วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 13:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2021, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่ชา สุภัทโท
ธรรมเทศนาบางตอนเรื่อง อลัชชีในพระศาสนา

"....อย่างนี้แหละท่านถึงให้พิจารณา พ่อแม่เราท่านว่าถ้าฉันข้าวกินข้าวแล้วแล้วไม่ท่อง ***ปฏิสังขาโย*** มันเป็นควายไถนาให้เขา ไปใช้หนี้เขา ไถนาให้เขา เป็นควายตู้ ไม่ใช่ควายธรรมดานะ เป็นควายตู้ ควายตู้มันดื้อน่ะ เข้าไปในป่า ไล่มันก็ไม่ไป มันดื้อน่ะ มันดื้อแตกต่างจากควายธรรมดา ตายไปเป็นควายธรรมดาก็ไม่ให้เป็นนะ ต้องเป็นควายตู้ มันเข้าไปในสวน ไล่มันหนี มันก็ไม่หนีนะ มันไม่ฟัง มันดื้อ ควายตู้ มันดื้อ มันดื้อกิเลสตันหาขึ้นไป เดี๋ยวก็คิดอยากสึกเป็นควายไปทำไร่ทำนากับเขา เดี๋ยวก็ไปทำนาให้เขากินเหมือนเก่าน่ะ มันดื้อ มันเป็นอย่างนั้น

เรื่องของเหล่านี้แหละ เรื่องปฏิบัติ อย่าไปมองขึ้นไปไกล ๆ เรื่องปฏิบัติ ไม่ต้องไปอาศัยอะไรเยอะแยะหรอก ไม่ต้องอ่านมาก เรื่องปฏิบัติ ฟังครูบาอาจารย์ นั่งหลับตา ฟังไป ฟังเทศน์ท่าน ให้มันรู้จักเรื่องมันไป กิเลสกองใหญ่อยู่นี่แหละ ไม่อยู่ที่ไหนหรอก เห็นชัดในสิ่งทั้งหลายนี้ พยายาม ไปปฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาทัง ฯ ถ้ามันลืมตอนเย็นก็ให้ทำ ถ้าตอนเช้ามันลืม ตอนเย็นก็ให้มาพิจารณาทวนกลับ เวลาฉันต่อไปก็อย่าให้มันลืม ให้มันติดต่อกัน ให้มันเห็นอย่างนั้น ระวัง ให้พิจารณาอย่างนั้น

ถ้าไม่พิจารณาอย่างนี้ โอ้ย!ดีไม่ดีมันจะพาเราฉันข้าวเย็นนะ ระวัง ควายตู้มันดื้อมากนะ ลองดูไม่เชื่อ เรื่องขบ เรื่องฉัน การนุ่งห่มทั้งหลายเหล่านี้แหละ ท่านให้เป็นคนมักน้อย มักบาง อย่าให้มักมาก ไม่ให้โอ้ ไม่ให้โถง ไม่ให้หรูหรา มันจึงจะสบาย มันจึงจะสงบ เป็นทาง เป็นทางดำเนินของมรรค ที่ไปสู่ความสงบระงับ ให้เข้าใจในการบิณฑบาต การรับบาตร
ไม่ใช่ว่าให้ถือพระวินัยจนเคร่ง แต่ให้มีสติ

ถ้าบางคนบอกว่า โอ้ย ทำไปทำไม วินัยเคร่งเกินไป ละเอียดเกินไป ไม่ใช่อย่างนั้น ! พระวินัยนี้ เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น พระวินัยนี้เป็นเหตุให้เรามีสติ ทุกอย่าง ทุกครั้ง ทุกคราว ทุกเวลา มีสติ สตินั้นกันเราเป็นบ้า ถ้าเราไม่มีสตินาทีหนึ่งก็เป็นบ้านาทีหนึ่ง ถ้าสองนาทีก็เป็นบ้าสองนาที ให้เรามีความรู้สึกอยู่ ตื่นอยู่ อย่างนั้น อืมม...

ท่านจึงบัญญัติพระวินัยขึ้น พระวินัยอย่างนั้นอย่างนี้เรื่อยไป ท่านให้เรามีสติ ถ้ามีสติแล้ว พระวินัยก็ไม่ต้องไปเรียนมาก พระวินัยก็ดี ธรรมะก็ดี ท่านบัญญัติ ออกจากจิตบริสุทธิ์ ท่านไม่ได้ไปเขียนมาจากไหนหรอกตำรานั้น เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตรัสออกจากจิตใจของท่าน สมัยหนึ่งหนังสือจึงถูกแต่งขึ้นมามากน่ะ สมัยนี้ ถูกแต่งไปตามอารมณ์ คนสนุกรื่นเริง คนมีกิเลส ยังไงก็แต่งไปตามเรื่อง แต่งไปก็ถูกกิเลสตัณหา ถูกราคะ โทสะ ไป แบบตำราบางอย่างก็กลายเป็นตำราเสียก็มี หนังสือนี่

ถ้าเราไม่รู้จักธรรมะคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าแน่นอนแล้ว ก็เหลว มันจะใช้ไม่ได้ ถ้าเรารู้จักธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง มันจะมีตำราอะไรก็ช่างมัน มันจะโกหกเราไม่ได้สักอย่างเลย คนก็โกหกเราไม่ได้ ในทางพระพุทธศาสนานี้

เช่นตัวอย่างว่า เรารู้จักมะขามป้อม สมอ หรือมะกอก อย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยนี่ วันหลัง มีคนเอา มะขามป้อม สมอ หรือมะกอก หรือพุทรา เอย มังคุด เอย ลำไย เอย มาปนกับตะกร้าใบเดียว ให้เขาไปเลือกเอานี่ เราจะรู้จักหมดเลย อันนี้มันคือพุทรา อันนี้คือ มะขามป้อม อันนี้คือ มังคุด อันนี้มันเป็นลำไย อันนี้เป็นเงาะ เรารู้จักมะขามป้อม สมอ ตามจริง เราจะจับถูก มะขามป้อม สมอ มังคุด ลำไย แม้นจะมีสองกระบุง สองตระกร้า ก็ช่างมัน เราจะรู้หมด เพราะเรารู้จักมัน นี่จะต้องเป็นอย่างนี้ ในใจเจ้าของอย่างนี้ เรื่องปฏิบัติธรรมะก็ต้องเป็นอย่างนั้น ความสงบระงับมันอยู่นี่

ฉะนั้นเข้าพรรษาปีนี้ แยกย้ายกันอยู่ พากันตั้งอกตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติ มันไม่รู้ทางอื่นหรอกปฏิบัติ มันรู้ในจิตเรานี่แหละ อยู่ด้วยกันอย่าไปชอบกันมาก อย่าไปเกลียดกันมาก มันยิ่งขัดกันนะ อยู่ด้วยกันท่านไม่ให้พูดกัน ยิ่งชอบพูดกันนะ ยิ่งคุยกัน สารพัดอย่างนะ มันทำให้ขาดสติ มันไม่มีสติ ปฏิบัติก็ไม่เป็น ครูบาอาจารย์ท่านดูท่านก็รู้จักแล้ว

หรือเราจะรู้จักว่า มีพระองค์หนึ่ง หรือเณรองค์หนึ่ง ในหมู่ฝูงเรานี้ ชอบเดินจงกรม ชอบนั่งสมาธิ ชอบพูดน้อย แต่ว่าพูด พูดที่พอดี และก็มีจิตใจหน้าตาเบิกบาน องค์นั้นสำคัญอยู่นะ ไปดูการเดินจงกรม ไปดูการนั่งสมาธิ ไปดูการไป การมา การสังวร สำรวม ท่านนั้นอยู่ในกรรมฐาน ไม่ได้ไปดูทางอื่น ตอนไหนก็เป็นแบบนั้น ตอนเช้า ตอนเย็น อยู่ในเพื่อนเยอะๆ ท่านก็เป็นอย่างนั้น ปฏิปทาอันนี้มีอยู่เสมอแล้วนั้น สำคัญ ให้เราเข้าใจ ถ้าคนมีความสำรวม เคารพ มีภาวนาอยู่ในจิตเจ้าของ มันต้องเป็นอย่างนั้น อยู่ได้ อันนี้ให้โอวาท ขณะที่จะออกไปจำพรรษาทุก ๆ คน ให้พากันจำไว้..."

หลวงพ่อชา สุภัทโท







"เรื่องคนที่ทำผิดศีลผิดธรรมเนี้ยนะ ไปพัก
อยู่ที่วัดภูหล่มขุม ใครเคยได้ยินหรือเปล่า..!!
ภูหล่มขุม ตะวันออกภูจ้อก้อหลวงปู่หล้า ช่วงนั้นไปเที่ยวธุดงค์แวะขึ้นไปพักไปอยู่บนยอดเขาไปนั่งภาวนาอยู่นั้น คิดว่าจะนั่งไปถึงเที่ยงคืนก็จะพัก
เอากรดไปกลางไว้แล้วก็ไปนั่งอยู่บนยอดเขา อากาศมันเย็นๆ นั่งอยู่บนภูเขา พอนั่งจิตของเรามันก็สงบ พอสงบโอ๊ยมีคน...คานขึ้นมา...
จากตีนเขาหนะ ขึ้นมาเยอะทั้งผู้หญิงผู้ชายมีแต่คนรุ่นเก่า พอขึ้นมาใกล้ๆ แอ๊ะคนอะไรเป็นตัวเป้นตนอยู่แต่หัวนิ เป็นหน้าหมู เป็นปากหมู แต่มือและแขนนิเป็นของคนปากเปื่อย ลิ้นเปื้อย ขึ้นมากราบ
เขาก็อยู่ห่างจากตนเสานั้นอ่ะ ก็ก้าวเข้ามาใกล้ ก็เลยถาม พวกโยมเป็นอะไรกัน..!! เขาบอกว่า โอ๊ย…ท่านอาจารย์พวกโยมมีกรรม
กรรมอะไร..!! ด่าพระกรรมฐาน ไล่พระกรรมฐาน สมัยนั้นอ่ะ พระกรรมฐานรุ่นหลวงปู่มั่น มีลูกศิษย์ลูกหาไปกรรมฐานแถวนั้นอ่ะ รุ่นเก่าๆทั้งนั้น พวกนี้ทำไมถึงไปด่า ตอนนั้นอ่ะเขามีมาเผยแผ่ศาสนานั้นใหม่ "ไม่ขอเอ่ยชื่อศาสนา" เขาไปปลุกระดมให้ด่าพระ
บางคนก็ไปสอนศาสนานั้น พอไปสอนพวกนี้มัน ก็ไปด่าพระไล่พระหนี พระไปบิณฑบาต
ก็ไม่ใส่บาตรให้ กรรมนั้นหนะ เป็นหน้าหมูปากเปื่อย กินอะไร.. ก็ไม่ได้หิวก็หิว นอนนั่งอยู่ก็เลยก็สอนเขา เออ…นั้นล่ะความไม่รู้นี้ มันถึงเป็นบาปเป็นกรรมอย่างนี้ แต่ถ้าเราสำนึกแล้วกะ น้อมจิตเข้าไประลึกถึงพระพุทธเจ้า น้อมจิตเข้าไปถึงพระพุทธเจ้า ก็ “พุทโธๆ” น้อมไปถึงธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่อาฆาตไม่พยาบาตไม่เบียดเบียน รักษา
กายให้บริสุทธิ รักษาวาจาให้บริสุทธิ์ รักษาใจให้บริสุทธิ์ มันจะกลับกลายเป้นดี เราก็สอน แป๊ปเดียวสว่าง! เห็นไหมโอ๊ย..เหมือนกับ ๑๕ นาทีเท่านั้นเอง ๑ ทุ่มไปภาวนาถึงสว่างเหมือนกับ ๑๕ นาทีเท่านั้นเองไปเห็นเนี้ย
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เกิดขึ้น เรื่อง
การผิดศีลผิดธรรม ตายไปแล้วไม่ได้ไปเกิด ไปเป็นเปรตครึ่งหนึ่งโน้น อื่ม! อยู่ที่ภูหล่มขุมอ่ะ มันก็แปลกๆเดะ ไปเห็นอ่ะ เออมันไม่ลืม ก็
รู้เหตุผลว่ามันเป็นอย่างไง ก็อยากจะเอามาเปรียบเทียบ เวลามีคนมาถามธรรมะเรื่องศีลเรื่องธรรมเนี้ย
มันมีกรรมอย่างไรก็อยากจะเอามาพูดให้ฟัง แต่ละคนเนี้ยส่วนมากที่เป็นอย่างนั้นอ่ะ มีแต่ พวกที่เป็นผิดศีลผิดธรรมทั้งนั้นล่ะ เออ ที่มันเป็นรับกรรมอยู่อย่างนั้นอ่ะ วาจีกรรม นิ ด่าพ่อเหมือนอย่างที่สุข มันเปื่อยตั้งแต่ศีรษะลงไป น้อยมันด่าพ่อครั้งเดียวมันก็เปื่อยหน้าข้างหนึ่ง (หัวเราะ) เห็นไหม ครั้งเดียวนะ! มันเป็นอย่างนั้น... "

#หลวงปู่ไม_อินทสิริ
#วัดป่าเขาภูหลวง








" การปฏิบัติธรรม
ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหน
ในเมื่อ...
กายยาว ๑วา หนา ๑คืบ นี่แหละ !
เป็น ตัวธรรม
เป็น ตัวโลก
เป็น ที่เกิดแห่งธรรม
เป็น ที่ดับแห่งธรรม
เป็น ที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้อาศัยบัญญัติไว้
ซึ่งธรรมทั้งปวง

แม้ใคร...
ใคร่จะปฏิบัติธรรม
ก็ต้องปฏิบัติที่กาย และที่ใจนี้
หาได้ปฏิบัติที่อื่นไม่

ดังนั้น ถ้าตั้งใจจริงแล้ว...
นั่ง อยู่ที่ไหน ธรรมก็เกิดที่ตรงนั้น
นอน อยู่ที่ไหน
ยืน อยู่ที่ไหน
เดิน อยู่ที่ไหน
ธรรม...ก็เกิดที่ตรงนั้น."

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม









“อธิษฐานผิดชีวิตเปลี่ยน”

หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ ท่านเป็นพุทธภูมิ ท่านเคยเล่าอดีตชาติของตัวเองให้ฟังว่า ชาติหนึ่งท่านมีพี่น้องชายรวมท่านเป็น ๔ คน มีฐานะยากจน ตอนเที่ยงวันหนึ่งขณะกำลังพักผ่อน พี่น้องต่างคุยกันเล่น ๆ ว่า อยากได้อะไร อยากเป็นอะไรกัน น้องคนเล็กจึงพูดก่อนว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า...พี่ชายคนที่ ๓ จึงพูดว่า ถ้าแกเป็นพระพุทธเจ้า ฉันจะเอาขี้ถวายแก..! พี่ชายคนที่ ๒ ก็พูดต่อทันทีว่า ถ้าแกเป็นพระพุทธเจ้า ฉันจะเอาขนที่ก้นถวายแก..! พี่ชายคนโตจึงดุว่า พวกแกนี่โง่นัก น้องปรารถนาขนาดจะเป็นพระพุทธเจ้า ทำไมไม่รู้จักยินดี...
น้องทั้ง ๒ คนได้สติ จึงอธิษฐานต่อไปอีกว่า ขอเป็นพระพุทธเจ้าด้วย เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งน้องชายคนเล็กตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พี่คนที่ ๒ มาเกิดเป็นนกยูง คนจึงได้นำขนหางมาถวายเป็นพุทธบูชา...พี่คนที่ ๓ มาเกิดเป็นผึ้ง คนจึงได้นำขี้ผึ้งมาทำเป็นเทียนถวายเป็นพุทธบูชา...
ซึ่งพี่ชายคนที่ ๓ นี่แหละ คือหลวงปู่ครูบาวงศ์นั่นเอง จะเห็นได้ว่าเรื่องของการอธิษฐานนั้นมีผลจริง ไม่ใช่ของเล่นเพราะเป็นอธิษฐานบารมี (หนึ่งในบารมี ๑๐) ดังนั้น การอธิษฐานอะไร ควรตั้งใจให้ดีเสียก่อน เพื่อเราจะได้สมหวังกับสิ่งที่ปรารถนาในอนาคตอย่างสมบูรณ์ที่สุด

คำสอนของพระอาจารย์เอ บ้านสุมโน








#ปุจฉา_วิสัชชนา
#หลวงปู่เทสก์_เทสรังสี

(๑) ถาม :: การทำบุญอุทิศให้ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้น ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับบุญเหล่านั้นจะเป็นของใคร

(๑) ตอบ :: ปัญหาเรื่องนี้กินความกว้างขวางมาก มีผู้ถามปัญหาข้อนี้กับผู้เขียนตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรอยู่ จนมาได้บวชพระนับเป็นเวลา ๖๐ กว่าปี แล้วก็ยังมีคนถามอยู่ นี่แหละผู้เขียนหวังว่าถึงผู้เขียนตายไปแล้ว ถ้ายังมีการทำบุญให้ผู้ตายไปแล้วอยู่คงจะมีปัญหาอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้เขียนจะตั้งประเด็นไว้เป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย และกันความหลงลืมดังนี้

๑.๑ ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว
๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า
๑.๓ ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร

๑.๑ ผู้ทำบุญโดยส่วนมาก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพื่ออุทิศแก่ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น ชาวพุทธมีดีตรงนี้แหละ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย แล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้น ถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว คนเราก็จะกลายเป็นเดรัจฉานไปหมด การทำความดี คือ บุญกุศลนี้ย่อมทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ทำในที่เปิดเผย ไม่ทำในที่ลับด้วยและทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เหมือนกับคนที่ทำความชั่ว ทำความชั่วนั้นทำด้วยความเศร้าหมองไม่ผ่องใสและก็ทำในที่ลับไม่เปิดเผยด้วย ทั้งไม่อุทิศส่วนบาปนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ถึงแม้อุทิศให้แก่ใครก็ไม่มีใครอยากรับ เพราะเป็นของเศร้าหมอง

ทำบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้วนี้ จงทำด้วยของบริสุทธิ์อย่าไปฆ่าเป็ด ไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายมาทำ จะบาปหนักเข้าไปอีกทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจผ่องใสบริสุทธิ์ เป็นต้นว่าตักบาตรถวายอาหารพระสงฆ์ บุญก็มากเอง บุญมิใช่เกิดเพราะไทยทานมากๆ แต่เกิดขึ้นจากใจเลื่อมใสศรัทธาต่างหาก เปรียบเหมือนเทียนที่เรามีอยู่แล้วไปขอต่อจากคนอื่น เทียนของคนอื่นก็ไม่ดับ ของเราก็ได้ไฟสว่างมา เหตุนั้นบุญในพุทธศาสนาจึงหมดไม่เป็น คนมากี่ร้อย กี่พันเอาหัวใจของตนมาตักตวงเอาบุญในพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีหมดบุญยังเต็มเปี่ยมอยู่ตามเดิม ถ้าทำด้วยความเลื่อมใสแล้ว วัตถุทานมีน้อยก็กลายเป็นของมากเอง

๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าผู้ตายไปนั้นได้รับหรือเปล่า เรื่องนี้เป็นของพูดยาก เพราะผู้ที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้ตอบรับเหมือนเราส่งจดหมายไปหากัน อนึ่ง บุญนั้นก็มิใช่จะส่งไปได้อย่างพัสดุไปรษณีย์เพราะเป็นของไม่มีตัวตน เป็นความรู้สึกภายในใจว่าบุญที่ตนทำนี้ต้องถึงผู้ตายไปแน่ และเราเชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า ทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วต้องทำในพระภิกษุผู้มีศีลและเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้บริโภคอาหาร ก็ต้องทำบุญถวายอาหารเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้เครื่องนุ่งของห่ม ก็ถวายผ้าผ่อนเครื่องนุ่งของห่ม แล้วอุทิศกุศลนั้นไปให้แก่เขาเหล่านั้น แล้วของเหล่านั้นก็จะปรากฏแก่เขาเหล่านั้นเองโดยที่ไม่มีใครนำไปให้เขา

๑.๓ เรื่องนี้บอกได้ชัดเลยว่า บุญเป็นของผู้ทำแน่นอนเพราะผู้ทำเกิดศรัทธาเลื่อมใสพอใจในการกระทำบุญ บุญก็ต้องเกิดในหัวใจของผู้นั้นเสียก่อนแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้มีอุปการะคุณที่ตายไปแล้ว ได้ชื่อว่าทำบุญสองต่อ คือเราได้ทำบุญแล้วเพราะศรัทธาเลื่อมใสจึงทำบุญ แล้วเราอุทิศส่วนบุญนั้นไปให้แก่ผู้ตายไปอีก เป็นอีกต่อหนึ่ง

ทำบุญให้ผู้ตายนี้ท่านแสดงไว้ว่ายากนักผู้ที่ตายจะได้รับ เหมือนกับงมเข็มอยู่ในก้นบ่อ แต่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบทำ นับว่าเป็นความดีของผู้นั้นอย่างยิ่ง ท่านเปรียบไว้ สมมุติว่าบุญที่ทำลงไปนั้นแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน แล้วเอาส่วนที่ ๑๖ นั้นมาแบ่งอีก ๑๖ ส่วน ผู้ตายไปจะได้รับเพียง ๑ ส่วน เท่านั้นฟังดูแล้วน่าใจหาย เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้มีสิ่งใดควรจะทำก็ให้รีบทำเสีย ตายไปแล้วเขาทำบุญไปให้ไม่ทราบว่าจะได้รับหรือไม่ ถึงแม้ได้รับก็น้อยเหลือเกิน เพราะคนตายแล้ว ถ้าลงอบายภูมิ เป็นเปรต ไม่ได้เรียกว่า บิดา มารดา ป้า น้า อา ครูบาอาจารย์ อย่างเมื่อเป็นมนุษย์อยู่นี้หรอก ในบรรดาเปรตเหล่านั้นมี ๑๑ พวก มีจำพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า ชีวิตูปรัตตเปรต เปรตจำพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลำบากมาก เพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทำนาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี เสวยผลกรรมของตนๆ ที่ทำไว้ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้น ฉะนั้นเปรตจำพวกนี้แหละมนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทำบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับ เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย เช่น ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับ นับประสาอะไร บางทีสามีภรรยานอนอยู่ด้วยกันแท้ๆ ฝ่ายหนึ่งทำบุญขอให้อีกฝ่ายหนึ่งอนุโมทนาด้วย ก็ไม่รับ พวกที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานยิ่งไม่รู้กันใหญ่ ไปเกิดในนรกหมกไหม้ทุกขเวทนามาก ทำบุญอุทิศไปให้ก็ไม่รู้อะไร เพราะกำลังเสวยผลกรรมอันนั้นอยู่ เขาจะมาเอากุศลผลบุญของเราได้อย่างไร

#จากหนังสือ_ปุจฉา_วิสัชชนา
#พระนิโรธรังสี_คัมภีรปัญญาจารย์
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕






…มีอะไร..ก็เท่ากับมีความทุกข์
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ เป็นอยู่
ที่ใจได้มาครอบครองนั้น
“ ล้วนเป็นไตรลักษณ์ “.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๔๖, กัณฑ์ที่ ๔๐๐
วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒





#อยู่กับงูเห่า..!!!!

#จงเป็นผู้ปฏิบัติให้ธรรมะทั้งหลาย_มารวมอยู่ที่ใจมองลงไปที่ใจ
#ให้เห็นสติให้เห็นสัมปชัญญะ_ให้มีปัญญา #เมื่อมีทั้งสามอย่างนี้แล้ว_มันจะมีการปล่อยวาง
#รู้จักเกิดแล้วมันก็ดับดับแล้วมันก็เกิด_เกิดแล้วมันก็ดับ

"... ที่เรียกว่า "เกิดๆ ดับๆ" นี้คืออะไร
คืออารมณ์ ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป
ดับแล้วมันก็เกิดขึ้นมา ในทางธรรมะเรียก
ว่า"#การเกิดดับ" มันก็มีเท่านี้ ทุกข์มันเกิดขึ้น
แล้วทุกข์มันก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้ว ทุกข์ก็
เกิดขึ้นมา นอกเหนือจากนี้ไป ก็ไม่มีอะไร
มีแต่ทุกข์เกิด แล้วทุกข์ก็ดับไป มีเท่านี้

...เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็จะเห็น
แต่การเกิด-ดับอยู่เสมอ เมื่อเห็นการเกิด-ดับ
อยู่เสมอ ทุกวันทุกเวลา ตลอดทั้งกลางวัน
ตลอดทั้งกลางคืน ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่เกิด-ดับอยู่เท่านี้เอง แล้วทุกอย่างมัน ก็จบ
อยู่ตรงนี้

เมื่อเห็นอารมณ์เกิด-ดับอย่างนี้อยู่เสมอ
ไปแล้ว จิตใจก็จะเกิดความเบื่อหน่าย

...เพราะเมื่อคิดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากมาย
มันมีแต่การเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ มันมีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดแล้วก็
ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน

...พอคิดได้เช่นนี้ จิตก็จะปล่อยวาง ปล่อย
วาง อยู่กับธรรมชาติ มันเกิดเราก็รู้ มันดับเรา
ก็รู้ มันสุขเราก็รู้ มันทุกข์เราก็รู้ รู้แล้วไม่ใช่ว่า
เราจะไปเป็นเจ้าของสุขนะหรือเมื่อทุกข์ขึ้นมา เราก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์เหมือนกัน เมื่อไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์ มันก็มีแต่การเกิด-ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไร

...อารมณ์ทั้งหลายที่ว่ามานี้ เหมือนกันกับ..
งูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษของมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออก ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน งูเห่าก็เป็น
ไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น... "

"...ดังนี้ ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว ก็จะปล่อย
หมดสิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป
สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ไม่ชอบก็ปล่อย
มันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษ
ร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไปมันก็เลื้อย
ไปทั้งพิษที่มีอยู่ในตัวมันนั่นเอง

...ฉะนั้น คนที่ฉลาดแล้ว เมื่อปล่อยอารมณ์ก็ปล่อยอย่างนั้น ดีก็ปล่อยมันไป แต่ปล่อยอย่างรู้เท่าทัน ชั่วก็ปล่อยมันไป ปล่อยไปตามเรื่องของมันอย่างนั้นแหละ อย่าไปจับ อย่าไปต้องมัน เพราะเราไม่ต้องการอะไร ชั่วก็ไม่ต้องการ ดีก็ไม่ต้องการ หนักก็ไม่ต้องการ เบาก็ไม่ต้องการ สุขก็ไม่ต้องการ ทุกข์ก็ไม่ต้องการ มันก็หมดเท่านั้นเอง ทีนี้ความสงบก็ตั้งอยู่เท่านั้นแหละ

เมื่อความสงบตั้งอยู่แล้ว เราก็ดูความสงบ
นั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไรแล้ว

...เมื่อความสงบเกิดขึ้นความวุ่นวายก็ดับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่านิพพานคือความดับ ดับที่ตรงไหน ก็เหมือนไฟเรานั่นแหละ มันลุกตรงไหน มันร้อนตรงไหน มันก็
ดับที่ตรงนั้น มันร้อนที่ไหนก็ให้มันเย็นตรงนั้น
ก็เหมือนกับนิพพานก็อยู่กับวัฏฏสงสาร...
วัฏฏสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็น มันก็ร้อน... "

"...วัฏฏสงสารกับนิพพานนี้ก็เหมือนกัน ท่าน
ให้ดับวัฏฏสงสารคือความวุ่น การดับความวุ่นวายก็คือการดับความร้อน ไฟทางนอกก็คือไฟธรรมดา มันร้อน เมื่อมันดับแล้ว มันก็เย็น
แต่ความร้อนภายในคือ ราคะ โทสะ โมหะ ก็เป็นไฟเหมือนกัน ลองคิดดูเมื่อราคะ ความ
กำหนัดเกิดขึ้น มันร้อนไหม โทสะเกิดขึ้นมัน
ก็ร้อน โมหะเกิดขึ้นมันก็ร้อน มันร้อน ความร้อนนี่แหละที่ท่านเรียกว่าไฟ เมื่อไฟมันเกิดขึ้น
มันก็ร้อน เมื่อมันดับ มันก็เย็นความดับนี่แหละ
คือ"#นิพพาน"..."

#หลวงพ่อชา_สุภัทโท








ทำใจให้สบาย ร่างกายก็สบาย
แม้จะขาดวัตถุไปมากหรือน้อย
ก็ไม่เป็นทุกข์

หลวงปู่ทองมา สุตธมฺโม
แห่งวัดป่าทรงศิลา(ถ้ำกวาง)







" จิต...
ถ้าตกกระแสแล้ว ไม่กลับ ความชั่ว...
นิดหน่อยนั้น พ้นแล้ว

โสดา ท่านว่า...
จิต น้อมไปแล้ว ท่านจึงว่าพวกเหล่านี้ จะมา
สู่...อบาย(ภูมิ ๔. สัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน) อีกไม่ได้ มาตกนรกอีก ไม่ได้

จะตกได้อย่างไร ?
จิต ละบาปแล้ว เห็นโทษ ในบาปแล้ว
จะให้ทำความชั่วทาง กาย วาจา อีกนั้นทำไม่ได้

เมื่อทำบาปไม่ได้
ทำไม ? จึงจะไปสู่อบาย
ทำไม ? จึงจะไปตกนรกได้ มันน้อมเข้าไปแล้ว

เมื่อจิต น้อมเข้าไป
มันก็รู้จักหน้าที่...
รู้จักการงาน รู้จักปฏิปทา
รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา
รู้จักกาย ของเรา รู้จักจิต ของเรา
รู้จักรูปเรา นามเรา...

สิ่งที่ควรละวาง...
ก็ละวางไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องสงสัย."

หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.








ให้จำไว้ บุญบาปแม้เพียงเล็กน้อย ประมาทไม่ได้
กรรมเมื่อตามมาถึงแล้ว มันแสดงผลทันที
ช้าหรือเร็ว ทุกคนต้องได้รับผลของกรรมนั้น
ไม่มีใครปัดเคราะห์ สะเดาะกรรมให้กันได้
คนเราถ้าเห็นกรรมเก่าของตนเอง เหมือนดูหนังละคร
มันจะบ่กล้าทำบาปใหม่ ให้เผาหลาญใจของตนเองหรอก
เพราะพ่อแม่กิเลส ปิดบังใจเอาไว้ พวกลูกกำพร้าธรรม
มันถึงบ่รู้ความจริง ของบาปบุญคุณโทษ.

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม







"ในพระพุทธศาสนา..ไม่มีคำว่าบังเอิญ
..ทุกสิ่งล้วนเป็นไป.. ตามกฎแห่งกรรม.."

#ธรรมโอวาท
#หลวงปู่ศรี_มหาวีโร






“ความสุข หรือทุกข์ เป็นผลจากการกระทำของเรา
แต่ละคนเองทั้งนั้น ไม่ได้เป็นรางวัล หรือการลงโทษ
ของอำนาจศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด”

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม







"บุญ เหมือนกับเนื้อ
กุศล เหมือนกับเกลือ
ถ้าจะเอาบุญอย่างเดียว
ก็เหมือนกับเนื้อที่ไม่มีเกลือ
จะเอาบุญ ก็ต้องเอากุศลด้วย
แต่อย่าฉลาดมาก จนลืมบุญ
และก็อย่าหลงบุญ จนลืมฉลาด
บุญมันจะทับเอา"

หลวงปู่ชา สุภัทโท







“คนฉลาด ไม่ใช่แค่ฉลาดพูดเท่านั้น
ต้องรู้จักนิ่งอย่างมีสติให้เป็นด้วย
ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูด
ให้มากยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด”

ท่านพุทธทาสภิกขุ







"คนมีธรรม มิใช่อ่านเก่ง จำเก่ง พูดเก่ง
แต่ต้องสามารถ นำธรรมไปปรับปรุงแก้ไข
ความคิด การพูด และการกระทำของตน
ให้ดีขึ้น จนตนเองรู้นั่นแหละของจริง"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








#การทำพระนิพพานให้แจ้ง

พระบาลีว่า นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การทำพระนิพพานให้แจ้งจัดว่าเป็นอุดมมงคล

นี่ การทำนิพพานให้แจ้งนี่ ก็ได้แก่การบำเพ็ญอริยสัจ คือ การพิจารณาทุกข์ หาเหตุปัจจัยเข้าถึงความทุกข์ จนกระทั่งถึงขั้นนิพพิทาญาณ มีความเบื่อหน่ายในโลกทั้งหมด

เขาทำยังไงมันถึงจะแจ้ง มีนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายในโลกทั้งหมด ไม่ว่าอะไรเป็นของโลก เห็นว่ามันไม่เป็นเรื่อง มันไม่มีการทรงตัว แล้วก็ย่องเข้าไปอีกที ถึงสังขารุเปกขาญาณ คือดับตัวเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปยุ่งกับชาวบ้าน

เมื่อตัวเราคนเดียว แล้วมันก็เบื่อ ชาวบ้านเขาเอง นี่การทำพระนิพพานให้แจ้งเขาทำยังงี้แหละไม่ยาก

มานั่งดูตัวเราว่ามันมีอะไรดีบ้าง ข้างในท้องทั้งหมด สะอาดหรือสกปรก ร่างกายทรงสภาพหรือมีการเปลี่ยนแปลง ดูเอาเองก็แล้วกัน ท่านผู้อ่านก็เป็นคนมีปัญญา ถ้ามองไม่เห็นก็นึกภาพว่าเมื่อเกิดมามันหน้าตาเท่านี้รึ มันโตเท่านี้รึ ถ้าโตเท่านี้ออกจากท้องแม่ไม่ได้ ดีไม่ดีเวลานี้ตัวท่านโตกว่าตัวแม่เสียอีก จะย่องเข้าไปอยู่ในท้องแม่ท่านได้ยังไง

นี่ความไม่เที่ยงของโลกมันเป็นยังงี้ ตานี้ในเมื่อความไม่เที่ยงปรากฏ ร่างกายก็เต็มไปด้วยความสกปรก แล้วก็มีความทรุดโทรมไปตลอดเวลา ความจริงร่างกายนี่น่าเบื่อ ไม่ใช่น่ารัก

ทีนี้ ต่อไปก็มาว่ากันถึงตัวสุดท้าย คือ สังขารุเปกขาญาณ การทำพระนิพพานให้แจ้งก็มีอารมณ์วางเฉยในสังขารร่างกาย ร่างกายเราคนเดียว คนอื่นไม่ต้องไปยุ่ง

เมื่อเราวางเฉยในร่างกายของเราได้แล้ว เราก็วางเฉยในร่างกายของบุคคลอื่นได้

การวางเฉยตัวนี้มันเฉยตรงไหน เฉยตรงที่มันเปลี่ยนแปลง มันทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ก็มีความเข้าใจว่านี่ธรรมดาของร่างกายมันเป็นยังงี้ ตานี้ มันแก่ลงมา หูฝ้า ตาฟาง ก็ไม่ค่อยหนักใจ

มีอารมณ์สบายว่าธรรมดาของมันเป็นยังงี้ เวลามันพังลงไป ใจก็สบายว่าธรรมดาเขาเป็นอย่างนี้ วางเฉย เฉยเสียแล้ว ก็เฉยต่อไปอีก คนเขาตายแล้ว เขาอยากจะไปเกิดเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี กษัตริย์ อนุกษัตริย์ พระมหากษัตริย์ เจ้าโลก พระเจ้าจักรพรรดิ

คนที่ทำพระนิพพานให้แจ้งเฉยเลย เฉยแม้แต่การเกิดก็ไม่ต้องการ เห็นว่ามันเป็นทุกข์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไม่ฝ่าฝืนกฎของธรรมดา

เห็นว่าถ้าตราบใดขึ้นชื่อว่าถ้ายังมีความเกิด ยังทรงขันธ์ ๕ ตราบนั้นเราก็ไม่พ้นจากอำนาจของความทุกข์ ความสุขก็คือความดับ ดับจากอารมณ์ต้องการ คือความอยาก ได้แก่ตัณหา เลิกอยากมันเสียให้หมด

ทำวางเฉยเสีย เท่านี้เราจะพบพระนิพพานได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย

พอจิตมันเฉยได้แล้วมันก็หมดทุกข์ ร่างกายมันทรุดโทรม ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา โรคภัยไข้เจ็บเกิดมาก็ถือว่าธรรมดาของมัน ไม่ช้ามันก็พัง ความตายจะเข้ามาถึงก็ธรรมดา พอตายไปแล้วเราไม่ต้องมาเกิดก็เลยถือเป็นธรรมดา

ไปไหน ? ไปพระนิพพาน ความจริงการไปพระนิพพานนี่ เขาเทศน์กันยาวเหยียด ที่เทศน์กันยาวเหยียดนี่มันเข้าไม่ถึงพระนิพพาน

ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยอะไรต่ออะไรอีก ตัดอยากเสียตัวเดียว ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเสียตัวเดียว ทำใจวางเฉยในเมื่อกฎธรรมดามันเกิด ถือว่าธรรมดาของมัน เท่านี้อารมณ์ก็เข้าถึงพระนิพพาน

เข้าถึงยังไง เพราะตัววางเฉยเป็นตัวดับอารมณ์ ดับความจุ้นจ้าน ดับตัวเกาะ ไม่เห็นจะยากอะไร การไปนิพพานง่ายกว่าไปนรกตั้งเยอะ

อันนี้ว่ามาถึงมงคล ๓๔ แล้ว ตอนนี้ไม่ชวนใครละ จะไปก็ไป ไม่ไปก็แล้วไป

(#หลวงพ่อฤาษีลิงดำ #วัดท่าซุง)







เกิดมาในโลกมันมีสองนะ มีมืดกับแจ้ง สุขกับทุกข์ ดำกับขาว มันเป็นคู่กันตลอด แต่ที่บ่ปรารถนาที่สุดก็คือ เกิดมาแล้วตายนั่นแหละ

ชีวิตของเฮานี่ ตายแน่ ๆ บ่เป็นอย่างอื่น เกิดกับตายเป็นของคู่กัน เหมือนมืดกับแจ้งก็เป็นคู่กัน อิ่มกับหิวก็เป็นของคู่กัน พระอาทิตย์พระจันทร์ก็เป็นของคู่กัน สุขกับทุกข์ก็เป็นของคู่กัน ผู้หญิงผู้ชายก็เป็นของคู่กัน เกิดกับตายก็เป็นของคู่กัน

เฮ็ดจังได๋สิบ่ตาย มีช่องทางบ่ ที่บ่ตาย หนีตายหนีไปไหนก็บ่พ้น หนีพระยามัจจุราช ถึงคราวแล้ว เกิดมาตาย นี่ล่ะ เป็นคู่กัน เกิดกับตาย

แต่เฮ็ดจังได๋สิบ่ตาย พระพุทธเจ้าเพิ่นว่าบ่มีทางอื่น เกิดมาแล้วเป็นวิบากกรรม ต้องตายแน่ บ่เป็นอย่างอื่น แต่ว่าตายแล้วบ่เกิด เออ อันนั้นมีช่องทาง แต่ว่าทุกคนเกิดขึ้นมาแล้ว บ่มีผู้ใดจะหลีกลี้หนีพ้นไปได้

เกิดมาตายหมด บ่ว่าในระดับใด เป็นศาสตราจารย์ชะลอความแก่ กินยาตัวนี้แล้วบ่แก่บ่ตาย ขี้คุยไปเถอะ บ่มีผู้ใดรอดสักคน เกิดมาแล้วตายหมด เศรษฐีมหาเศรษฐีระดับใดก็เถอะ รวยมั่งมีขนาดไหนก็เถอะ รักษาสุขภาพดีขนาดไหนก็เถอะ บ่มีผู้ใดพ้นเรื่องความตาย

ความตายเป็นของแน่นอน ของอื่นเป็นของบ่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน เกิดมาแล้ว เป็นอย่างเดียวบ่เป็นอย่างอื่น เกิดมาแล้วตาย

แต่ว่าพระพุทธเจ้าเพิ่นไปเสาะแสวงหา หาทางออกว่าเฮ็ดจังได๋สิบ่ตาย บ่มีทางอื่น ต้องบ่เกิดเท่านั้น

เฮ็ดจังได๋คือบ่เกิด เพิ่นก็ไปบำเพ็ญหาช่องหาทาง มีสมาธิเป็นเบื้องต้น พอมีสมาธิแล้วก็นำมากลั่นกรองไตร่ตรองด้วยปัญญาของเพิ่น ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคแปดนี่ล่ะ เป็นหนทางที่บ่มาเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้อีก

จากนั้นเพิ่นก็บำเพ็ญภาวนา ทำจิตเข้าสู่ความสงบ เป็นหนึ่ง จิตนิ่งจนสงบ พอจิตสงบแล้วนำมากลั่นกรองพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท อวิชชา ปัจยา สังขารา สังขารา ปัจยา วิญญาณัง ก็คือชำระใจให้ใจเข้าใจ ให้ใจเข้าใจด้วยตนเอง ให้จิตใจของเฮารู้แจ้งเห็นจริง เกิดความเบื่อหน่ายคลายออกจากกิเลส

#หลวงพ่ออินทร์ถวาย #สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “เมื่อไม่เกิด ย่อมไม่ตาย”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๔







ครูบาศรีวิชัยสอนให้รําลึกถึงตัวตนอยู่เสมอว่า..บ่ใช่ตัว บ่ใช่ตน

เครื่องประดับขัตติยะนารีทั้งหลาย มีแก้วแหวนเงินทอง เป็นตัณหากามคุณ เหมือนดั่งน้ำผึ้งแช่ยาพิษ สําหรับนําความทุกข์มาใส่ตัว บ่มีประโยชน์สิ่งใดเลย

แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี มหิ มหาสรพู ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทั้ง 5 แม่น้ำนี้แม้นจักเอามาอาบให้หมดทั้ง 5 แม่นี้ ก็บ่ อาจจะล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้

ลมฝนลูกเห็บ แม้นจะตกลงมาหลายห่า เย็นและหนาวสักปานใด ก็บ่ อาจเย็นเข้าไปถึงภายในให้หายจากความทุกขเวทนาได้

ศีล 5 เป็นอริยทรัพย์ เป็นต้นเหตุแห่งความบริสุทธิ์ เป็นน้ำทิพย์สําหรับล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้

เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว สมาธิความตั้งมั่นก็จะมีมา แล้วให้ปลุกปัญญา ปัญญาก็จักเกิดมีขึ้นได้ คือให้หมั่นรําลึกถึงตัวตนอยู่เสมอ ว่า บ่ใช่ตัว บ่ใช่ตน

จนเห็นแจ้งด้วยปัญญาของตน จึงเป็นสมุทเฉทประหานกิเลส หมดแล้ว จึงเป็นวิมุตติหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้.

คัดลอกจากหนังสือ
#ครูบาศรีวิชัย
#นักบุญแห่งล้านนาไทย
พิมพ์ที่ ซี แอนด์ เอ็น





#อันตรายจากกิเลสภายในนั้นน่ากลัวที่สุด
.....
อันตรายภายนอกนั้นเราไม่กลัว เรากลัวอันตรายจากกิเลสภายในใจของตนเองเท่านั้น

ใจคนเราที่ฟุ้งซ่านหงอยเหงา เกิดจากกิเลสสามกองภายในใจของตนเองบั่นทอน

ใจฟุ้งซ่าน ไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอกสัตว์บุคคล มันเกิดจากใจเรา เข้าไปยึดถือ ให้เป็นธรรมารมณ์ทั้งนั้น

#การอยู่ลำพังผู้เดียวมันภาวนาสะดวกใจดี

ไม่ต้องเป็นกังวลใจ กับใครอื่นให้วุ่นวาย ถ้าคุ้นชินกับการอยู่ผู้เดียวแล้วจะรู้ว่าสบาย .

"หลวงปู่ชอบ ฐานสโม"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 130 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร