถาวโร
#วัดถ้ำยายปริก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 142 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร