วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 17:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2021, 01:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ค. 2020, 07:10
โพสต์: 456

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
จักขุวิญญาณ=จิต+จักขุปสาทรูป+สีสันวรรณรูป
จักขุ(จักษุ)=ตา วิญญาณ=จิต สีสันวรรณ=สิ่งที่ถูกเห็นพร้อมแสง(รูปอื่นๆมืดไปหมดและเห็นไม่ได้)
จักขุวิญญาณ=จิตที่ตา=จิตเห็นเป็นสภาพรู้อารมณ์ทางตาอย่างหนึ่งสิ่งที่ถูกเห็นมีแค่สีล้วน1สีที่ประสาทตา
เห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ที่กระทบตรงกลางตาดำลึกๆภายในจักขุปสาทรูปต้องลืมตาดูตามปกติค่ะ
:b12:
สิกขา=ศึกษา คือเรียนรู้ความจริงที่กำลังปรากฏว่ามี
การศึกษาความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
คือการเรียนรู้ความจริงที่กายและจิตใจตนเองตรงตรง
เป็นการศึกษาความจริงที่กายและจิตใจกำลังเป็นไปจริงจริง
เพื่อให้รู้ให้เข้าใจถูกแต่ละคำทีละคำเพื่อส่องถึงปัจจุบันธรรม
:b20:
ปัจจุบันธรรมคือเดี๋ยวนี้ธรรมใดกำลังปรากฏนั่นแหละธรรมนั้นมีจริงจริง
พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ธรรม(อ่านว่าธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริง)ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
ทรงแสดงพระธรรมทุกวัน45ปีด้วยการพูดไปตามลำดับให้ผู้ฟังฟังตามปกติ
เพื่อให้ผู้ที่ฟังเท่านั้นเกิดปัญญาเข้าใจสิ่งที่มีจริง(ธรรม)ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามจริง
ไม่ได้บอกให้ปลีกตัวออกจากการฟังไปคิดทำอะไรขึ้นมาใหม่ทรงบอกสิ่งที่กำลังมี
:b11:
จะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าจำเป็นอย่างยิ่งต้องสิกขาตรงจริงจากฟัง
การฟังไม่ทำให้คิดเดาเอาเองเพราะพระพุทธพจน์คิดเองแล้วเอาไปเดาทำไม่ได้
เวลาฟังต้องคิดละเอียดตรงคำตรงความหมายของเสียงแปลตรงตรงตามที่กำลังฟัง
ไม่แต่งต่อเติมความคิดเดิมความจำเดิมที่มีมาแต่เก่าก่อนจะเริ่มต้นฟังเพราะมีสิ่งใหม่เกิดแล้ว
แต่ตัวเราหลงคิดจำแต่ภาพอดีตเดิมๆที่คิดพูดทำอะไรมาเยอะแบบจำซ้ำๆผิดๆตามความคิดตัวตน
:b1:
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไม่เกิดนอกตาแต่อาศัยรูปใสพิเศษที่ทำให้เกิดเห็นสิ่งหนึ่งได้ที่กลางตาดำ
เรียกว่าจักขุปสาทรูป ปสาทรูป=รูปใสพิเศษที่มองเห็นไม่ได้คอยรับกระทบรูปที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
อริยสาวกทุกคนที่ได้ฟังพระพุทธพจน์ย่อมรู้แจ้งชัดว่ารู้ได้ว่ามีปสาทรูปจากการฟังคำที่พระพุทธเจ้าบอก
ที่รู้ว่ามีปสาทรูปเพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุปัจจัยที่เกิดร่วมกันที่กำลังปรากฏนิมิตต่างๆให้รู้ได้ว่ามีจริง
ปฏิจสมุปบาท=ธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนของใครทั้งสิ้นแต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ1ตัวจริงธรรมที่อิงอาศัยเกิดร่วมกัน
:b16:
การจะรู้ความจริงตรงปัจจุบันที่กำลังปรากฏตรงตามเหตุตามปัจจัยของธรรมต้องเรียนรู้สิ่งที่กำลังปรากฏอยู่
คือรู้จักคิดไตร่ตรองตรงทีละ1ทางเพื่อรู้จักสภาพธรรมตรงทางที่เกิดแล้วทีละ1ทางตามปกติเพราะเดี๋ยวนี้มี
ครบทุกทางแล้วไม่ได้ทำอะไรเลยก็มีแล้วกำลีงมีกำลังเป็นแต่ไม่เคยเข้าใจถูกว่าอะไรที่กำลังมีจริงจริงถึงที่สุด
เมื่อไม่ฟังก็หลงผิดอยากได้สิ่งที่ไม่รู้จักคืออยากได้นิพพานก็นิพพานคือหมดอยากได้เพราะฟังจนรู้ตัวว่าไม่รู้
อันที่คิดว่ารู้ไปหมดนั้นแหละคิดมากเกินสิ่งที่มีคือกำลังมีกิเลสตัณหาอวิชชาอยากได้นิพพานด้วยความโลภ
:b17:
คิดเรื่องจริงของเห็นให้ถูกต้องตรงตามคำสอนแล้วจะรู้ว่าโง่มานานขนาดไหน
เห็นเกิดเองไม่ได้และที่กำลังเห็นเพราะมีเหตุปัจจัยทำให้ตายังไม่บอดยังฟังรู้เรื่องได้
เพราะการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยมีการลืมตาดูมีฟังเสียงด้วยหูเพื่อรู้จักเห็น
เพราะเห็นเป็นเห็นเป็นธรรมเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีสิ่งที่กระทบตาดำจึงมีการกระทบรูป(ผัสสะ)
เกิดการรับรู้ว่าเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งที่กำลังปรากฏว่ากระทบตาเท่านั้นที่เห็นได้นอกตาไม่มีอยู่จริง=บอดตาใส
แม้เห็นในนรกบนสวรรค์พรหมโลกก็คือเห็นสีล้วนสีเดียวที่กระทบตาดำดับมืดลงทันทีแปลว่ามืดบอดสนิทเลย
https://youtu.be/jJjrE0VM6o0
:b12:
:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 105 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร