ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความยึดมั่น http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=62867 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 27 พ.ย. 2022, 22:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความยึดมั่น |
“ความรักก็เป็นความกระเพื่อมจิตกวนจิต ความชัง ความเกลียด ความโกรธ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ก่อกวนจิตให้ผิดจากปกติเดิมของตน . ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องชำระและสอนให้ชำระ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำจิตให้ไหวอยู่เสมอ ไม่เป็นปกติ ถ้าเป็นน้ำก็ถูกกวน หาความสงบหาความนิ่งหาความใสไม่ได้ เพราะถูกรบกวนเสมอ . จิตใจที่หาความสงบเย็นเป็นของตัวไม่ได้ ก็เพราะถูกกวนจากความรักความชังความเกลียดความโกรธ และการเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้จากความผลักดันภายในจิต ให้เป็นไปอยู่โดยสม่ำเสมอไม่ขาดวรรคขาดตอน . จิตจึงเป็นเจ้าเรื่อง ทั้ง ๆ จิตนั้นไม่ต้องการเป็นเจ้าเรื่อง แต่สิ่งที่มาเคลือบแฝงจิตอันเป็นยาพิษให้ผิดปกตินั้นเป็นเจ้าเรื่อง จึงต้องก่อแต่เรื่องแต่ราวภายในจิตใจของสัตว์ของเราของท่านอยู่เสมอ" หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ๘ ตุลาคม ๒๕๒๔ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา ก็เหมือนก้อนหินหนัก พอคิดว่าจะปล่อย ตัวเราก็เกิดความกลัวว่า ปล่อยไปแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือ แต่ในที่สุด เมื่อปล่อยมันไปได้ เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบาสบาย ในการที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น #หลวงปู่ชา #สุภทฺโท "...อย่าส่งจิตใจไปอื่นนอกจากกายกับจิต ให้เกินกว่าเหตุ จะเสียเวลา ทั้งจะนำความกังวลเดือดร้อนมาเผาผลาญเราเปล่า ๆ และขอแนะนำย้ำอีกว่า... อย่าแสวงหาสันติธรรมคือพระนิพพาน นอกไปจากกายกับจิต ปัจจุบันเป็นบ่อเกิดแห่งบุญแลบาป อดีตอนาคตไม่ใช่บุญแลบาป และมิใช่บ่อเกิดแห่งบุญแลบาป ปัจจุบันนี้เองเป็นตัวบุญตัวบาป เมื่อเรารักษาจิตให้อยู่ในปัจจุบัน ด้วยความมีสติแล้ว กิเลสบาปธรรมที่ไหนจะเลื่อนลอยมาครอบงำจิตให้เราได้รับความเดือดร้อนเล่า เหตุที่เราจะเดือดร้อนขุ่นมัว ก็เพราะปล่อยจิตให้คว้าโน่นคว้านี่ ไม่อยู่เป็นสุข คือคว้าอดีต-อนาคต ซึ่งเหมือนน้ำลายถ่มทิ้งแล้ว คว้ากลับเข้ามาใส่ปากอีก ย่อมน่าสะอิดสะเอียนต่อลิ้นไม่น้อยเลย อารมณ์หรือสิ่งที่ชั่วอะไรก็ตามที่ผ่านพ้นไปแล้ว เราก็รู้แล้วว่าไม่ดียังคว้ากลับคืนมาเผาจิต อันนี้ยิ่งร้ายกว่าน้ำลายที่ถ่มทิ้งเสียอีก เลยหาความเย็นไม่ได้เลย เราอยู่ดีกินดีอย่าหาเรื่องใส่เรา เราต้องการจะให้ไฟดับ ต้องไสฟืนออก แล้วไฟจะค่อยดับเอง จิตถ้าได้เชื้อ คือ อดีต อนาคต เป็นปัจจุบันหนุนหรือส่งเสริมอยู่แล้ว ก็จะไปกันใหญ่เหมือนไฟได้เชื้อฉะนั้น ดังนั้น จึงควรรักษาจิตให้มีอารมณ์ที่ดีเป็นเครื่องดื่มโดยปัจจุบัน ก็นับวันจะสงบสบายคลายจากสิ่งที่เป็นข้าศึก จะมีแต่ความสงบสุขทุกอิริยาบถ จึงจะสมนามว่าผู้ฉลาดทรมานจิตให้หายพยศได้ อนึ่ง สัตว์พยศเขายังทรมานได้ ธรรมดาจิตเมื่อมีกิเลสก็ต้องมีพยศ เราจะหักห้ามหรือทรมานให้จิตหายพยศไม่ได้ จะเรียกว่าคนฉลาดที่ตรงไหน เมื่อเราทรมานจิตได้มากน้อยก็ชื่อว่าเป็นคนฉลาดโดยลำดับ จนถึงเรียกว่าเป็นคนฉลาดได้ยอดนักปราชญ์ เอวํ สวัสดี..." หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศนาธรรม ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๙ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |