วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 11:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2022, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเรานั่งฟังพระสนทนาธรรม ทางยูทูปบ้าง หรือไปวัดฟังด้วยตัวเองบ้าง หลวงพ่อหรือหลวงปู่สายปฏิบัติ ก็มักจะเริ่มต้นสนทนาธรรมด้วยการเอาร่างกาย เอาขันธ์มาพูด พูดถึงความเสื่อม ความแก่ลง ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย เพราะตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจะตรัสถึงเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นหลัก ท่านเริ่มต้นด้วยการดำริ การพิจารณาให้เห็นสภาพ การดำริถึงความเสื่อม เกิดแก่เจ็บตาย เป็นการชี้ให้เห็นภัยของภพชาติ ก็ต้องหาหนทางปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสภาพของชีวิตนั่นคือการนำเอามรรค มาปฏิบัติใช้ มรรคคือหนทางแห่งการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง ทุกครั้งเวลาเราฟังหลวงพ่อหลวงปู่พูด จะได้ยินท่านพูดแต่เรื่องความเกิดแก่เจ็บตาย ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้จิตดำริถึงให้น้อมเอามรรคมาปฏิบัติ
แต่หากไม่เกิดดำริ ไม่พูดถึง ไม่พิจารณาภัยที่ปรากฏอยู่ มันก็ไม่มีตัวดำริชอบ ไม่มีการน้อมเอามรรคมาใช้ มันข้ามขั้นตอนไปที่ ผล และนิพพานไปโน่น หลงเข้าป่าเข้าดง ไปกันใหญ่ และนำเอาหลักธรรมที่ข้ามขั้นตอนไปที่ผล มาระแวงสงสัยในธรรม ยกตนข่มท่านว่าไม่ใช่พุทธวัจนะ นู่นนั่นนี่ ไม่ยอมรับในธรรมของพระปฏิบัติ แต่มุ่งเน้นความเห็นตนเองไปที่ผลและนิพพาน หันข้างซ้ายทีขวาที กลายเป็นลังเลสงสัย มันคือกิเลสขั้นต้นคือนิวรณ์ทั้ง5 คือเป็นความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย จะเอาแต่พระพุทธ ไม่เอาพระธรรม ไม่เอาพระสงฆ์ นั่นคือนิวรณ์ กิเลสขั้นต้นๆด้วยซ้ำ ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยนี่ตัดไปได้เลย ข้ามนิวรณ์ทั้ง5 เข้าสู่มรรค คือหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องก่อน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2022, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมเราจะต้องเรียกว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติด้วย
แล้วที่ท่านมาสอนมาแสดงธรรมมันจะไม่ขัดกันหรือ

ถ้าหากว่าเราเรียกพระนักปฏิบัติ มันก็ต้องเกิดมีพระปริยัติ
อีกด้วย พระนักปฏิบัติก็คือพระที่ไม่ได้เรียนปริยัติ
ส่วนพระปริยัติก็เรียนอย่างเดียวไม่ต้องปฏิบัติ

หรือจะเรียกให้มันดูโก้เก๋เรียกความขลัง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2022, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสนทนาธรรมที่พระหลวงพ่อหรือหลวงปู่ท่านได้เล่าออกมา เป็นคำที่ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็แสดงสถานะของหลวงปู่หลวงพ่ออยู่แล้วว่าท่านปฏิบัติให้เกิดการพิจารณาขึ้น สิ่งใดที่ดำริขึ้นมา เพราะพิจารณาเห็นตามสิ่งที่ดำริแล้วใช้ชีวิตประจำวันด้วยมรรคก็สมบูรณ์ด้วยความหมายแล้วครับว่าเป็นพระนักปฏิบัติ ถ้าไม่มีมรรคมาเป็นแนวทางนี่สิไม่ใช่พระนักปฏิบัติ ปริยัติคือการเรียนสิ่งที่ปรากฏในตำรา ไม่ได้บอกว่าผู้เรียนดำริเรื่องอะไร ถ้าผู้เรียนดำริว่าเรามัวแต่เรียนสิ่งที่ปรากฏในคำสอนค่ำลงแล้วกลับห้องล็อคประตูเข้านอนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า
ยิ่งเรียนปริยัติอย่างเดียวแล้วไม่ปฏิบัติก็แสดงว่าในขณะเรียนไม่เกิดความดำริอะไรขึ้นเลยแล้วจะเอามรรคมาเป็นแนวทางดำเนินชีวิตตอนไหนล่ะ
ถึงต้องมีขั้นตอนแสดงไว้ไงครับว่า

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2022, 14:00 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเรานั่งฟังพระสนทนาธรรม ทางยูทูปบ้าง หรือไปวัดฟังด้วยตัวเองบ้าง หลวงพ่อหรือหลวงปู่สายปฏิบัติ ก็มักจะเริ่มต้นสนทนาธรรมด้วยการเอาร่างกาย เอาขันธ์มาพูด พูดถึงความเสื่อม ความแก่ลง ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย เพราะตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจะตรัสถึงเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นหลัก ท่านเริ่มต้นด้วยการดำริ การพิจารณาให้เห็นสภาพ การดำริถึงความเสื่อม เกิดแก่เจ็บตาย เป็นการชี้ให้เห็นภัยของภพชาติ ก็ต้องหาหนทางปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสภาพของชีวิตนั่นคือการนำเอามรรค มาปฏิบัติใช้ มรรคคือหนทางแห่งการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง ทุกครั้งเวลาเราฟังหลวงพ่อหลวงปู่พูด จะได้ยินท่านพูดแต่เรื่องความเกิดแก่เจ็บตาย ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้จิตดำริถึงให้น้อมเอามรรคมาปฏิบัติ
แต่หากไม่เกิดดำริ ไม่พูดถึง ไม่พิจารณาภัยที่ปรากฏอยู่ มันก็ไม่มีตัวดำริชอบ ไม่มีการน้อมเอามรรคมาใช้ มันข้ามขั้นตอนไปที่ ผล และนิพพานไปโน่น หลงเข้าป่าเข้าดง ไปกันใหญ่ และนำเอาหลักธรรมที่ข้ามขั้นตอนไปที่ผล มาระแวงสงสัยในธรรม ยกตนข่มท่านว่าไม่ใช่พุทธวัจนะ นู่นนั่นนี่ ไม่ยอมรับในธรรมของพระปฏิบัติ แต่มุ่งเน้นความเห็นตนเองไปที่ผลและนิพพาน หันข้างซ้ายทีขวาที กลายเป็นลังเลสงสัย มันคือกิเลสขั้นต้นคือนิวรณ์ทั้ง5 คือเป็นความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย จะเอาแต่พระพุทธ ไม่เอาพระธรรม ไม่เอาพระสงฆ์ นั่นคือนิวรณ์ กิเลสขั้นต้นๆด้วยซ้ำ ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยนี่ตัดไปได้เลย ข้ามนิวรณ์ทั้ง5 เข้าสู่มรรค คือหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องก่อน

ลุงหมาน เขียน:
ทำไมเราจะต้องเรียกว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติด้วย
แล้วที่ท่านมาสอนมาแสดงธรรมมันจะไม่ขัดกันหรือ

ถ้าหากว่าเราเรียกพระนักปฏิบัติ มันก็ต้องเกิดมีพระปริยัติ
อีกด้วย พระนักปฏิบัติก็คือพระที่ไม่ได้เรียนปริยัติ
ส่วนพระปริยัติก็เรียนอย่างเดียวไม่ต้องปฏิบัติ

หรือจะเรียกให้มันดูโก้เก๋เรียกความขลัง


student เขียน:
คำสนทนาธรรมที่พระหลวงพ่อหรือหลวงปู่ท่านได้เล่าออกมา เป็นคำที่ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็แสดงสถานะของหลวงปู่หลวงพ่ออยู่แล้วว่าท่านปฏิบัติให้เกิดการพิจารณาขึ้น สิ่งใดที่ดำริขึ้นมา เพราะพิจารณาเห็นตามสิ่งที่ดำริแล้วใช้ชีวิตประจำวันด้วยมรรคก็สมบูรณ์ด้วยความหมายแล้วครับว่าเป็นพระนักปฏิบัติ ถ้าไม่มีมรรคมาเป็นแนวทางนี่สิไม่ใช่พระนักปฏิบัติ ปริยัติคือการเรียนสิ่งที่ปรากฏในตำรา ไม่ได้บอกว่าผู้เรียนดำริเรื่องอะไร ถ้าผู้เรียนดำริว่าเรามัวแต่เรียนสิ่งที่ปรากฏในคำสอนค่ำลงแล้วกลับห้องล็อคประตูเข้านอนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า
ยิ่งเรียนปริยัติอย่างเดียวแล้วไม่ปฏิบัติก็แสดงว่าในขณะเรียนไม่เกิดความดำริอะไรขึ้นเลยแล้วจะเอามรรคมาเป็นแนวทางดำเนินชีวิตตอนไหนล่ะ
ถึงต้องมีขั้นตอนแสดงไว้ไงครับว่า

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 141 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร