วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 04:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2021, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเดินจงกรม จิตมีสติควบคุมดี เมื่อเวลามานั่งจิตจึงสงบดี จึงควรจำไว้ในวิธีที่ได้ผลดีและเร็วกว่ากัน การเคลื่อนไหวในขณะเดินสติทำงานดีกว่านั่ง ผลจึงต่างกัน วิธีใดดีกรุณาจำวิธีนั้นไว้ปฏิบัติ กรุณาขยันภาวนาเข้านะ ใจจะเป็นสุข การงานจะราบรื่นไปตาม ๆ กัน

.............................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
จากหนังสือ "เมตตาธรรม"








“ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน”

เพราะการทำบุญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบช่วยเหลือคนยากคนจน บางคนก็ชอบช่วยเหลือคนพิกลพิการ บางคนก็ชอบทำบุญกับพระ ทำบุญกับศาสนา ก็ได้ทั้งนั้น อะไรที่ถูกกับจริตของเราก็ทำไป เมื่อทำไปเรื่อยๆ แล้วจิตจะมีความเคารพในความรู้สึกของผู้อื่น เพราะเวลาทำอะไร เราก็อยากจะให้คนอื่นมีความสุข เวลาทำอะไรแล้วทำให้คนอื่นทุกข์ เราก็จะไม่อยากจะทำ จิตก็ไม่อยากจะเบียดเบียนผู้อื่น ไม่อยากจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่อยากจะลักทรัพย์ ไม่อยากจะประพฤติผิดประเวณี ไม่อยากจะพูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวงใครทั้งนั้น เมื่อจิตมีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ก็จะตั้งอยู่ในศีล จะไม่ค่อยวุ่นวาย เวลาไหว้พระสวดมนต์ทำสมาธิก็จะง่าย เพราะได้สร้างฐานไว้แล้ว แต่ถ้ายังวุ่นวายอยู่กับเงินทอง ยังเสียดายเงินเสียดายทอง ยังอยากจะได้เงินได้ทองมากขึ้น ก็จะไม่สนใจกับความรู้สึกของคนอื่น เวลาอยากจะได้อะไร จะไม่คำนึงว่าคนอื่นจะเดือดร้อนหรือไม่ ขอให้ได้ในสิ่งที่ต้องการก็แล้วกัน เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัวนั่นเอง แต่คนทำบุญให้ทาน จะเป็นคนเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่น คนที่ไม่ทำบุญทำทานจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว มักจะไม่สนใจกับความรู้สึกของผู้อื่น อยากจะได้อะไรอยากจะทำอะไร ก็จะเอามาทำไป โดยไม่สนใจต่อความรู้สึกของผู้อื่น อาจจะทำร้ายร่างกาย ทำลายชีวิตของผู้อื่นก็ได้ เอาทรัพย์ของผู้อื่นมาก็ได้ ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาของผู้อื่นก็ได้ ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่นก็ได้ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการ

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เวลานั่งภาวนาจะภาวนาไม่ได้ จิตจะวุ่นวายอยู่กับเรื่องต่างๆ ยิ่งไปทำอะไรให้ผู้อื่นเดือดเนื้อร้อนใจ ก็จะเดือดร้อนตามไปด้วย ยิ่งทำให้การทำจิตให้สงบยิ่งยากขึ้นไปใหญ่ ต้องใช้กำลัง ๒ เท่า คนที่มีศีลใช้เพียงเท่าเดียวก็ทำให้สงบได้ คนที่มีความรุ่มร้อนใจ ที่เกิดจากการกระทำผิดศีลผิดธรรม ต้องใช้กำลังมากกว่า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำจิตให้สงบได้ เพราะใช้กำลังเท่าเดียวก็ยังยากแสนยากอยู่แล้ว ถ้าต้องใช้กำลัง ๒ เท่า ๓ เท่า ก็จะทำไม่ได้เลย แต่คนพวกนี้ไม่สนใจเรื่องศีลเรื่องธรรมอยู่แล้ว เพราะบูชาเงิน บูชาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นพระเจ้า แม้จะมีความสุขชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็ยังพอใจ แต่เวลาทุกข์กับสิ่งเหล่านี้กลับมองไม่เห็นกัน

ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เดินตามถูกต้องหมดแล้ว ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้น ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ทรงมาสอน ครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆสาวกกี่ท่านจะมาสอนธรรมะ ก็สอนแบบเดียวกันทั้งนั้น นี่เป็นธรรมะหลัก ธรรมะที่เกี่ยวกับจิตใจ ส่วนธรรมะที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น ก็ทรงสอน เช่นให้มีความกตัญญูกตเวทีกับผู้มีพระคุณ มีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่ มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นเรื่องที่เราใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เวลาที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น แต่ถ้าอยู่ตามลำพังปฏิบัติเพื่อจิตใจ ก็พวกทานศีลภาวนาเป็นหลัก ขอให้ทำกันเถิด ส่วนใหญ่จะให้ทานรักษาศีลกัน แต่ยังไม่ภาวนากัน ได้ภาวนากันมากน้อยเพียงไหน แล้วได้ทำเป็นกิจวัตรประจำบ้างไหม.

กัณฑ์ที่ ๒๓๔ (จุลธรรมนำใจ ๓)
วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙
“ความอยากไม่มีขอบเขต”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต











การทำบุญ

การทำบุญเพื่ออุทิศให้บิดามารดา ตลอดทั้งผู้มีพระคุณหรือทั่วทั้งไตรโลกธาตุ อันนั้นเป็นเจตนาดีแล้ว ถึงแม้ของบริจาคทานเราเล็กน้อยก็ไม่ขัดข้องต่อธรรมะ ยิ่งได้บุญทวีคูณเหมือนเดิมถ้าทำมากก็ยิ่งได้มาก การอุทิศบุญให้แก่ท่านผู้อื่นบุญไม่ได้หมดไป มีแต่ได้ทวีมากแม้ข้าวเมล็ดเดียวจะอุทิศถึงไตรโลกธาตุก็ได้

ไม่ว่าทำบุญประเภทไหนชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ตาม ขณะจิตเดียวก็ตาม อุทิศให้ไตรโลกธาตุได้ทั้งนั้น ท่านเหล่านั้นจะได้รับหรือไม่ได้รับแต่ผู้อุทิศให้ท่วมไม่เสียแล้งไม่เสีย และการทำบุญส่วนตัวก็ดี หรือบุญอุทิศก็ดี ทำเพื่อรู้แจ้งพระนิพพานโดยด่วนนั้น มีอานิสงส์มากหาประมาณไม่ได้ และก็เป็นปัญญาไปทางลัดด้วย แต่ผู้สร้างบารมีแก่กล้ามาแล้ว จึงพอใจต้องการอย่างนั้น...

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต











...ให้รู้จักว่า
"วิธีทิ้งร่างกายทำอย่างไร"
ร่างกายนี้เป็นเหมือนบ้าน
ที่เราอยู่อาศัยชั่วคราว
.
...ไม่ใช่เป็น "ตัวเรา" นะ
เราเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่
สักวันหนึ่งพวกเราทุกคน
ก็ต้องทิ้งบ้านหลังนี้เหมือนกัน
.
...และวิธีที่จะทิ้งคือ "ทำใจให้สงบ"
พุทโธๆ ไป อย่าไปรัก
อย่าไปหวง อย่าไปเสียดาย
คิดว่าเป็นของที่เรายืมเขามา
เดี๋ยวเจ้าของเขาจะมาเอาคืนไป
ก็คืนเขาไป ..
.
..."เราไม่ได้เป็นร่างกาย"
เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวนะ
"เรา..ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย"
..........................................
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมบทเขา 23 / 10 / 2557
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









ด่าผู้อื่นคือด่าตนเอง
ใส่ร้ายผู้อื่นคือใส่ร้ายตนเอง
ทำลายผู้อื่นคือทำลายตนเอง

เมตตาผู้อื่นคือเมตตาตนเอง
อภัยให้ผู้อื่นคืออภัยให้ตนเอง
เสียสละให้ผู้อื่นคือเสียสละให้ตนเอง

ก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้รอบคอบ
ใช้สติระลึกให้กว้าง ใช้ปัญญามองให้ไกล
จะได้ไม่ต้องกลับมาเสียใจภายหลัง

โอวาทธรรม พระอาจารย์คม อภิวโร









“จะทำผิดมาก หรือทำผิดน้อยมานั้น บ่สำคัญ
สำคัญที่ เมื่อเฮาทำแล้ว เฮาสำนึกความผิดตนเองบ่
แม้คนทำผิดมาร้อยครั้ง แต่สำนึกได้แล้วกลับใจ
ยังดีกว่าคนที่แสร้งทำดี แต่ใจแฝงไปด้วยความชั่ว”

หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตฺโต









“..ให้ทุกคนสร้างบุญ
สร้างความดี ละเว้นความชั่ว

สะสมบุญเอาไว้มาก​ ๆ
จะได้สบายในทุกภพทุกชาติ..”

โอวาทธรรม
หลวงปู่สูนย์ จันทวัณโณ








" คนที่มีความอ่อนน้อม ย่อม
ส่อถึงความเป็นคนดีภายใน
ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคน
แข็งกระด้าง ไม่อ่อนน้อม
ต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม
ย่อมประสบความหายนะ

ท่านสอนให้เรา
ไปดูตัวอย่างรวงข้าวในนา
ตามธรรมดารวงข้าว
มีเมล็ดเต็มอ้วนภายใน
มักอ่อนรวงลงเสมอ
ส่วนรวงใดลีบ
ไม่มีเนื้อภายใน
มักชูรวงแข็งกระด้างไม่อ่อน

เปรียบเหมือนคนอ่อนน้อม
ซึ่งแสดงว่ามีความดีภายใน
ส่วนคนแข็งกระด้างแสดงว่า
ภายในลีบไม่มีน้ำหนัก
แห่งความดีเลย

มนุษย์จึงควรสำนึก
ในข้อนี้ และประพฤติ
อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ
จะถึงความเจริญไม่หยุดยั้ง ”

โอวาทธรรม
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท









#มันกะสิตายคือเก่า

รวยปานได๋—-มันกะสิตายคือเก่า
จนปานได๋—-มันกะสิตายคือเก่า
ทุกข์ปานได๋—-มันกะสิตายคือเก่า
สุขปานได๋—-มันกะสิตายคือเก่า

สิวิเศษเลิศโลกป่านได๋-
กะบ่พ้นตายไปได้

มีแต่บาปกับบุญนี่ละ
สิตามส่งเฮาไปตามภพต่างๆ
ให้พากันเร่งทำความดีเข้า
ชีวิตบ่แน่นอน
มื้ออื่น—-อาจสิตายกะได้

#หลวงปู่แสง #ญาณวโร












#พระธรรมคำสอนอันเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายของ #หลวงปู่จูม #สุจิตฺโต ที่ท่านได้ทิ้งมรดกธรรมไว้ให้แก่อนุชนชาวพุทธได้คบคิดนั้น มีใจความว่า

“..ที่สิ้นสุดของกาย
คือ สิ้นลมหายใจ
ที่สิ้นสุดของจิต คือ
ตัวเราไม่มี ของเราไม่มี

เมื่อใด
พรหมวิหารของเรา
ยังไม่ครบสี่
เมื่อนั้นเรายังวุ่นวายอยู่
เพราะยังวางมันไม่ลง
ปลงมันไม่ได้

คนเราเป็นทุกข์อยู่กับธาตุสี่
เพราะยังไม่เห็นธาตุรู้
รู้อย่างเดียว ไม่สุข ไม่ทุกข์

จิตนี้มันคือ (เหมือน) น้าม (น้ำ)
น้ามมันชอบไหลลงสู่ทางต่ำ
ถ้าคนสะหลาด (ฉลาด)
กั้นมันไว้ มันก็จะไหลขึ้นที่สูง.”

นี้คือคำสอนของหลวงปู่จูม ที่ท่านได้เขียนไว้ก่อนสิ้นลมหายใจ ซึ่งค้นพบใต้หมอนหลังจากท่านมรณภาพแล้ว

ทั้งนี้ ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในวัยชรา เพื่อหาทางพ้นทุกข์ ไม่มุ่งสอนผู้อื่น พูดน้อย มักน้อย สันโดษ

ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หลังจากฌาปนกิจศพแล้ว อัฐิของท่านมีสีขาวบริสุทธิ์ดุจปุยฝ้าย

หลวงปู่จูม สุจิตโต











#ตัวยินดียินร้ายดีใจเสียใจ_อันนี้ล่ะลูกน้องของอวิชชาตัณหา

"..ถ้าย่นเข้ามามันไม่มากนะ ความหลงนี้ก็นิดเดียว ถ้าสมมุติว่าแผ่นดินใหญ่ๆ ก็ย่นเข้ามาให้มันเหลือดินเม็ดเดียว ถ้าเป็นจิตก็เป็นจิตดวงเดียว ถ้าจะเปรียบจิตใจเท่ากับวัตถุ

แต่จิตใจมันไม่เป็นวัตถุ มันติดกันอยู่นี่ จะทิ้งหรือไม่ทิ้งดินเม็ดเดียวนี้ #ทิ้งได้มันก็จบแล้ว

ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มี เมื่อมันวกเข้ามาหาความจริง รูปก็คือจิต

ถ้ามันจะย่นเข้ามาหาตัวผู้รู้ รูปก็คือตัวผู้รู้นี่ เวทนาก็คือตัวผู้รู้ สัญญาก็คือตัวผู้รู้ สังขารก็คือตัวผู้รู้ วิญญาณก็คือตัวผู้รู้

นี่มันหดเข้ามานี่แล้ว มันมีไหมพวกนี้
รูปขันธ์ เวทนา มีไหม เวทนาไม่มี
รูปไม่มี สัญญามีไหม สัญญาไม่มี
รูปก็ไม่มี สังขารมีไหม สังขารไม่มี
รูปก็ไม่มี

ทีนี้อยู่ในขันธ์ห้านี้ มันจะไปรวมอยู่ที่ตัววิญญาณคือตัวรู้ ตัววิญญาณ วิญญาณรู้ไปตามขันธ์รู้ไปตามอาการ อันนี้ล่ะท่านให้ชื่อว่าวิญญาณ

ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มีพวกนี้ ขันธ์ไม่มี ขันธ์หายไป มันก็มาเหลืออยู่แต่ดวงจิต

เมื่อเหลืออยู่แต่ดวงจิต ท่านก็ให้ย้อนเข้ามาดูจิต มันมีอะไรตกค้างอยู่บ้างไหม มากำหนดดูอยู่ที่นี่ ให้รูปมันเกิดขึ้นที่นี่ ให้มันดับลงที่นี่

เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วจิตใจมันยินดีไหม จิตใจมันยินร้ายไหม จิตใจมันดีใจไหม จิตใจมันเสียใจไหม

ถ้ามีพวกนี้ ก็แปลว่าตัวยินดียินร้าย ดีใจเสียใจ อันนี้ล่ะลูกน้องของอวิชชาตัณหา คนงานของเขา ถ้าเทียบกับทหาร ก็เป็นทหารของอวิชชาตัณหา

ดีใจเสียใจ รัก ชัง กลัว หลง ที่มันมีอาการเกิดขึ้นภายในจิตใจนี้ใช่ทั้งนั้น ที่ท่านให้ชื่อว่าตัวเจตสิกหรือตัวสังขารจิตใช่ทั้งนั้น ทหารของมันทั้งนั้น


ถ้าเราไม่รู้ก็ต้องรู้ น้อมเข้ามาหาดวงจิตดวงใจ ค้นดูพิจารณาดู มันก็ดีกว่านอน นอนแล้วได้อะไร ทำไมมันจึงสนใจหนักหนา

ค้นหาแต่ความสุขในร่างกาย ความสุขทางจิตใจทำไมไม่เอา ทำไมไม่ส่งเสริม ทำไมไม่สนับสนุน มันเป็นอะไร มันเป็นเพราะอะไร ให้พิจารณากันดู.."

โอวาทธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร











#จิตคิดไปถึงอะไร
#จิตก็ไปเกิดในภพในภูมินั้น

"จิตทีแรก.. ดวงที่มันจะดับลงทีแรกนั่นแหละ ถ้าเคยกราบผีอยู่ประจำ ใจใกล้จะขาด ธาตุจะแตก ขันธ์จะดับ จิตก็คิดไปถึงศาลพระภูมิ คิดไปถึงผี เมื่อใจขาดคาตรงนั้น ก็เรียกว่าไปอุบัติอีกภพ ไปเกิดภพเป็นผี

พอเข้าใจไหมทีนี้.. คิดถึง ความคิดคืออารมณ์ ก่อนตายมันจะคิดไปถึงอะไร คิดไปถึงศาลพระภูมิ อารมณ์นั้นก็ไปดับที่ศาลพระภูมิ เรียกว่าเอาศาลพระภูมิเป็นภพเป็นที่เกิด เราก็ไปเกิดเป็นผีเฝ้าศาลพระภูมิอยู่ จึงไม่อยากให้ไปทำอย่างนั้น..

..ที่นี้ถ้าคิดไปถึงนิมิต แปลว่าจะจวนเจียนจะขาดธาตุจะแตกขันธ์จะดับ คิดไปถึงอารมณ์ใหน

อย่างสมัยพุทธกาล พระคิดไปถึงผ้าจีวร คือตัดผ้าจีวรเสร็จใหม่ๆยังไม่ได้คลุมไม่ได้ใช้.. พอกลางคืนก็มาก็เลยปวดท้องเจ็บท้องตาย ใจขาดก็คิดถึงผ้าจีวร เกิดเป็นเล็นก็อาศัยอยู่ผ้าจีวร เกิดเป็นสัตว์เดรฉาน..

..ถ้าเราคิด ความคิดนี้เรียกว่าภพ อารมณ์นี้เรียกว่าภพ เป็นที่เกิดเป็นที่ตั้งของจิต จิตของเราเปรียบเสมือนเมล็ดพืช อารมณ์เปรียบเสมือนเนื้อนา ไร่ สวน ไปตกอยู่ที่ใหน อารมณ์ไปตกอยู่ที่ผ้าจีวร ก็ไปเกิดที่ผ้าจีวร

ถ้าเคยกราบเคยไหว้ผี อารมณ์ก็ไปเกิดถึงศาลพระภูมิ ก็ไปจุติขึ้นที่ศาลพระภูมิ ก็ไปเป็นผี อายุผีนานนะ ผีกว่าจะมาเกิดอีก อย่าพากันไปสร้างศาลพระภูมิ อย่าพากันไปกราบนะ..

ถ้าคิดถึงพญานาค ก็ไปกราบพญานาค ตายไปก็ไปเกิดเป็นลูกพญานาค เป็นสัตว์เดรัจฉาน

นั้นล่ะภพเป็นที่เกิด เป็นที่ตั้งของจิต
คิดไปถึงอะไร จิตก็ไปเกิดในภพนั้น ภูมินั้น"...

โอวาทธรรม
หลวงตาศิริ อินฺทสิริ
วัดถ้ำผาแดงผานิมิต อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น









#คนที่ภาวนาแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าคนที่ไม่รู้จักการภาวนา มามัวแต่จับจ้องดูถูกคนที่ตั้งใจปฏิบัติภาวนา .

คนพวกนี้มันยังโง่ไม่เห็นว่าไฟกำลังเผาตัวเองทุกวันๆ มีแต่ใช้ชีวิตแบบประมาทมาก ชอบเที่ยวเล่น ดื่มกินสุรา ของผิดกฏหมายต่างๆ เรื่องไม่ดีขึ้นชื่อว่าชั่วมันชอบทำกันนักคนสมัยนี้ ไม่รู้จักละอาย เกรงกลัวต่อบาปกรรมเลยแม้แต่นิดเดียว

เพราะมันยังไม่รู้ว่าบาปกรรมเป็นยังไง มัวแต่ใช้ชีวิตที่มีค่ายิ่งมาทำลายตัวเองลงทุกวัน ทำลายบุญกุศลเดิมที่บำเพ็ญมาให้หมดลงอย่างช้าๆ

จนในที่สุด บุญเก่าที่เคยทำมาก็หมด เจ้ากรรมนายเวรทั้งภพอดีตและภพปัจจุบันก็รุมกรูกันเข้ามาทำร้ายคนพวกนี้ จนเจ็บป่วยล้มตาย

ลูกหลานทั้งหลายอย่าพากันทำบาปนะ สิ่งไหนไม่ดี ผิดศีลธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ สิ่งนั้นแหล่ะคือบาปอกุศล มันจะพาเราฉิบหายวายวอดไปหมดทั้งตัวตนนะ

#หลวงปู่ศิลา #สุมงฺคโล
#วัดป่าท่าสิมมา จ.อุดรธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 191 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร