วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 04:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2021, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#อรหันต์อินเตอร์เน็ต

โยม: หลวงปู่ครับหลวงปู่เป็นพระอรหันต์จริงไหมครับ

หลวงปู่สังข์: ใครบอกล่ะ

โยม: ในอินเตอร์เน็ตครับ

หลวงปู่สังข์: โฮ้ย!!!คนสมัยนี้เนาะอินเตอร์เน็ตมันว่าอย่างใดก็เชื่อมันหมด ตุ๊นั้นเป็นอรหันต์ ตุ๊นี่เป็นอรหันต์ ก็พากันเชื่อหมด ธรรมะพระพุทธเจ้ามีบ่ยอมเข้าใจบ่เอาไปปฏิบัติฮ้องหาก่าพระอรหันต์

หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ
วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






…” คนที่ มีความสุขทางใจ
คนที่ ไม่มีทุกข์ทางใจนี้ “

.จะมีข่าวร้ายขนาดไหน
ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน

.จะรู้สึกเฉยๆ
ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
เพราะ..” ใจ “ ไม่ทุกข์กับอะไรแล้ว.

…………………………………………..
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




โยนิโสมนสิการ รู้จักคิด รู้จักพิจารณา ทุกวันนี้เรามักจะเป็นทุกข์เพราะความคิด คิดไม่เป็น คิดไม่ถูกหลัก คิดเรื่อยเปื่อย ความคิดที่จะให้ผลดีมีเงื่อนไขว่า หนึ่ง เราต้องสามารถขจัดความคิดที่ทำให้ฟุ้งซ่านเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ พวกขยะสมอง นี่ก็เป็นเรื่องของการเจริญสติ เป็นต้น พอจิตใจเริ่มจะคิดในสิ่งที่ไม่เข้าท่า เราก็รู้ตัว แล้วก็ปล่อย รู้ตัว แล้วก็ปล่อย ฝึกให้รู้ตัวเอง รู้อารมณ์ตัวเองในปัจจุบัน รู้จักปล่อยวางอารมณ์ที่เป็นพิษเป็นภัยต่อชีวิตจิตใจ เหมือนกับเรามีห้องที่รกรุงรัง เราก็เอาเฟอร์นิเจอร์เอาของที่ไม่ได้ใช้ออกไป เนื้อที่ห้องถึงจะเท่าเดิม แต่เราจะรู้สึกว่ามันปลอดโปร่งน่าอยู่ขึ้น เราก็เก็บไว้เฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่เราต้องการจะใช้อย่างเดียว สมองเราทุกวันนี้มันรกมาก เราจึงคิดอะไรไม่ค่อยจะออก เราคิดเข้าข้างตัวเองด้วย คิดตามอำนาจของกิเลส ของความอยากได้ ของความกลัว หรือความกังวล เป็นต้น

พระอาจารย์ชยสาโร




" งานของโลกนั้น
เขาต้องใช้เวลาทำกันนานๆ
บางทีตั้งแรมเดือนแรมปี
ก็ยังไม่รู้จักเสร็จ

แต่งานของพระศาสนานี้
ถ้าตั้งอกตั้งใจทำกันจริงๆจังๆ
ก็ไม่นานเท่าไร

บางทีชั่วเวลาพริบตาเดียว
ก็เห็นผลสำเร็จแล้ว
ไม่ต้องทำกันมาก
และเมื่องานเสร็จแล้ว
เราก็จะนั่งนอนสบาย

งานพระศาสนานี้
บางทีทำเพียง ๓ นาที
แต่ผลที่ได้รับอาจยืดยาว
ไปถึงชาติหน้าภพหน้า

ส่วนงานของโลก
เมื่อทำสำเร็จก็เป็นผล
เพียงแค่โลกนี้เท่านั้น
หาได้สืบต่อไป
ชาติหน้าภพหน้าด้วยไม่

ดังนั้นงานของพระศาสนา
จึงนับว่ามีอานิสงส์ยิ่งกว่า
ผลของงานทางโลกมากมายนัก "

โอวาทธรรม
ท่านพ่อลี ธัมมธโร




"จิตติดที่ไหน ย่อมไปเกิด ณ ที่นั้น
จิตติดเรือน ก็อาจจะมาเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกได้
แม้แต่พระภิกษุติดจีวร ยังไปเกิดเป็นเล็น
น่าหวาดกลัวนัก แล้วกิเลสมีร้อยแปดประตู
พุทโธมีประตูเดียว เพราะฉะนั้น ให้ฝึกหัดปฏิบัติ
ให้คุ้นเคย วาระที่เราจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ
จะเข้าจิตได้ทันหรือเปล่า"

หลวงปู่หลุย จันทสาโร



"มีทุกข์ไม่ต้องบ่น ให้ทนเอา"

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร



การพิจารณากายให้หนักไปทางอสุภะ
ตามความเป็นปฏิกูลโสโครกของร่างกายนี้


“พระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์ท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศหรือมุดลงใต้ดินที่ไหน ท่านก็อยู่บนดินกินข้าวเหมือนกับพวกเรานั่นแหละ เพียงแต่เมื่อมีอะไรที่เข้ามาสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายของพระองค์ท่านแล้ว มันไม่สามารถเข้ามาครอบงำจิตใจของพระองค์ท่าน ให้เอนเอียงหวั่นไหวไปกับสิ่งที่มาสัมผัสได้อีกต่อไป นั่นแหละจิตที่มีความตั้งมั่นแล้วจะเป็นอย่างนั้น

จิตของเราก็เช่นกัน พอมันมีความชำนิชำนาญอยู่ในความสงบ มีความตั้งมั่นหนักแน่นมั่นคงแล้ว ในส่วนของการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา พวกเรา เราไม่สามารถหลีกหนีจากรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน สิ่งเหล่านั้นก็จะมาสัมผัสกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายได้ แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มันไม่สามารถมาครอบงำจิตใจของพวกเราได้ จิตจะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นด้วยความแยบคายรอบคอบที่สุด ที่เราเรียกว่าปัญญา เช่นรูปเป็นต้น ไม่ว่าจะรูปไหนก็ตาม ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ที่เราเคยมัวเมาลุ่มหลงไปทางรังเกียจหรือทางรักชอบพอก็ได้ ที่มันเคยมาครอบงำจิตใจของเราให้ยินดียินร้าย รูปทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเราหรือเป็นเขา มันมีเราอยู่ในนั้นไหม มันมีเขาอยู่ในนั้นไหม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ควรต่อการคลี่คลายพิจารณา เพราะเราลุ่มหลงมัวเมามันมากี่ภพกี่ชาติแล้ว หลงรักหลงเกลียดหลงชอบหลงชังมันมามากมาย หลงว่าของเราของเขา แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันเป็นอย่างไร ให้พวกเรามาพิจารณาคลี่คลายแยกแยะดู เอาปัญญาเข้าไปสอดส่องดู


การพิจารณากายให้หนักไปทางอสุภะ ตามความเป็นปฏิกูลโสโครกของร่างกายนี้ ซึ่งมันแสดงความจริงอยู่ตลอดเวลา ให้จิตดวงนี้มันท่องเที่ยวอยู่ในกองอสุภะนี้ ท่องเที่ยวอยู่ในความเป็นปฏิกูลโสโครกของความน่าขยะแขยงของเรือนกายนี้ ถ้ามันไม่อยากท่องเที่ยวอยู่ในเรือนกายนี้ ก็บังคับมันลงไป ให้พิจารณาลงไป เพื่อความเฉลียวฉลาดเพื่อให้เกิดปัญญาขึ้นมา กำหนดมันลงไป นึกว่าเป็นกายหญิงหรือกายชาย กายเราหรือกายเขาก็ได้ รวมความแล้วมันก็มาจากกายอันเดียวกันเหมือนกันหมดเลย ล้วนมาจาก ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง เหมือนกันไม่แตกต่างกัน กายชายเป็นอสุภะ กายหญิงก็เป็นอสุภะเช่นเดียวกัน ไม่ว่ากายหญิงหรือกายชาย จริงๆ ก็คือกองของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันไม่มีอะไรเป็นหญิงไม่มีอะไรเป็นชาย มันเป็นแค่สมมุติขึ้นเท่านั้น แต่พวกเราก็พากันไปหลงในสมมุติอันนั้น ไปยึดมั่นถือมั่นในสมมุตินั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันไม่มีอะไรจริงๆ มันเป็นสมมติที่สื่อความหมายให้เข้าใจกันเท่านั้นเอง แต่พวกเรากลับพากันเกินความสมมุติไป เกินประโยชน์อันนั้นไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ผลที่สุดความยึดมั่นถือมั่นนี่แหละ ที่จะกลับมาครอบงำจิตใจของเรา ทับถมจิตใจของเราให้หนักและจมลงไป

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะหลุดออกไปได้ก็ด้วยปัญญาเท่านั้นแหละ ที่จะคลี่คลายมันออกมาด้วยการแยกแยะพิจารณาด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เมื่อปัญญาหมั่นคลี่คลายพิจารณาแยกแยะ นับวันมันจะยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งชัดเจนอยู่ในความรู้ของจิตนี้ สุภะที่เป็นความสวยงามที่พวกเราเคยยึดมั่นถือมั่น เคยเห็นว่ามันเป็นของสวยของงาม มันก็จะหายไปหมดเลยเหลือแต่ความเป็นอสุภะ ความรักความชอบใจความยินดีแต่เก่าก่อน มันก็หายไปหมดเช่นกัน เหลือแต่ความรังเกียจเหลือแต่ความขยะแขยง จนกระทั่งมันไม่มีทางออกแล้ว ไม่มีสุภะหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว มันเป็นอสุภะล้วน ๆ พอมันไม่มีทางออกแล้วมันจะย้อนกลับเข้ามาที่ตัวจิตเอง ทุกสิ่งทุกประการมันจะมาแก้ไขที่ดวงจิตนี้ แต่มันต้องอาศัยตัวร่างกายนี้เป็นสะพานเพื่อเข้ามาหาจิต กิเลสทั้งหลายมันไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่กิเลสมันอาศัยร่างกายไปเป็นเครื่องมือของมัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาชำระที่ดวงจิตนี้ อุปาทานก็อยู่ที่ดวงจิตนี้ ความคาดหมายด้นเดาทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ที่ตัวจิตนี้ทั้งนั้น ความรู้แจ้งก็อยู่ที่ตัวจิตนี้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาจนรู้แจ้งก็รู้แจ้งที่จิต จะเห็นชัดเจนเลยว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง สุภะและอสุภะมันไม่ได้มีเลย มันมีเพียงอยู่แค่สมมติที่จิตดวงนี้ไปคาดหมายไปให้ความหมายกับเขาว่าเป็นสุภะ ก็ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นสุภะ ให้ความหมายว่าเป็นอสุภะ ก็ไปยึดมั่นถือมั่นในความเป็นอสุภะ ทั้งๆ ที่กายนี้เขาเป็นเช่นนี้เองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าเราจะเกิดมาหรือตายจากไปมันก็เป็นอยู่เช่นนั้นเองตลอดเวลา


เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของพวกเรามันจะจบลงที่จิต เราอยู่ที่ไหนเราก็มีดวงจิตดวงนี้ด้วย เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ ขอแค่ให้เอาจริงเอาจังมันลงไป เมื่อเอาจริงเอาจังแล้ว มันมีโอกาสจบลงได้ เพราะฉะนั้นการทำความเพียรควรจะต้องทำตั้งแต่ตื่นนอน ต้องมีความระมัดระวัง ฝึกความระมัดระวังจนกระทั่งมันเกิดเป็นความคุ้นเคย คุ้นเคยในอาการความเคลื่อนไหวของเรา นับตั้งแต่ภายนอกเราจะทำกิจอะไรก็ตาม ก็ทำด้วยความระมัดระวัง นี่ก็เป็นการฝึกสติให้พร้อม จนกระทั่งมาถึงภายในใจของเรา

เมื่อพวกเราทุกคนเอาจริงเอาจังด้วยการเตือนตัวเราอยู่เองเสมอ ว่าวันคืนล่วงเลยไปบัดนี้เราทําอะไรอยู่ ขอให้น้อมเข้ามาเตือนตัวเอง แล้วเราจะเป็นคนไม่ประมาท เมื่อเราเป็นบุคคลที่ไม่ประมาทในความเป็นอยู่ของเราแล้ว เรานั่นแหละจะเป็นผู้ที่เจริญในธรรม จนกระทั่งสามารถก้าวไปสู่จุดหมายปลายทาง คือความพ้นทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ในปัจจุบัน แต่สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติมาก็จะไม่สาบสูญไปไหน มันจะสะสมไว้เป็น “ปุพเพกตปุญญตา” เป็นการได้สั่งสมบุญไว้ เป็นนิสัยวาสนาของพวกเราสืบต่อไปในภายภาคหน้าภพหน้า เพื่อจะไปสานต่อในภพหน้ากันต่อไป จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด”

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๒๘ มกราคม ๒๕๖๔
:b8: :b8: :b8:


:b44: รวมคำสอน “พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=60243

:b44: ประวัติและปฏิปทา “พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22493


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 154 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร