ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=61917 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Rosarina [ 19 เม.ย. 2022, 06:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี |
![]() คนบนโลกนี้อยากได้ อยากมี อยากทำให้มีเพิ่มขึ้นยิ่งมากยิ่งรู้สึกดี เช่นผลิตเงินและทำมาหากินทำเงินให้งอกเงยคิดวิธีทำให้เงินเพิ่มขึ้น และก็เข้าใจว่าการมีเงินมากๆทำงานหาเงินได้มากคือความสุขของชีวิต ข้อนี้ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาระที่เต็มใจทำด้วยความไม่รู้ ![]() คำว่ารู้ของพระพุทธเจ้าคือสภาพจิตที่ยืนยันสภาวะธรรมที่กำลังปรากฏว่ามี ในขณะนี้เองที่่ทุุกอย่างเป็นธรรมะไม่มีเรามีแต่ธรรม มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี แปลว่า ขณะนี้ความคิดของเราคิดว่าเรามีตัวตนจริงและกำลังมีชีวิตมีครอบครัวบนโลก สิ่งที่เราเคยคิดว่ามีนี้แหละพระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้เข้าใจตามได้ว่าอะไรที่มีจริง ![]() เพราะสิ่งที่มีจริง(ธรรม)ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นสภาพรู้ที่เป็นโลกที่กำลังเกิดดับกำลังแตกสลาย สิ่งที่มีจริงจริงคือมีจิตเป็นประธานรับรู้ว่ามีภพภูมิเพราะมีจิตถ้าไม่มีจิตอะไรอะไรที่คิดว่ามีก็มีไม่ได้อีกต่อไป คนเงินงานสัตว์สิ่งของนัั้นมีจริง?ถ้ารู้ความจริงได้แบบพระพุทธเจ้าทุกคนจะหยุดสร้างภาระขึ้นมาให้ตนลำบาก ตามปกติของภพภูมิมนุษย์คือการมีครอบครัวมีหญิงชายมีการดำรงชีพหุงหาอาหารมีการสืบเผ่าพันธุ์มีคนเพิ่ม ![]() ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความกำลังมากไปด้วยความไม่รู้ว่าจริงจริงไม่มีคนไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเที่ยงแท้ทุกคนหลงทาง อยู่ในเงาของธรรมโดยไม่รู้ว่าตัวจริงของธรรมในขณะนี้เองที่่่กำลังคิดว่ามีคนจริงจริงไม่รู้ว่ามีอะไรจริงๆกันแน่ ยินดีแบกภาระการสร้างตัวตนและเพิ่มภาระเอาไว้แบกจนหนักอึ้งด้วยความลุ่มหลงมัวเมาหาทางออกไม่เจอค่ะ อยากมีรถอยากมีบ้านอยากมีครอบครัวอันที่จริงมีแค่ตัวเราคนเดียวที่แบกหามกรรมข้ามภพชาติตามเป็นจริง ![]() มีคิดนึกจำทำทุกอย่างด้วยความมีตัวตนสร้างตัวตนใหม่ชาติแล้วชาติเล่าเพื่อให้ไม่รู้ให้ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีจริง จนกว่าจะได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อละความไม่รู้ที่แบกหามตัวตนสร้างภาระคือเดี๋ยวนี้แหละ ที่มีตัวตนเป็นภาระให้ต้องขวนขวายแสวงหาให้ได้มาเพิ่มซึ่่่่งเงินคนของแล้วก็คิดวิธีย้ายคนย้ายเงินย้ายของ ตามการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นโลกแปลว่าสิ่งที่เกิดดับ เป็นสิ่งที่เกิดมีขึ้นแค่ชั่วคราวแล้วก็ไม่มีแล้วก็หามีไม่ ![]() โลกกำลังว่างเปล่าจริงจริงจะแต่งงานมีครอบครัวหรืออยู่คนเดียวก็คือมีภาะที่ต้องแบกอวิชชาตัวตนเหมือนกัน อยู่คนเดียวคือการมีตัวตนคนที่มีกิเลสจะมีมากกว่า1คนก็คืออยู่คนเดียวในโลกมืดไร้แสงสว่างไม่มีทางออกได้ แบกภาระว่ามีตัวเองมีครอบครัวทำกรรมดีบ้างไม่ดีบ้างร่วมกันจะอยู่คนเดียวหรือหลายคนก็ทำกรรมคนเดียว เพราะกรรมคือภาระแบกหามความไม่รู้เอาไปขวนขวายหาสิ่งอื่นนอกกายใจมาเพิ่มความไม่รู้ให้มากกว่าเดิม ![]() การใช้ชีวิตร่วมกันคือการผ่านมาพบประสบพบเคราะห์กรรมในสถานการณ์เพื่อโง่ต่อไปหรือจะตื่นรู้ความจริง ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของการใช้ชีวิตของคนแต่ละคนปนกันไม่ได้จะเห็นได้ว่่าแม้แต่นางวิสาขาห์มหาอุบาสิกา ซึ่งบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ7ขวบก็เป็นโสดาบันบุคคลจนถึงอายุร้อยกว่าปีก็ยังแบกภาระอยู่ มีครอบครัวมีบุตรมากมายแม้พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่ายังอยากจะมีลูกอีก?ที่อยากมีอยากได้เพิ่มคืออะไร ![]() ตามทัศนคติของผู้เขียนที่ศึกษาพระธรรมได้เข้าใจพระธรรมมีความเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยความเข้าใจชีวิต คือการรอบรู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการลดภาระที่ต้องแบกหามตัวตนอัตตากิเลสตัณหาอวิชชาได้จริง การฟังพระธรรมทุกวันคือการศึกษาความมีชีวิตในยามปกติที่สร้างกรรมไปทุกภพภูมิตามสิ่งที่กำลังทำขณะนี้ จะอยู่คนเดียวหรือจะแต่งงานไม่มีลูกหรือแต่งงานแล้วมีลูกก็คือการเลือกสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกับกิเลสใคร https://youtu.be/xQAGkWZx99o ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |