พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของจิตที่เก็บไว้ลึกที่สุด
ไม่มีใครทำลายจิตได้นอกจากกิเลสตัณหาอวิชชาในจิต
จิตไม่เกิดนอกกายและสิ่งที่ถูกเห็นก็อยู่กลางนัยน์ตา
ธรรมะฝ่ายดีกับธรรมะฝ่ายไม่ดีสลับกันทำงานภายในจิต
ไม่มีตัวตนของเราทำจิตได้เพราะจิตตั้งอยู่ชั่วขณะจิตเดียว
จิตเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปใน1ขณะจิตดับมืดเป็นอากาศธาตุทันที
เรียกว่าเป็นการเกิดดับสืบต่อทีละ1ดวงจิตตรง1ทางตามปกติ
และอาศัยมีภวังคคั่นจิตแต่ละ1ดวงจิตเพื่อดำรงภพชาติ
จิต5ทาง(ตาหูจมูกลิ้นกาย)มีการเกิดดับสลับจิตคิดนึก
ทางที่6คือคิดนึก2ต่อสรุปว่าแต่ละวันจิตมีการเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย
และมีการคิดนึกจำมากกว่าจิตที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกาย
ดังนั้นการการดับของจิตทุก1ขณะเรียกว่ามีการตายทุก1ขณะ
เรียกว่าขณิกมรณะจึงไม่มีเรามีแต่จิตที่เป็นธรรมคู่โลก(โลกแปลว่าสิ่งที่เกิดดับ)
จิตเกิดดับ1ขณะมีอายุสั้นกว่าที่คิดแค่คิดตรง1คำจิตดับนับไม่ถ้วน
ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงคิดเองไม่ได้แม้แต่คำเดียว
ต้องอาศัยความเพียรอดทนฟังนานแสนนานจนนับปีไม่ถ้วน
และต้องฟังนับภพนับชาติไม่ถ้วนเพื่อเพียรคิดตรงสัจจะ
ให้ตรงตามที่ฟังทันทีไม่มีตัวตนปลีกวิเวกออกจากการฟัง
เพื่อไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่พึ่งการคิดตามธรรมตรงสัจจะ
เป็นการฟังเพื่อพึ่งระลึกตามคำที่ฟังเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏ
เทียบความจริงตรงตามพระธรรมกับลักษณะที่่กำลังปรากฏว่ามีที่กายใจตนเองทันที
และการฟังต้องอาศัยศึกษาพระไตรปิฏกและฟังการสนทนาจากปรโตโฆสะกล่าวคำ
ให้คิดไตร่ตรองตรงตามพระพุทธพจน์ให้เข้าใจทั้งอรรถทั้งธรรมทั้งพยัญชนะ
หลักการฟังไม่ใส่ความคิดเห็นลงไปขณะฟังทุกคำที่ฟังคือคำใหม่ทั้งหมด
ที่ได้เกิดมาพบคำสอนของพระพุทธเจ้าคือฟังใหม่ทุกชาติคือคำใหม่ในสังสารวัฏฏ์
เพราะความเร็วของจิตที่เกิดดับเพียงลัดนิ้วมือเดียวชี้+โป้งแตะกันจิตดับแสนโกฏิขณะ
เทียบความเร็วเท่าหนังตาบนล่างชิดกันคือพริบตาเดียวเป็นอดีตจิตแสนโกฏิทาง
ที่ดับไปไม่กลับมาเกิดอีกขณะถัดไปเป็นแสนโกฏิขณะใหม่ฟังเพื่อทวนกระแสกิเลส
ห้วงน้ำคือกระแสของกิเลสในจิตที่ไหลออกมาปรุงความแรงกิเลสตามที่คิดว่ามีตัวตน
ฟังเพื่อปรุงแต่งคิดจำใหม่ให้ตรงคำสัจจะตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เกิดปัญญาดับอวิชชา
แสนโกฏิขณะคือแสนคูณสิบล้านเท่ากับล้านล้านขณะคือล้านล้านทางในพริบตาเดียว
https://youtu.be/8HJQBIlH1qI
