วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2020, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


มีโอวาทของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ที่ท่านเคยบอกว่า "ที่แกทำ ๆ ไปน่ะ มันสูญเปล่า ชีวิตจะมีค่าก็ตอนไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาเท่านั้น"

บางคนคงแย้งท่านในใจว่า มันสูญเปล่าที่ไหนกัน เราทำงาน ทำกิจกรรมต่าง ๆ เราก็ได้ผลงาน ได้เงินได้ทองมาเลี้ยงชีวิตตัวเรา แถมยังเอาไปสงเคราะห์ญาติได้อีก

มาถึงตอนนี้ เมื่อเราอายุมากขึ้นประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ว่า ที่ทำ ๆ ไป ไม่ว่าจะดูซับซ้อน วิจิตรเพียงใด มันก็แค่ "หาอยู่ หากิน" เลี้ยงอัตภาพร่างกายเท่านั้น อย่างมากก็เพิ่มความภาคภูมิใจในผลงาน พอหมดลมแล้วก็หมดกัน เอาติดตัวไปไม่ได้

ไม่เหมือนอย่างกิจกรรมการภาวนาเพื่อพัฒนายกระดับจิตใจ มันกินลึกและเอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปได้ สมบัติทางโลก ๆ จะมากมายและวิจิตรประณีตขนาดไหน มันก็เป็นแค่ #สมบัติน้ำแข็ง อยู่ดี เพราะมันจะค่อย ๆ ละลาย เรากำมันไว้ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

โอวาทธรรมหลวงปู่ดู่










ผู้ที่สามารถเห็นความดีของคนอื่น มีความสุขตลอดเวลา อยากจับผิดผู้อื่นมันไม่ยาก เรื่องจับผิดไม่ต้องฉลาดก็ทำได้

แต่การที่เราจับถูก พยายามจับความดีของคนอื่น อันนี้ต้องฉลาด ต้องเก่ง ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง...

พระเทพพัชรญาณมุนี
(พระอาจารย์ชยสาโร)









...การบริกรรม "พุทโธ"
เป็นการดึงความคิดปรุงแต่ง
ไม่ให้คิดปรุงแต่ง
ให้คิดแต่คำว่า พุทโธๆ อย่างเดียว
จะได้ไม่มีอารมณ์

.
ทำให้ใจเป็นกลาง ทำให้ใจว่าง
ทำให้หยุดคิดได้ รวมเข้าสู่ความสงบได้

.
ถ้าไม่ชอบคำบริกรรม
ใช้การดูลมหายใจเข้าออกก็ได้
"แต่ต้องสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้
อย่าไปคิดเรื่องอื่น"
ให้รู้อยู่กับเรื่องของลมอย่างเดียว

.
หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า
หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก
"ให้รู้อยู่ตรงจุดเดียว"
อย่าตามลมเข้าตามลมออก

.
ให้อยู่แถวปลายจมูก เวลาลมเข้าออก
จะสัมผัสอยู่แถวปลายจมูก
"ให้รู้อยู่ตรงนั้น เฝ้าดูอยู่ตรงนั้น"
อย่าไปบังคับลมหายใจ

.
จะหยาบจะละเอียด
จะหายใจสั้นหายใจยาว
ก็ให้รู้ตามความจริง ..ไม่ต้องบังคับ
"ให้ใช้ลมเป็นที่ผูกใจด้วย สติ".
........................................
.
จุลธรรมนำใจ 23 กัณฑ์ 416
ธรรมะบนเขา 19/9/2553
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










#อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ทั้งมนุษย์ และเทวดาได้ถูกไฟ ๑๑ กอง เผา
อยู่เสมอ​ เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ​ ๑๑ กอง คือ

#๑_ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ ๕ มีรูปเป็นต้น
#๒_ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ
#๓_ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์
#๔_ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์
#๕_ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์
#๖_มรณะ คือ ไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์
#๗_โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก
#๘_ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไร รำพัน
#๙_ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ
#๑๐_โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ
#๑๑_อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ

ไฟทั้ง ๑๑ กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ต้องพากันงมงาย เวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ

#คติธรรมหลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
#วัดดอยแม่ปั๋ง_จังหวัดเชียงใหม่











สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กับ พระธรรมโกศาจารย์ (ท่านพุทธทาสภิกขุ) สวนโมกขพลาราม

คำถามที่ ๓๔ : เมื่อคราวที่พระอาจารย์พุทธทาสอาพาธหนักนั้น
ฝ่าพระบาทได้เคยไปเยี่ยมท่านอาจารย์พุทธทาสที่ได้ขอละสังขาร โดยท่านอาจารย์ให้เหตุผลว่า อายุเกินพระพุทธเจ้ามาแล้ว แต่ฝ่าพระบาทได้ขอไว้ หลังจากนั้นอาการของท่านพุทธทาสก็ฟื้นขึ้นมา และมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกหลายปี ขอกราบทูลฝ่าพระบาทเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น

คำตอบ : เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นระหว่าง วันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๒ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเยี่ยมภิกษุสามเณรและประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๕ จังหวัด คือ สงขลา สตูล ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ตามคำกราบทูลอาราธนาของศูนย์อำนวยการการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

พระดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย หนึ่งในคณะผู้ติดตามเล่าว่า ตอนที่เสด็จไปเยี่ยมนั้น ท่านพุทธทาสยังไม่ได้อาพาธหนัก ยังไม่ได้ล้มหมอนนอนเสื่อ เป็นแต่เพียงเจ็บออดแอด ยังออกมารับเสด็จได้เป็นชั่วโมง ท่านพาไปดูโรงมหรสพทางวิญญา ณ ลานหินโค้ง แล้วก็นำมาเสด็จประทับที่ม้าหินหน้ากุฏิ ที่ปกติเก้าอี้ม้าหินนั้นท่านอาจารย์พุทธทาสนั่งประจำ

ท่านอาจารย์พุทธทาสทูลสมเด็จพระสังฆราชให้ประทับ แล้วท่านก็ไม่ยอมนั่ง ท่านพุทธทาสทูลว่า “ขอประทานกราบสมเด็จพระสังฆราชหน่อยที่อุตส่าห์เสด็จมาเยี่ยมถึงวัด” เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงพยายามห้าม ท่านก็ไม่ยอม แล้วต่างคนก็ต่างกราบ พอท่านพุทธทาสกราบ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็บอกไม่ได้ๆ ต้องกราบกลับ

ส่วนคำถามที่ว่านั้น ตอบได้ว่า เหมือนกับเวลาไปเยี่ยมคนที่รู้จักกัน แล้วระหว่างคุยก็ปรารภเรื่องสังขารว่าไม่ไหวแล้ว แล้วเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็รับสั่งว่า ขออาราธนาใต้เท้าอยู่ก่อนอย่าเพิ่งไป แต่ว่าคนก็ชอบอธิบายในเชิงอภินิหารไปสักหน่อย

ในวันนั้นมีการคุยเรื่องหนังสือและวิธีสอนของท่านพุทธทาส มีการคุยเรื่องธรรมะลึกๆ หลายเรื่อง เช่น เรื่องหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ รับสั่งว่าเป็นหนังสือที่ดีมาก และทรงใช้บ่อย

สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) กับ วงศ์พระกรรมฐาน











"ระวังหูของเรา ดีกว่าเฝ้าปิดปากคนอื่น"

โอวาทธรรม
หลวงปู่จันทร์ กุสโล
วัดเจดีย์หลวง วรวิหาร จ.เชียงใหม่












กาย วาจา ใจทั้ง ๓ อย่างนี้ ฝึกไม่ยาก
วิธีง่ายๆ คือ พิจารณาว่า สังขารร่างกายของเรา
มีอะไรน่ารักบ้าง ดูให้ละเอียด
พิจารณา ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน หู จมูก ให้เกิดธรรมสังเวช

ถ้าเกิดธรรมสังเวชเมื่อไหร่ ให้เร่งรีบเพ่งดูให้ชัด
การรักษาศีลนั้น ต้องสังวรในอินทรีย์ ๕

เช่น ตาเห็นรูปก็ไม่ยินดีในรูป
ได้กลิ่นของหอมก็รู้ทันว่านี่ของหอม
ถ้าได้กลิ่นเหม็น ก็ควรพิจารณาตนในตน
ไม่ติชมเรื่องอาหาร จืดมีน้ำปลาก็เติมได้
ไม่มีก็ไม่ต้องเรียกร้องเอา บริโภคตามมีตามเกิด

พระนิพพาน ไม่ใช่ไกล ถ้าค้นพบ จะเห็นเอง
เพราะรู้ว่า ผู้ใดรับประทาน ผู้นั้นต้องอิ่มเอง

โอวาทธรรมคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
วัดอาวุธวิกสิตาราม จ.กรุงเทพมหานคร










พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ถ้ายังยินดีในสุข ยินร้ายในทุกข์ก็ยังไม่พ้นทุกข์นะ ผู้ที่ได้นิพพานท่านจะเห็นธรรมดาว่าขันธ์ทั้ง5เป็นทุกข์ มันมีอุปาทาน สุขก็ยึด ทุกข์ก็ยึด จึงยังไม่พ้นทุกข์ ผู้ที่ได้สมาบัติก็สุขกับการไร้ตัวตนที่เงียบๆที่ว่ามันสุข มันสุขอยู่ที่ความยินดีนั่นเอง ก็ยินดีในขันธ์ 5 นี้เอง เรายังมีสุข-ทุกข์ คือยังยึดนะ

พระอริยเจ้าท่านก็รู้ก็มีร้อน-หนาว ก็รู้อยู่ มันต้องชำรุดทรุดโทรม เป็นธรรมดาอย่างนี้ แต่ท่านไม่ไปยึดกับความเปลี่ยนแปลง แปรปรวน ในสิ่งนั้นๆ ท่านจึงไม่มีสุข-ทุกข์ ไม่เสียใจ ไม่ยินดีจะว่าง วางปล่อย ไม่ปรากฏก็ได้ อะไรมันปรากฏ ก็สุขกับทุกข์น่ะแหละ แต่อันนี้มัน ไม่ปรากฏอย่างนั้น มันเห็นธรรมดา ธรรมชาติของมันจริงๆแล้ว มันก็เปลื้องทุกข์เปลื้องสุขได้

หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ








ในชีวิตของเรามีทางเลือกอยู่สองทาง คือคล้อยตามไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลก พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงปฏิบัติจนพระองค์เองทรงพ้นโลก ด้วยการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสอง คือปัญญาโลกีย์ กับปัญญาโลกุตตระ หากเราไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบรมตนเอง ถึงจะมีปัญญาปานใด ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัย จะหลุดพ้นโลกไปไม่ได้ เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลก จิตก็เป็นโลกคิดอยู่แต่จะหามาใส่ตัว อยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ วิชาโลกีย์เลยกลายเป็นอวิชชา หาใช่วิชชาความรู้แจ้งไม่ มันจึงเรียนไม่จบสักที เพราะมัวไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติดข้องเป็นกิเลสกองใหญ่

เมื่อได้มาก็หึงก็หวง เห็นแก่ตัว สู้ด้วยกำปั้นไม่ได้ ก็คิดสร้างเครื่องจักรเครื่องยนต์ เครื่องกลเครื่องไก สร้างศาสตราวุธสร้างลูกระเบิดขว้างใส่กัน นี่คือโลกีย์ มันไม่หยุดสักที เรียนไปก็เพื่อจะเอาโลก จะครองโลก ได้อะไรก็หวงอยู่นั่นแล้ว นี่คือโลกียวิสัย เรียนไปแล้วก็จบไม่ได้

มาฝึกทางโลกุตตระ โลกุตตระนี้อยู่ได้ยาก ผู้ใดหวังมรรค หวังผล หวังนิพพาน จึงจะทนอยู่ได้ จงทำตนให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำให้มันหมดโลกีย์

สองหน้าของสัจธรรม
หลวงปู่ชา สุภัทโท









เรื่อง ทำบุญอุทิศให้คนตาย
ทำบุญให้ผู้ตายนี้ท่านแสดงไว้ว่ายากนักผู้ที่ตายจะได้รับ
เหมือนกับงมเข็มอยู่ในก้นบ่อ แต่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบทำ นับว่าเป็นความดีของผู้นั้นอย่างยิ่ง ท่านเปรียบไว้ สมมติว่าบุญที่ทำลงไปนั้นแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน แล้วเอาส่วนที่ ๑๖ นั้นมาแบ่งอีก ๑๖ ส่วน ผู้ตายไปจะได้รับเพียง ๑ ส่วนเท่านั้น ฟังดูแล้วน่าใจหาย

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้ สิ่งใดควรจะทำให้รีบทำเสีย ตายแล้วเขาทำบุญไปให้ไม่ทราบว่าจะได้รับหรือไม่ ถึงแม้ได้รับก็น้อยเหลือเกิน เพราะคนตายไปแล้ว เขาเรียกว่าเปรต ไม่ได้เรียกว่า บิดา มารดา ป้า น้า อา ครูบาอาจารย์ อย่างเมื่อเป็นมนุษย์อยู่นี้หรอก ในบรรดาเปรตเหล่านั้น มี ๑๑ พวก มีจำพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตจำพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลำบากมาก เพราะในเปรตโลกนั้น ไม่มีการทำนาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี

ฉะนั้นเปรตจำพวกนี้แหละ มนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่อุทิศไปให้จึงจะได้รับ เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย เช่น ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับ นับประสาอะไร บางทีสามีภรรยานอนอยู่ด้วยกันแท้ๆ ฝ่ายหนึ่งทำบุญขอให้อีกฝ่ายหนึ่งอนุโมทนาด้วย ก็ไม่รับ พวกที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานยิ่งไปกันใหญ่ ไปเกิดในนรกหมกไหม้ทุกขเวทนามาก ทำบุญอุทิศไปให้ก็ไม่รู้อะไร เพราะกำลังเสวยผลกรรมอันนั้นอยู่ หรือไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่งก็เหมือนกัน เขากำลังเสวยผลบุญของเขาอยู่ เขาจะมาเอากุศลผลบุญของเราได้อย่างไร

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี











สตินี้เมื่อระลึกอยู่ในกาย ในหลักของกายว่า กายนี้เต็มไปด้วยโลหิต เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ ตรวจตราพิจารณาร่างกายของตนเองอยู่ ให้มีสติ ไม่ให้หลงกาย จิตใจที่ไม่สงบระงับอยู่ทุกวันเวลานี้ เพราะอะไร เพราะจิตใจเราไม่ได้มาพิจารณากาย คือรูปขันธ์ตัวเอง เมื่อไม่พิจารณารูปขันธ์ตัวเองที่นั่งเฝ้า นอนเฝ้า กองกระดูกอยู่นี้ จึงได้เกิดความเกลียดชังบุคคลภายนอกที่ไม่ชอบพอใจตัวเอง จึงได้เกิดความรักใคร่พอใจในรูป รส กลิ่น เสียง จึงได้สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้ตัวเอง และเพื่อนมนุษย์ ให้ได้รับความเดือดร้อน วุ่นวาย

นี่คือไม่ตรวจกาย พิจารณาร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ กายนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้กำหนดให้เห็นก้อนอสุภะที่มันมีอยู่ คำว่า อสุภะ ก็คือว่าของไม่งาม ไม่ใช่ของดิบของดี ไม่ใช่ของทนทาน ประการใด ถ้าหากว่าคนไหนได้ไปเยี่ยมคนป่วยคนไข้ หรือคนใกล้จะตาย หรือคนตาย ถ้ามันหมดลมเมื่อใด เวลาใด มันจะส่งกลิ่นเหม็นออกมา ยังไม่ตายก็จริง แต่ว่าธาตุต่าง ๆ มันตายไปแล้ว มันเกิดธาตุเหม็นธาตุเขียวขึ้นมาแล้วก็มี สังขารร่างกายของเราก็ตาม ของเขาก็ตาม มันเหมือน ๆ กัน ถ้าตายแล้ว มันเน่าแล้ว ไม่ว่าคนในเมือง คนนอกเมือง คนในป่าในดอย ในที่ใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ถ้ามันตายแล้ว กลิ่นเหม็นเหมือนกันหมด

ให้กำหนดตัวเองให้รู้ ภาวนาดูให้เข้าใจภายใน ให้เห็นว่าก้อนอสุภกรรมฐานมันไหลเข้าเทออก ตื่นเช้ามาแจ้งมาก็หาอาหารมาเลี้ยงไหลเข้าไป ตื่นนอนขึ้นมาก็ถ่ายไป ชีวิตของคนเรานี้เรียกว่าลำบาก ทุกข์ยากลำบากไม่ใช่สบาย

ธรรมมีอยู่ทุกเวลา
พระธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๑











พระพุทธเจ้า สามารถเอาความคิดที่ลึกซึ้งของเราออกมาพูดเป็นภาษาคน เพราะฉะนั้น การได้พบพระพุทธศาสนาเท่ากับได้พบตัวเอง ทำให้เข้าใจการสอนของครูบาอาจารย์ที่ว่า พุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของตำรา ไม่ใช่เรื่องของวัดวา ไม่ใช่เรื่องของนักบวช เป็นเรื่องของเราทุกคน เรื่องของหัวใจมนุษย์

เรื่องของพุทธศาสนา คือ เรื่องของตัวเองและเรื่องการละ เรื่องการบำเพ็ญ ก็ไม่มีอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่มีอยู่ในใจของเรานี่แหละ

พระเทพพัชรญาณมุนี (ฌอน ชิเวอร์ตัน ชยสาโร)
ที่พักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จ.นครราชสีมา











ถ้าใครทำอะไร หากว่ามันผิดพลาดไปอย่างนี้นะ บังเอิญไปกระทบกระทั่งผู้อื่นเข้าก็ขอโทษกัน นั่น มันต้องเป็นอย่างนั้น อันผู้ปฏิบัติธรรมนี้นะ ผู้หวังความบริสุทธิ์แก่ตัวเอง ก็ให้ปฏิบัติต่อกันอย่างนั้น ตนผิดพลาดไปแล้ว ก็ยังถือว่าตนไม่ผิด ไม่ยอมขอโทษผู้อื่น ไอ้อย่างนี้นะ กิเลสมันไม่แห้งเลยนะ

โอวาทธรรมหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย










#ให้เห็นอกเห็นใจกัน..

มีเมตตาต่อกัน รักใคร่สามัคคีกัน อย่าอิจฉาริษยากัน อย่าใส่ร้ายป้ายสีกัน ยุยงให้เกิดความแตกแยก

#ถ้าใครที่รู้ตัวว่าเป็นอย่างนั้น_ให้เปลี่ยนตัวเองนะ

#หลวงปู่ทุย #ฉันทกโร​
#วัดป่าดานวิเวก จ.บึงกาฬ








#จิต_มันคิดโน่นคิดนี่_มันจะมาหลอกเรา_ก็อย่าไปเชื่อมัน!

เพราะว่ามันเกิดแล้วดับ!!! นั่งนานเดี๋ยวเป็นนั่นเป็นนี่นะ นี่เราอย่าไปเชื่อมัน มันหลอกเรา ให้มันเป็นซะก่อน มันยังไม่ถึงตายเนี่ย มันก็หยุด มันก็ดับ ความคิดดับเนี่ย เราก็เห็นแล้วเนี่ย

#จิต_อาการของจิต_มันก็เกิดดับ

สังขารเกิดดับเนี่ย สิ่งมาปรุงแต่งเกิดดับ เราก็จะไม่ตามสังขารมาก เราก็จะได้เห็นจิตจริงๆ

#ที่แท้จริง_มันก็ไม่ใช่เรา_มีแต่เกิดดับ

ดีใจ เสียใจ ก็เกิดดับ สุขมา ทุกข์มา เดี๋ยวก็เกิดดับ ทุกข์มาสุขก็ดับ สุขมาทุกข์ก็ดับ ไม่ได้มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นเราจะไม่กลัวอะไรเลย

#เพราะเราเห็น_เราเห็นความจริง_ว่าผ่านมา_แล้วก็ผ่านไป

ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทั้งสุขทั้งทุกข์ คือเรื่องอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นในจิตเรา มันไม่ดับไม่มีหรอก แม้แต่กิเลสมันก็เกิดดับ เราไม่กลัวกิเลส เราไม่ทำตามมัน มันก็จบแล้ว
.
#พระอาจารย์ครรชิต #สุทฺธิจิตฺโต
#วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร











“กินข้าวมื้อเดียวบ่อิ่มทั้งชาติ เฮ็ดบุญมื้อเดียวสิหวังได้ตลอดไป ก็บ่ได้คือกัน”

-ปภากโรวาท-
หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร









#อาตมาได้ยินมามากนะ_พวกที่ทำโรงทานนี่ #ใครมีอุปสรรคขัดข้องอะไรในชีวิต_พอมาทำโรงทานแล้ว_ชีวิตก็ดีขึ้น

อาตมาบอกพวกที่ไปออกโรงทานกับอาตมา พวกที่อาตมาพาทำโรงทาน อาตมาบอกว่าใครจะไปกับเราต้องทำความรู้สึกเสียก่อน ต้องมีความรู้สึกว่า ของที่เราเอาไป ไม่ใช่ของเรานะ พอเราตั้งเจตนาปุ๊บ เป็นของเขาทันทีเลย เราเพียงแค่เป็นผู้ทำเท่านั้น ถ้าเรายังคิดว่าเป็นของเรา เราจะไปทะเลาะกับคนกินทันทีเลย ไม่ได้นะ ต้องทำอย่างที่บอกคือ ของเขาหอบไปนี่ หอบใส่ถุงใส่อะไรไปนี่ เราไปมองหน้าเขา โถ่ ไม่มีใครเอาไปทิ้งหรอก อย่างน้อยก็เอาไปฝากลูกฝากหลานเขา หรือแม้กระทั่งจะเอาจะฝากหมูฝากหมา มันก็มีประโยชน์ทั้งนั้นล่ะ เราเชื่อแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาไม่มาช่วยเราเอาไปทิ้งแน่นอน ใครจะมาเหน็ดเหนื่อยมาแย่งมาเมื่อยมาเข้าคิวยืนขาแข็งแล้วเอาไปทิ้ง

เพราะฉะนั้น เอาไปเถ๊อะ ต้องเปิดใจไว้ พอเปิดใจแล้วรับรองขายดิบขายดี นี่ ทำบุญใจต้องยิ้ม แต่ถ้าเราว่า โอ้ยอย่ามาโลภ อย่ามาแย่งคนอื่นกิน อันเดียวก็พอ นี่ใจมันเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ทำความรู้สึกไว้ว่า ของที่เราเอามา เราตั้งเป้าไว้เลยว่าเป็นของ ๆ เขา เราแค่มาช่วยเขาทำ ความคิดมันมีทั้งหัวทั้งก้อย ที่เขาเอาไปเขาก็อาจจะเอาไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานก็ได้ อาตมาว่า เขาไม่เอาไปทิ้งแน่นอน

อะไรก็แล้วแต่ เราคิดดีไว้ก่อนดีกว่า คนเรามันไม่มีชั่วอย่างเดียว มันมีทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าเรามองแต่ชั่วของเขา ใจเราก็เศร้าหมอง แต่ถ้าเรามองดี จิตใจเราก็เป็นบุญ แล้วเราจะเอาจิตใจที่เป็นบุญหรือเป็นบาปล่ะ ส่วนที่ว่าจริง ๆ แล้ว เขาจะเป็นคนบุญหรือคนบาป มันก็เรื่องของคนอื่นเขา เรามันห้ามยาก

ไอ้เรื่องคิดลบนี่มันห้ามยาก แต่เราก็พยายาม เราก็ฝึก มันฝึกได้ เหมือนตอนที่หลวงตาออกโครงการช่วยชาติ ก็มีคนบอกว่า หลวงตาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิว พวกเราก็ระดมกำลังทรัพย์ช่วยหลวงตา แล้วมีคนรอบข้างมาแอบเอาไป นี่เราเหน็ดเหนื่อยหาเงินมาให้คนพวกนี่เหรอ อาตมาก็ว่า โอ้ย อย่าไปคิดอย่างนั้น เราคิดแต่ว่า หลวงตาทำโครงการนี้ เป็นโครงการบุญที่เราเห็นชัดเจนว่าเป็นบุญที่กระจายไปยังทุกคนในประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้น เราเห็นด้วยศรัทธา ถวายองค์หลวงตาแล้ว พอ เราได้ทำบุญกับหลวงตาแล้ว เป็นบุญของเราแล้ว ส่วนใครจะอะไรยังไง มันเรื่องของเขา อย่าไปคิดมาก เราก็ต้องยอมรับว่าทุกกลุ่มมีทั้งดีไม่ดี จะให้ทุกคนดีหมด จะเป็นไปได้ยังไง เลวเหมือนกันหมดก็เป็นไปไม่ได้ มันก็มีทั้งดีทั้งเลว เรามาทำโรงทานนี่ ทุกคนมีปากมีท้อง เราทำโรงทานต้องทำให้ทั่วถึงนะ”

#พระอาจารย์สุธรรม #สุธัมโม
วัดป่าหนองไผ่ จ.สกลนคร
ปรารภธรรมแก่คณะผู้ออกโรงทาน
ในงานพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก
เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑









เรื่องตาย. หรือไม่ตาย. อย่าไปยุ่งกับมัน. ไม่ต้องไปคิด. ทำแต่จิตใจ. ให้บริสุทธิ์. อย่างเดียวเท่านั้น

ท่านพ่อลี ธัมมธโร









#วิธีพ้นจากความตาย_และไม่ต้องตาย

ท่านพ่อลี_สอนว่า ....

"คนทุกคน ไม่มีใครชอบตายหรืออยากตาย และก็พยายามหาวิธีที่จะหลีกเลี่ยงหนีความตายด้วยประการต่างๆ แต่ก็ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้สักคน

เหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงหาวิธีที่จะช่วยให้คนพ้นจากความตาย และไม่ต้องตาย โดยการทำจิตให้บริสุทธิ์

เรื่องตายหรือไม่ตายอย่าไปยุ่งกับมัน ไม่ต้องไปคิด ทำแต่จิตใจให้บริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น"

ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม








#พากันทำภาวนาไป

วันหนึ่งๆ อย่าให้ขาด อย่าให้มันเสียเวลาไป ภาวนาไป ชั่วโมงหรือยี่สิบ สามสิบนาที อย่าให้มันขาด

#อาศัยอบรมจิตใจของตน

ทำมันไป ขัดเกลาใจของตน ใจมันมีโลภะ โทสะ โมหะเข้าครอบคลุม ใจจึงเศร้าหมอง

#ธรรมชาติจิตเดิมแท้นั้น_เป็นธรรมชาติผ่องใส

ปภสฺสรมิตํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปฺกิเลเสหิ อุปฺกกิลิฏฺฐํ

ธรรมชาติจิตเดิมเป็นของเลื่อมประภัสสร เป็นของใสสะอาด แต่มันอาศัยอาคันตุกะกิเลส เข้าครอบงำย่ำยี ทำให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัวไป

#เพราะฉะนั้นให้พากันทำ_อย่าประมาท

อย่าให้มันเสียชาติ อย่าให้มันโศกเศร้าเป็นทุกข์ มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ ให้พากันทำ อย่าให้มันเสียไป

#วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ_อย่าให้มันล่วงไปเปล่า

ประโยชน์ภายนอกก็ทำ ประโยชน์ของตนนั่นแหละมันสำคัญ พระพุทธเจ้าว่าให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน แล้วจึงค่อยทำประโยชน์อื่น"
.
#หลวงปู่ขาว #อนาลโย










"..เมื่อเราปฏิบัติไม่จริง
ทำไม่จริง ผลที่ได้
ก็ไม่เจอของจริง

การปฏิบัติต้องเป็น
ผู้เสียสละ ทำจริง
ปฏิบัติจริง จึงจะเห็นของจริง

นี้พวกเราทำไม่จริง
ปฏิบัติไม่จริงเสียส่วนมาก
เลยอ้างว่าธรรมอันวิเศษนี้
ไม่มี นรก สวรรค์ ไม่มี
พรหมโลก พระนิพพานไม่มี

ถ้าเชื่ออย่างนั้นถือว่า
เป็นภัยใหญ่หลวงแก่ตัวเรา
เป็นอย่างมาก.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม








"เราไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่ฉันใด
ลูกก็จะไม่รู้จักบุญคุณเราฉันนั้น"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









"อย่าพากันไว้ใจชีวิตของตน
ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ไม่แน่นอน
วันนี้เรามีชีวิตอยู่ หายใจอยู่
วันหลังมา ชีวิตจะเป็นจั๋งใด ดีหรือไม่

ชีวิตของเรานั้นหรือ วันหลังมาจะเป็นอย่างไร
ในพรรษานี้ พวกเราทั้งหลายเชื่อหรือว่า
ชีวิตของเราจะตลอดพรรษา

เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา
จิตมันจะตายเวลาไหนไม่รู้ เพราะชีวิต
มันเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่มันจะเป็นไป

เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ จึงอย่าพากันประมาท
จงพากันรีบเร่งบำเพ็ญทำความดี
ให้เกิดให้มีขึ้นในดวงจิตความคิดของเรา"

หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ









มีครั้งหนึ่งคุณวีระชัย ลีลาประชากุล ไปหาหลวงพ่อจรัญ
บอกว่า ผมหมดตัวแล้วครับ เจ๊งหมดแล้วครับ
หลวงพ่อจรัญ มองหน้าคุณวีระชัย ลีลาประชากุล
แล้วให้หนังสือสวดมนต์ให้ไปสวดบทอิติปิโส พาหุงมหากา
คุณวีระชัย พอไปถึงบ้านอาบน้ำเสร็จเข้าห้องพระ
ให้ลูกสวด ให้เมียสวด
แล้วก็ตัวเองก็สวด อิติปิโส พาหุงมหากา พอสวดเสร็จแล้ว
คิดในใจว่าฆ่าตัวตายเราหมดเนื้อหมดตัว
ฆ่าตัวตายจะได้หมดปัญหาหนี้สิน
เเล้วก็เอาปืนยิงเมียตัวเองดังแชะ ไม่ดัง
ยิงลูกอีกแชะ ไม่ดัง แล้วเอาปืนยิงตัวเอง ไม่ดัง
ก็เลยคิดในใจว่าพระก็ไม่ได้คล้องคอ
เครื่องรางก็ไม่มี แค่สวดมนต์อิติปิโส พาหุงมหากา
คิดในใจว่าต้องกลับไปหาหลวงพ่อจรัญอีก
พอไปถึงหลวงพ่อจรัญก็เล่าเรื่องที่ตัวคิดจะฆ่าตัวตาย หนีปัญหาชีวิต
หลวงพ่อจรัญ มองหน้าแล้วบอกว่ามาเข้ากรรมฐาน
พาลูกเมียเข้ากรรมฐาน 7 วัน
คุณวีระชัย ก็พาลูกเมียมาปฏิบัติธรรม
มาเข้ากรรมฐาน ที่วัดอัมพวัน 7 วัน
พอถึงวันที่ 7 ชาวต่างชาติโทรมาสั่งสแตนเลส 100 ล้าน
โอนเงินมาให้ก่อน 20 ล้านโดยไม่ทำสัญญาอะไรเลย
ทุกวันนี้คุณวีระชัย ลีลาประชากุล รวยเป็นพันล้าน
สร้างโรงทานให้หลวงพ่อจรัญ เกือบ 30 ล้าน
ถ้าใครได้ไปวัดอัมพวัน ที่โรงอาหาร จะเห็นชื่อคุณวีระชัย ลีลาประชากุล
ติดป้ายเป็นชื่อผู้สร้างถวาย
ตอนซื้อรถเบนซ์มาถวาย ทีแรกจะซื้อ s600 มาถวายเอาธรรมดาก็พอ
อาตมาตายแล้วก็เอาคืนจะได้ไม่ต้องมีปัญหา
อิติปิโส พาหุงมหากา มนต์ที่พระนเรศวรมหาราช
และพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนจะไปรบทับจับศึกชนะพม่า
แม้นแต่ปืนที่ยิงใส่พระวรกายพระองค์ท่าน
ไม่เคยถูกพระองค์เลย ยิงเป็นห่าฝนเลยนี่คือ
พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พระพุทธเจ้าชนะมาร
ชนะยักษ์ ชนะช้างนาราคิริง เรียกว่าคาถาชนะมาร
มารไม่มีบารมีไม่เกิดประเสริฐไม่ได้
ถ้าใครสวดจะค้าขายจะทำหน้าที่อะไรก็เจริญก้าวหน้า
เงินไหลนองทองไหลมา
ยิ่งสวดกันทั้งประเทศก็เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน

คำสอนพระเดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร